พลิกรักทำนายใจ บทที่ 14.2 : ศิลปินหนุ่มผู้ไม่จับกีตาร์อีกเลย

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 14.2 : ศิลปินหนุ่มผู้ไม่จับกีตาร์อีกเลย

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ค่ำคืนนี้ภูริสวางมือจากงานชั่วคราว เพราะรุ่นน้องนักดนตรีของเขาได้รับเชิญมาขึ้นแสดงในงานเทศกาลลานเบียร์ ‘ชิล อิน เดอะ การ์เดน’ ชายหนุ่มจึงตั้งใจไปทักทายสักหน่อย

พวกเขาคือวง ‘วงแหวนดาวเสาร์’ ออกซิงเกิลดังหลายต่อหลายเพลง ไม่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง แต่มีกลุ่มแฟนเพลงแนวอินดี้เหนียวแน่น

เจอกันคืนนี้เจ้าพวกวงแหวนฯ ยังซุกซนและสนิทสนมกับภูริสเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตอนซ้อมด้วยกันในชมรมดนตรีสากล หลายครั้งภูริสยังนึกขำ ใครจะคิดว่าวงแหวนดาวเสาร์อันโด่งดัง เมื่อก่อนตอนยังดีดกีตาร์ก๊องแก๊งได้ตามกรี๊ดวงของเขาและบูชาเขาเป็นเทพเจ้าแห่งกีตาร์

หลายคนบ่นเสียดายที่เขาผันตัวมาทำงานเบื้องหลังเต็มตัว ไม่เล่นกีตาร์อีกแล้ว เขาได้ยินมาบ่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาตรงๆ

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาเคยเป็นดาวเด่นคนหนึ่งในชมรมดนตรีสากล เป็นประธานชมรมอยู่หนึ่งสมัย และยืนตำแหน่งมือกีตาร์และร้องนำในวงของเขาเอง

หนุ่มวิศวะผลการเรียนระดับลุ้นเกียรตินิยม นักดนตรีดาวรุ่ง ประธานค่าย ผู้นำกลุ่มนิสิตชุมพร และพ่อครัวน้อยในชมรมทำอาหารขนม ช่วงเวลานั้นเขาสนุกกับการเรียนและทำกิจกรรมต่างๆ จนแทบลืมเวลา

พวกเพื่อนผู้หญิงจำนวนน้อยนิดในภาคชอบแซวว่าเขาเป็นหนุ่มฮอต เขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ยอมรับว่ามีสาวๆ เข้าหาอยู่บ่อยๆ สาวน้อยต่างคณะเหล่านั้นมักจะโดนเพื่อนสาวของเขากีดกันออกไปด้วยเหตุผลว่าคุณสมบัติยังไม่ดีพอ

เขาไม่แน่ใจว่าตนเนื้อหอมจริงหรือเปล่า แต่แน่ใจว่าเป็นไข่ในหินของพวกเพื่อนๆ ผู้หญิง

แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผ่านทะลุด่านต่างๆ เข้ามาในหัวใจเขาได้ นั่นคือน้องแนน สาวสวยคณะนิเทศศาสตร์ เธอเป็นคนที่เพื่อนๆ ผู้หญิงของเขากีดกันหนักที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกชอบที่สุด เพื่อนๆ พูดกันว่า ‘ภูมันไม่ทันมารยาหญิง’ แต่เขาว่าน้องแนนน่ารักดีจนอยากเจออยากคุยด้วยทุกวัน

ภูริสกับน้องแนนรักกันผูกพันจนเขาเรียนปีสี่ วงดนตรีสากลที่เขาสังกัดเริ่มเป็นที่จับตามองของโปรดิวเซอร์ค่ายเพลง พวกเขาซ้อมหนักและส่งเดโม่สม่ำเสมอ โปรดิวเซอร์บอกว่าสนใจงานเพลงสไตล์ที่วงเขาทำ แต่การจะเป็นศิลปินได้นั้นสิ่งสำคัญคือต้องมีแฟนเพลง เขาเสนอว่าให้ลงประกวดดนตรีเวทีใหญ่เพื่อที่อย่างน้อยๆ คนไทยทั้งประเทศยังได้คุ้นหน้าคุ้นตา และหากชนะประกวดหรือเข้ารอบลึกๆ ได้ ทางผู้ใหญ่ในค่ายเพลงก็จะพิจารณารับเป็นศิลปินในสังกัดง่ายขึ้น

จังหวะนี้ภูริสกับเพื่อนในวงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปที่การซ้อมประกวด และจังหวะชีวิตช่วงนี้เองที่น้องแนนแฟนสาวของเขาเริ่มบ่นว่าเบื่อที่ชายหนุ่มไม่มีเวลาให้

เพื่อนผู้หญิงของภูริสชักสีหน้าหงิกงอ ตอนมาบอกเขาว่า

‘นี่ ภู ยัยน้องแนนของแกน่ะยังไงฮะ เราเห็นควงเด็กเศรษฐศาสตร์เดินสยามเมื่อวานเย็นน่ะ’

‘นั่นยังน้อย ฉันเห็นไปแดนซ์อยู่ในผับเมื่อคืนก่อน นังเด็กนี่มันร้าย แกนะแก เพื่อนเตือนไม่เคยฟัง’

ภูริสเพียงแต่ยิ้ม เขาไม่เชื่อหรอก ก็ทั้งเมื่อวานและคืนก่อนเพื่อนๆ ทั้งสองติวเตรียมสอบกันอยู่แล้วทั้งคู่จะไปเห็นน้องแนนได้ยังไง

ส่วนสาวน้อยนิเทศบอกเขาว่า เธออ่านหนังสืออยู่กับเพื่อน แต่ก็ทำหน้างอน กระเง้ากระงอด

‘แฟนน่ะมีก็เหมือนไม่มี ตอนนี้เหมือนแนนโสดเลย แฟนตายไปแล้วหรือยังไงก็ไม่รู้’

เวลานั้นเขาได้แต่รวบจับมือบางๆ ทั้งสองข้างไว้ แล้วว่า

‘พี่ก็ยังอยู่ตรงนี้แหละ แค่มีเวลาให้น้อยหน่อยเอง แต่นอกเหนือจากเรื่องเรียน เรื่องงาน พี่ให้แนนหมดเลยนะ ดูขอบตาพี่สิ เวลานอนยังไม่ค่อยจะมีเลย เห็นใจพี่หน่อยนะครับคนดี’

 

งานประกวดดนตรีมาถึง ภูริสกับเพื่อนร่วมวงพร้อมโชว์เต็มที่ ในช่วงเวลานั้นแก๊งเพื่อนผู้หญิงของเขามีท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลกๆ เขาถามก็ไม่ตอบ บอกเพียงว่า

‘เล่นคอนเสิร์ตให้เต็มที่นะแก งานเลิกแล้วค่อยว่ากัน’

บนเวทีกลางแจ้งขนาดย่อม มองลงไปเห็นผู้คนมาดูคอนเสิร์ตแน่นขนัดและยังคงหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ด้านหน้าสุดเป็นโต๊ะกรรมการและผู้จัดการค่ายเพลง สมาชิกวงทุกคนรู้สึกมือเย็นเท้าเย็นกันไปหมด ภูริสเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้ใคร แต่ทุกคนก็แสดงดนตรีได้ไม่ผิดฟอร์มกับที่ซ้อมกันมา

เพลงที่หนึ่งเปิดตัววงอย่างยิ่งใหญ่ เพลงที่สองทำนองหวานซึ้ง กระทั่งเพลงที่สามซึ่งเป็นเพลงจังหวะเร้าใจปิดท้าย…

แสงสปอตไลต์ที่สาดจ้าลงบนเวทีให้ความอบอุ่นจนเกือบร้อน แต่ภูริสรู้สึกว่าเหงื่อทุกหยดที่ชุ่มอยู่บนร่างกายนั้นเย็นจัดราวละลายจากน้ำแข็ง แสงไฟสลัวในลานคอนเสิร์ตสาดส่องไปยังกลุ่มคนดูด้านล่าง ข้างหลังโต๊ะกรรมการ ริมแผงกั้นเหล็ก ที่ตรงนั้นมีน้องแนนของเขาปะปนอยู่ด้วย

เธอร้องเพลง เต้นรำ นัวเนียอยู่กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอย่างเร่าร้อนสุดเหวี่ยง

เสียงขับร้องขาดหายไปจากลำคอเขาในทันที มือที่ควรจะดีดกีตาร์พลันชะงักค้าง คล้ายร่างกายขยับไม่ได้ไปเสียดื้อๆ

เพลงสะดุดกลางคัน กรรมการขมวดคิ้วสงสัย หลายพันชีวิตเบื้องล่างเริ่มหยุดเต้นและจ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียวอย่างงุนงงปนไม่พอใจ

ภูริสไม่ได้เห็นว่าเพื่อนร่วมวงเป็นอย่างไรบ้าง เพราะมือเบส มือกลอง และมือกีตาร์อีกคนล้วนยืนเยื้องไปข้างหลัง อึดใจต่อมา มือเบสหนุ่มแทรกมายึดไมโครโฟนไปร้องเพลงต่อเอง ไม่ถึงกับไพเราะแต่เป็นการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ดีที่สุดในเวลานั้นแล้ว

ส่วนภูริสผู้เป็นมือกีตาร์ร้องนำ ลำคอเขาแสบร้อนคล้ายถูกยาพิษทำลายกล่องเสียง มือที่เคยดีดสายกีตาร์แคล่วคล่องสั่นจนแม้แต่เจ้าตัวก็ควบคุมไม่ได้ พยายามขยับตีคอร์ดประคองไปจนจบเพลง

 

งานประกวดดนตรีจบลง พร้อมกับอนาคตทางวงการดนตรีของพวกเขาทั้งสี่ที่พังครืน

ทีมเต็งของภูริสไม่ติดอันดับใดๆ หลุดโผไปอย่างน่าเสียดาย ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้วเพราะหลังจากวันนั้นก็ทะเลาะกันภายในจนแยกวงในที่สุด ภูริสเอ่ยปากยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เขาเองที่ทุบทลายความฝันที่ทุกคนร่วมกันก่อให้พังพินาศลงต่อหน้าต่อตา

ภูริสไม่จับกีตาร์อีกเลย เวลาผ่านไปหลายปีเขาหยิบออกมาเล่นคลายเหงาบ้าง แต่ยังไม่อาจเปล่งเสียงร้องเพลง

และเวลาอีกนั่นละที่ช่วยเยียวยาบาดแผลใจ ภูริสเริ่มกลับมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงได้ แต่ยังไม่อาจเล่นต่อหน้าสาธารณชนได้ แต่เขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเพราะชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า ในวงการดนตรีรู้กันดีว่าเขาเป็นแนวหน้าในหมู่คนทำงานเบื้องหลัง

 

มนชิดาลงไลฟ์ราวสี่ทุ่ม รีบกลับออกจากสตูดิโอ ตั้งใจว่าจะแวะไปที่บ้านเจ้าของเพจ Breakfuzz

เจ๊เป้บอกพิกัดมาว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เดินเข้าซอยต่ออีกราวหนึ่งร้อยเมตร ในยามวิกาลใกล้ห้าทุ่มเช่นนี้ ถนนทั้งหน้าซอยและในซอยมืดสลัวปลอดคนน่าหวั่นใจชอบกล แต่แสงไฟสว่างหน้าบ้านหลังเล็กนั้นช่วยให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างน่าประหลาด

เมื่อมาถึงบ้านซึ่งมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่รายรอบ มนชิดาพบว่าแสงไฟได้เปิดเฉพาะหน้าบ้านเท่านั้น ภายในบ้านมืดสนิท

หญิงสาวชะเง้อไปมาด้วยความสงสัย ก็ไหนเจ๊เป้บอกว่าร้านนี้เขาปิดตีสาม หรือวันนี้เป็นวันหยุด

ทันใดนั้นเอง มีเสียงกริ๊งๆ ดังใกล้ตัว มนชิดาสะดุ้งเฮือก หันไปจึงพบว่าเป็นเสียงกริ่งจักรยาน

“มาร้านกีตาร์เหรอครับคุณ เจ้าของเขาไม่อยู่หรอกครับคืนนี้”

คุณลุง รปภ.บนหลังจักรยานทักทายเสียงดัง ยิ้มยิงฟันหลอให้ มนชิดาเดาเอาว่าน่าจะเป็น รปภ.ของบริษัทข้างหน้าถนนนี้เอง

“เขาไปไหนเหรอคะคุณลุง”

“เห็นว่าไปงานเทศกาลลานเบียร์น่ะคุณ ในสวนใกล้ๆ นี่เองครับ”

เสียงดนตรีป๊อปร็อกจังหวะสนุกดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในตอนแรกเธอไม่ได้สนใจเพราะนึกว่าเป็นเสียงเพลงจากในร้านส้มตำตรงปากซอย

ดูท่าว่าคุณลุงยามจะคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่น้อย นึกย้อนถึงใบหน้าเคลิ้มๆ ของเจ๊เป้ยามพูดถึงเขา ท่าทางคุณเจ้าของร้านเอฟเฟกต์กีตาร์คนนี้จะมีอัธยาศัยดีน่าดู

“จะไปลานเบียร์ไหมล่ะ มาซ้อนลุงสิ เดี๋ยวลุงไปส่ง”

มนชิดาลังเล ห้าทุ่มกว่าอย่างนี้ควรจะไปต่อหรือกลับบ้านดี

แต่อึดใจเดียวหญิงสาวก็ตอบว่า

“ไปค่ะลุง รบกวนด้วยนะคะ”

 



Don`t copy text!