พลิกรักทำนายใจ บทที่ 12.1 : ท่านพ่อร่างทรงองค์เทพ

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 12.1 : ท่านพ่อร่างทรงองค์เทพ

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

เป็นอีกครั้งในชีวิตที่ดวงศิริรู้สึกเหมือนตกหลุมอากาศ หยุดนิ่งและเคว้งคว้าง กดดันและเบื่อหน่าย ไม่ได้ดั่งใจแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

เธอยังไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน เผชิญหน้ากับมนชิดาและงานออกแบบที่ยัยหัวหน้าจอมจองเวรไม่ยอมให้ผ่านง่ายๆ เลิกงานตอนค่ำก็ฝ่าฝูงชนคนกรุง เบียดเสียดในรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อกลับคอนโดฯ แต่พอมาอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ต้องพบเจอหรือปฏิสัมพันธ์กับใครแล้ว ก็ใช่ว่าจะเกิดความสุข

คนเดียวที่เป็นที่พึ่งทางกายและทางใจคือรุ่นพี่หนุ่มบ้านใกล้ ด้านอริสากำลังยุ่งกับธุรกิจร้านกาแฟและเตรียมงานแต่งงาน จึงเหลือแต่ภูริสที่เธอสามารถแบ่งปันความเซ็งและความเศร้าได้บ้าง

เธอชอบเรียกบ้านของภูริสว่า ‘บ้านศิลปิน’

ภูริสไม่ได้เป็นนักร้องหรือนักดนตรีโดดเด่นกลางสปอตไลต์ แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพวกศิลปินอีกที

ในวงการเอฟเฟกต์กีตาร์แบรนด์ไทย ดวงศิริมั่นใจว่ายี่ห้อ Breakfuzz ของภูริสยืนหนึ่งไม่เป็นสอง

ร็อกเกอร์ ซูเปอร์สตาร์ที่แฟนเพลงตามกรี๊ดสนั่นนั่นก็ลูกค้าเขา เจ้าเอฟเฟกต์ช่วยเติมเต็มรายละเอียดเสียงกีตาร์ที่ควรจะดิบ แตก แข็งกร้าวให้เหมาะเจาะสมบูรณ์ บางครั้งดวงศิริก็นึกเสียดายที่อุปกรณ์นี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรู้จัก เป็นก้อนสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ใกล้เท้าของนักกีตาร์เท่านั้นเอง

แต่เพียงเท่านี้ก็ทำเอาภูริสแทบไม่ได้ก้าวเท้าออกจากบ้านแล้ว ดวงศิริเคยแซวว่า

‘ว้าว ออร์เดอร์เยอะอย่างนี้พี่ภูต้องเปิดโรงงานผลิตแล้วละ’

เขายักคิ้วทีหนึ่งแล้วตอบเรียบๆ

‘เทคนิคมันเยอะ เอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ พี่ทำได้คนเดียว’

ดวงศิริแกล้งโห่แซว ปัดมือหยอยๆ แล้วว่า ‘จ้ะ หวานรู้แล้วจ้ะ’ แต่เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้โม้สักนิด

นอกจากงานสั่งทำก็มีงานซ่อม เวลาพวกศิลปินหรือร้านขายกีตาร์ส่งเอฟเฟกต์มาให้ช่างภูซ่อมนั้น ไม่ได้มาเป็นตัว แต่มาเป็นลัง แล้วยังมีงานซ่อมกีตาร์ ซ่อมแอมป์อีก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสายดนตรีก็มี

หญิงสาวจำได้ว่า ภูริสเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้าในบริษัทพลังงานแห่งหนึ่ง งานประจำค่อนข้างหนักสมกับเงินเดือน เมื่อถึงจุดอิ่มตัวและต้องการมีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้นเขาจึงลาออกมาทำงานอิสระ แต่ด้วยฝีมือเฉพาะด้านเฉพาะทางของเขาเอง หญิงสาวคิดว่าตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีอิสระนักหรอก

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ว่างมานั่งคุยเล่นและทำอาหารให้กินเสมอ เหมือนเธอถือบัตรวีไอพี มีฟาสต์แทร็กลัดทุกคิวงาน

“กลับบ้านกันไหม” ภูริสถาม “ไปเจอพ่อกับแม่บ้าง จะได้อารมณ์ดีขึ้นนะ”

ดวงศิริเงยหน้าจากแกงเลียงกุ้งสด เมนูผักรวมสุดคลีนตอนห้าทุ่ม เธอไม่ได้กลับบ้านชุมพรนานมากแล้ว แต่กลับไปทั้งอารมณ์พังๆ แบบนี้ไม่รู้จะยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านหม่นหมองลงหรือเปล่า

ภูริสพอจะอ่านใจเจ้าน้องสาวออก เขาเปรยว่า

“เอ๊…กลับไปชุมพรทำอะไรกินดีนะ แกงปูใบชะพลู กุ้งทอดซอสมะขาม หอยแมลงภู่กับหอยเชลล์ทำอะไรดี ทาเนยแล้วอบชีสดีไหม”

หญิงสาวสะดุ้งมานั่งตัวตรง ยิ้มเผล่

“จริงแหละพี่ภู หวานควรกลับบ้านบ้าง พ่อกับแม่คิดถึงแย่แล้ว เดินทางศุกร์นี้เลยดีไหม”

เขายิ้มขำ “ลางานได้เหรอ”

“ได้ เดี๋ยวหวานแจ้งเวิร์ก ฟรอม โฮม ศุกร์กับจันทร์เลย”

 

การเดินทางไกลกลับบ้านเกิดกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เหตุเพราะดวงศิริไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนนอกจากที่ทำงาน คอนโดฯ และบ้านภูริส ไกลที่สุดน่าจะเป็นร้านสตาร์โรสเทอรี

วันนี้หญิงสาวสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ แต่งหน้าแค่เขียนคิ้วกับทาลิปมัน อยู่กับภูริสเธอทำตัวตามสบายได้เสมอ ไม่ต้องสวยชิคทุกกระเบียดเหมือนตอนไปพบลูกค้าหรือเข้าออฟฟิศ และยังแวะเที่ยวแวะกินตลอดทาง ทิ้งความเศร้าเซื่องซึมไว้ที่เมืองหลวงจนหมดจด

ทั้งสองมาถึงบ้านตอนค่ำ แม่กับพ่อของหญิงสาวลงมาต้อนรับ สองแม่ลูกกอดกันกลมดีใจใหญ่ที่ได้พบกัน ภูริสไหว้สวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง พ่อของดวงศิริชวนขึ้นบ้านไปกินข้าวเย็นด้วยกัน สำรับกับข้าวเพิ่งจัดเสร็จพอดี ชายหนุ่มตอบรับคำเชิญพร้อมทั้งนำของฝากจำพวกอาหารและขนมที่ไล่ซื้อตั้งแต่เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ขึ้นบ้านไปด้วย

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อากาศเย็นฉ่ำชื้นฝน ดวงศิริคว้าตะกร้าสานลงแปลงสวนครัวไปเก็บผักแล้วเข้าครัวช่วยแม่ทำกับข้าว กลิ่นแกงไตปลาชวนน้ำลายสอของแม่กระซิบว่า ชีวิตยังมีอะไรอีกตั้งมากมาย มากกว่าแค่เจ้านายน่าเบื่อ กับผู้ชายจอมปลอมที่จากไปแล้วคนนั้น

หลังกินมื้อเช้าด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เก็บล้างเสร็จเรียบร้อย พ่อก็ไปลงสวนทุเรียน แม่จะไปเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้า แต่ดวงศิริรีบชิงปูผ้าสักหลาด กางไพ่พร้อมก่อน

“แม่จ๋า มาดูดวงหน่อยเร็ว”

แม่หมอนั่งขัดสมาธิยิ้มแฉ่ง มารดาของแม่หมอเขม้นมองแล้วโบกมือไหวๆ

“ไฮ้ แม่แก่แล้ว ไม่มีดวงอะไรให้ดูหรอก”

“น่านะ ดูสนุกๆ เดี๋ยวนี้ลูกแม่เป็นหมอดูอันดับหนึ่งแห่งสยามประเทศแล้วนะแม่”

ท้ายสุดแม่ก็ยอมมานั่งเปิดไพ่ด้วยกัน ดวงศิริรู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะอันที่จริงแม่นี่แหละสายมูอันดับหนึ่ง

แม่ถามเรื่องทั่วไปเช่นว่า ปีนี้ทุเรียนจะขายดีไหม เงาะล่ะ มังคุดอีก น้ำท่าจะเป็นอย่างไร ดวงศิริพลิกไพ่และอ่านอย่างเพลิดเพลิน เพราะเธอเติบโตมาในครอบครัวเกษตรกรสายเสกอยู่แล้ว

พ่อมีหลวงตาที่เคารพศรัทธา พ่อเคยเล่าว่าสมัยหนุ่มรุ่นเคยเป็นเด็กวัดมาก่อน อาศัยนอนใต้กุฏิหลวงตาและกินข้าวก้นบาตรจนเติบใหญ่ ติดตามหลวงตาไปจำวัดที่โน่นที่นี่ทั่วประเทศไทย

หลวงตาท่านเป็นพระสายปฏิบัติ มีฌานสมาธิขั้นสูงและคาถาอาคม คอยสั่งสอนผู้คนให้เป็นคนดี ท่านเคยเจรจาต่อรองกับผีร้าย เสกน้ำทะเลเป็นน้ำจืดให้ชาวประมงที่ออกทะเลดื่มได้ และยังมีอิทธิปาฏิหาริย์มากมายที่พ่อกับพวกเด็กวัดได้เห็นกับตา

แต่สมัยนี้เล่าให้ใครฟังคงมิแคล้วถูกหาว่างมงาย หลวงตาท่านมรณภาพไปเป็นสิบปีแล้วด้วย แต่ดวงศิริไม่คิดสงสัย เพราะสมัยเด็กเธอสุขภาพร่างกายไม่ดีเท่าไร เจ็บป่วยบ่อย พ่อไปขอน้ำมนต์ของหลวงตามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ได้น้ำมันงาที่ท่านปลุกเสกให้มีฤทธิ์รักษาโรคภัย ใช้คลุกข้าวกิน เด็กหญิงอมโรคจึงรอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้

หญิงสาวไม่คิดว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์อาคมทั้งหมด แต่อย่างไรหลวงตาท่านก็เป็นผู้มีพระคุณสูงสุดท่านหนึ่ง อย่างชื่อของเธอ หลวงตาก็เป็นผู้ตั้งให้

ทว่า ‘ดวงศิริ’ ไม่ใช่ชื่อแรก สมัยเด็กเธอเคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วหนหนึ่ง

 

ย้อนไปเกือบสามสิบปี หลังจากที่พ่อออกจากวัดแล้วหันไปยึดอาชีพทำสวน จับมือกับแม่สร้างครอบครัวอบอุ่นผาสุกจนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เมื่อเด็กหญิงวัยแบเบาะแข็งแรงพอจะออกจากบ้านได้ ผู้เป็นพ่อก็อุ้มมาที่วัดเพื่อกราบหลวงตา

‘นี่ลูกสาวคนแรกของผมครับ หลวงตาตั้งชื่อให้หน่อยครับ เอาชื่อแบบเป็นมงคลเยอะๆ อยากให้แกโตมามีบุญบารมีเยอะๆ ครับ’

หลวงตายิ้มแย้มยินดี มองเจ้าหนูน้อยในห่อผ้าแล้วว่า

‘เรอะ งั้นชื่อบุญมากก็แล้วกันนะ’

เด็กหญิงบุญมากโตมาค่อนข้างลำบาก ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ดูแลไม่ดี แต่เพราะเพื่อนแถวบ้านและเพื่อนที่โรงเรียนรุมล้อชื่อกันกระจาย

แนะนำตัวหน้าห้องเพื่อนก็ขำ ครูเรียกเช็กชื่อเพื่อนก็หัวเราะ ยิ่งชื่อเล่นชื่อมาก ยิ่งโดนเรียกเสียงครวญครางทั้งวี่วัน…พี่มากขา พี่มากขา

เด็กหญิงบุญมากร้องไห้โยเยฟ้องแม่ฟ้องพ่อ ไม่ยอมไปโรงเรียนอีก ร้อนถึงหลวงตาที่นอกจากจะต้องปลอบใจหนูน้อยแล้ว ยังต้องตั้งชื่อใหม่ให้ด้วย

‘ไม่ไหวเลยครับหลวงตา สงสัยต้องพาไปเปลี่ยนชื่อแล้ว คราวนี้ขอชื่อเพราะๆ หน่อยนะครับ’

‘บ๊ะ เอ็งมันเรื่องมาก ชื่อบุญมากไม่เพราะตรงไหนวะ’

พ่อชะงักกึก ไม่กล้าเถียง เพราะนามเดิมก่อนบวชของท่านคือ บุญเหลือ

ฝ่ายแม่จึงลองพนมมือขอร้องดูบ้าง

‘หลวงตาเจ้าขา บุญมากก็เพราะเจ้าค่ะ แต่คนล้อเยอะเหลือเกิน ฉันสงสารลูก ขอชื่อที่มันดูเป็นผู้หญิง ไพเราะเพราะพริ้งหน่อยนะเจ้าคะ’

‘อ้ะ อ้ะ ได้ งั้นอยากได้เกี่ยวกับอะไรล่ะ’

แม่หันมองลูกสาวในอ้อมอกพ่อ เจ้าหนูร้องไห้กระซิก แต่ยังยอมอยู่นิ่งไม่วุ่นวาย

‘อยากให้แกเติบโตเป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นเจ้าคนนายคน ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรงเจ้าค่ะ’

‘ไอ้เรื่องพวกนี้มันทำเองได้หมดแหละ โยมอบรมสั่งสอนเจ้ามากมันให้ดีก็แล้วกัน มันทำตัวเองดี ชีวิตมันก็ดีเอง’

แต่แม่ยังพยายามไม่ลดละ

‘งั้นอยากได้ดวงดีๆ คอยหนุนหลังลูกอีกทีเจ้าค่ะ เอาแบบเฮงๆ มือขึ้นตลอดน่ะเจ้าค่ะ’

พระท่านแก้มกระตุก

‘มือขึ้นนี่ไม่ใช่เล่นพนันใช่ไหม’

‘ไม่ๆ เจ้าค่ะ หมายถึงดวงดีเจ้าค่ะ’

‘ดวงดีงั้นเรอะ เอ้า ชื่อดวงศิริก็แล้วกัน’

พ่อกับแม่หันมองลูกสาวโดยพร้อมเพรียง เจ้าเด็กสมบูรณ์หยุดร้องไห้แล้ว จ้องพระผู้ใหญ่ตาแป๋ว ผู้เป็นแม่ค่อยยิ้มได้

‘แล้วชื่อเล่นล่ะเจ้าคะ’

หลวงตาผู้ทรงฤทธิ์ขยับปากบุ้ยใบ้เล่นกับเด็กหญิงครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า

‘อืม เจ้าหนูนี่ตาหวาน ชื่ออะไรที่เกี่ยวกับขนมหวานแล้วกัน ชอบกินขนมอะไรก็ตั้งได้เลย’

 

ขบวนญาติโยมบ้านอื่นขึ้นศาลาการเปรียญมาถวายสังฆทาน ครอบครัวของดวงศิริจึงถอยลงมานั่งเล่นที่ม้านั่งหน้าศาลา แม่เริ่มถามก่อนว่า

‘พ่อๆ ชื่อเล่นเจ้ามากนี่ชื่ออะไรดีล่ะ’

‘นั่นสิ ตั้งให้เดี๋ยวไม่ถูกใจอีก’ เขาก้มมองลูกสาวที่นั่งเตะขาเล่น ‘มากเอ้ย หนูอยากชื่ออะไรดีลูก’

เด็กหญิงไม่ตอบ ชี้ไก่วัด หมาวัด แมววัด ทุกตัวที่เดินผ่านหน้า พ่อจึงหันมาถามแม่แทนว่า

‘ตั้งตามชื่อขนมที่มากมันชอบกินดีไหม’

‘อื้อ เอาสิ’ แม่ก้มถามลูกสาวบ้าง ‘มาก หนูอยากกินขนมอะไรดีลูก’

ดวงศิริไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ชี้มือไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงมั่นใจ ลานดินหน้าศาลาการเปรียญมีรถเข็นขายอาหารขนมเรียงรายอยู่หลายเจ้า

‘หือ จะดีเหรอลูก’

ผู้เป็นแม่ชักลังเล เพราะปลายนิ้วน้อยๆ ชี้ไปที่รถเข็นขายขนมถังแตก

‘เอาใหม่ลูก เอาใหม่ หนูชอบกินขนมอะไร’

เด็กหญิงดวงศิริมองพ่อที มองแม่ที ไม่เข้าใจว่าขนมถังแตกผิดตรงไหน แต่ก็ยอมชี้เป้าหมายใหม่ คราวนี้แม่อึ้งน้อยกว่าขนมถังแตกนิดหน่อย นิดเดียวเท่านั้น

‘เอ่อ ขนมครกเหรอลูก’ แม่หันรีหันขวาง ‘เอาไงดีพ่อ ให้ชื่อขนมครกไหม’

‘หนมครก หนมครก ก็เพราะดีนะ ไม่เลว ไม่เลว’

แม่กะพริบตาปริบๆ รู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล

‘เพื่อนๆ มันจะล้อว่าคางคกไหมล่ะพ่อ’

‘เออว่ะ’

พ่อกับแม่ประชุมเครียด กวาดตามองรถเข็นขายของกินข้างหน้าก็ไม่เห็นจะมีขนมอะไรเข้าท่า ข้าวเกรียบว่าวงั้นหรือ หมึกบด หรือจะตั้งชื่อลูกว่าน้องน้ำซาสี่ น้องไข่เต่า ไข่หงส์ น้องกล้วยแขก หรืออะไรดี

บุพการีของดวงศิริทั้งสองเสนอชื่อกันไปมาจนกลับถึงบ้านก็ยังไม่แล้วเสร็จ ท้ายสุดจึงวนมาที่โจทย์ หลวงตาบอกว่าชื่อขนมหวานอะไรก็ได้ งั้นชื่อขนมหวานก็แล้วกัน

 



Don`t copy text!