พลิกรักทำนายใจ บทที่ 16.1 : คุณครูสอนกีตาร์ของมนชิดา

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 16.1 : คุณครูสอนกีตาร์ของมนชิดา

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

มนชิดารู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูกยามตามเขาเข้ามาภายในบ้าน เห็นท่าทางสบายๆ คล่องแคล่วกับชุดเสื้อยืดกางเกงฟุตบอลของเขาแล้ว หญิงสาวก็เข้าใจได้เองว่า ภูริสไม่ใช่ลูกค้าที่มาซื้ออุปกรณ์ดนตรี แต่เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของร้าน และเจ้าของเพจ Breakfuzz คนนั้น

ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้ พรหมลิขิตต้องเรียกพี่แล้วมั้ง!

เขาหันกลับมา เธอเสมองไปทางอื่น ทำเป็นสำรวจบ้านด้วยเกรงว่าเขาจะรู้ว่าเมื่อครู่เธอสำรวจเขา

“บ้านคุณภูตกแต่งน่ารักดีนะคะ ให้ความรู้สึกอบอุ่นจัง”

“เหรอครับ น้องสาวผมเคยบอกแต่ว่ารก” เขาหัวเราะเบาๆ “เธอเป็นอินทีเรียน่ะครับ”

“อุ๊ย เหรอคะ มายด์ก็เป็นอินทีเรียเหมือนกัน”

“อ้าว ผมนึกว่าเป็นนักดนตรี”

“เล่นไม่เป็นสักอย่างเลยค่ะ ฟังได้อย่างเดียว”

ภูริสอึ้งไป คงสงสัยว่าไม่ใช่นักดนตรีแล้วมาซื้ออะไรที่นี่ มนชิดาจึงบอกจุดประสงค์ไปตามตรงว่าเธอกำลังหาไอเดียออกแบบตกแต่งห้องโถงนั่งเล่นของลูกค้าคนหนึ่งอยู่

ลูกค้าเป็นนักธุรกิจ ชอบเล่นดนตรี สะสมกีตาร์ จึงสนใจว่าพวกศิลปินจัดบ้านเป็นโฮมแกลเลอรีกันยังไง เก็บกีตาร์ยังไงให้รักษาของได้ดีและโชว์ได้ด้วย

ชายหนุ่มเข้าใจโจทย์ แต่ยังไม่วายพูดยิ้มๆ อย่างถ่อมตนว่า

“เรียกที่นี่ว่าโฮมแกลเลอรี มันออกจะดูดีเกินไปหน่อยมั้งครับ”

เขาเชิญนักออกแบบสาวเข้าไปในห้องนั่งเล่น เก็บแก้วน้ำสองใบกับจานขนมบนโต๊ะกระจกไว้ด้านหนึ่ง มนชิดามองไปรอบๆ บ้านหลังนี้ใช้วัสดุที่เรียบง่ายแต่แข็งแรงทนทาน มีของค่อนข้างเยอะแต่จัดวางเป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบ เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าตกแต่ง จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้มาเยือนถึงรู้สึกอบอุ่นเหมือนมาบ้านเพื่อนมากกว่าร้านขายของ

หญิงสาวสะดุดตากับการแขวนกีตาร์ไว้กับผนัง ตีกรอบไม้ล้อมไว้เหมือนเป็นกรอบรูปที่ขับโฉมประติมากรรมนูนต่ำอันละเอียดวิจิตร เพียงแต่ชิ้นงานนั้นมิใช่มาจากมือจิตรกร แต่เป็นกีตาร์ไฟฟ้าของจริง

ริมผนังด้านหนึ่งมีชั้นไม้กั้นเป็นช่องๆ ดูเผินๆ คล้ายชั้นหนังสือ แต่สิ่งที่จัดวางไว้ไม่ใช่ตำรับตำรา แต่เป็นก้อนเอฟเฟกต์กีตาร์รูปทรงสี่เหลี่ยม หลายขนาด หลากสีสัน มนชิดาเข้าไปดูใกล้ๆ ชั้นไม้นี้ทำช่องไว้ให้พอดีกับเอฟเฟกต์บางตัว แสดงว่าชั้นนี้ต้องสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ และออกแบบการวางเรียงเอฟเฟกต์ไว้ล่วงหน้า

“ผมต่อเองครับ” โดยไม่ต้องให้ถาม ภูริสพูดยิ้มๆ “เอฟเฟกต์พวกนี้เป็นของสะสมของผมน่ะครับ เป็นงานนอกที่ใช้ได้ในสภาพอากาศบ้านเรา ส่วนนั่น…”

เขาชี้มือไปที่ผนังอีกด้าน มีชั้นไม้คล้ายกันแต่ขนาดใหญ่กว่า “เอฟเฟกต์แบรนด์ของผมครับ Breakfuzz ทำชั้นรวบรวมไว้ เวลาลูกค้ามาดูจะได้เข้าใจง่ายๆ แต่วางไม่ครบทุกรุ่นหรอกครับ บางรุ่นผมขี้เกียจทำแล้ว มันจะเป็นของลิมิเต็ด ถ้าลูกค้าอยากดูก็ต้องถาม ผมถึงจะเอาออกมา”

มนชิดาหันมาแซวด้วยรอยยิ้ม คนเป็นอาร์ตทิส ถึงใจดีมากก็ยังเป็นอาร์ตทิสอยู่วันยังค่ำ

“ที่คุณมายด์ถามว่า เก็บกีตาร์ยังไงให้โชว์ได้ด้วย ความจริงง่ายนิดเดียวครับ แค่ใส่เคสไว้” เขายิ้มกึ่งขำกึ่งกวน แล้วดึงลิ้นชักตู้วางทีวีออกมา

มนชิดาประหลาดใจไม่น้อย เมื่อตอนเข้ามาเธอคิดว่าเป็นชั้นวางทีวีทั่วไป แต่พอเห็นลิ้นชักขนาดใหญ่ที่บรรจุเคสกีตาร์ได้ชั้นละตัว ซ้อนกันห้าชั้นแบบนี้ ก็คิดได้อย่างเดียวว่าต้องสั่งทำพิเศษอีกเช่นกัน

ไม่สิ ดูจากความเข้าเซตกันทั้งดีไซน์และลายไม้กับชั้นวางเอฟเฟกต์แล้ว ท่าทางคุณภูริสนี่แหละที่ต่อมันขึ้นมาเองกับมือ

“กีตาร์โปร่งที่ราคาแพงๆ คือกีตาร์ที่ทำจากไม้แท้ครับ ไม้จริงเป็นแผ่นๆ เลย ซึ่งไม้จริงเมื่อเจอความชื้นจะยืดหดได้ พังง่าย ส่วนกีตาร์ราคาถูกที่เห็นกันทั่วไปทำจากไม้ลามิเนต ข้อดีคือทนความชื้นได้ดีกว่า แต่เสียงก็คนละเรื่องกันเลยครับ

ดังนั้น สิ่งสำคัญในการเก็บรักษากีตาร์ก็คือความชื้น ไม่ตากแดด ไม่โดนความร้อน ไม่อยู่ในที่แห้งจัดหรือชื้นจัดก็โอเคแล้วครับ อย่างที่บอก ใส่เคสไว้ดีที่สุด”

เขายิ้มกวนหนนี้ ถูกมนชิดาค้อนใส่

“อ้ะ แต่ถ้าจะโชว์ ก็ลองนึกภาพร้านขายเครื่องดนตรีในห้างครับ เขาเอากีตาร์มาแขวนโชว์ใช่ไหม ในห้างเปิดแอร์เกือบตลอด รักษาอุณหภูมิกับความชื้นได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ กีตาร์ที่เขาเอามาโชว์มักไม่ใช่ตัวแพงหรอก”

“แล้วถ้าอยากโชว์ตัวแพงล่ะคะ”

“ทำตู้โชว์ดีๆ มีเครื่องคุมความชื้นก็ใช้ได้ครับ ความชื้นสักห้าสิบถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าต่ำกว่านี้มันแห้งเกิน ไม้จะแคร็กหรือแตกได้ ถ้าสูงกว่านี้ก็แน่นอนครับ บิด เสียรูป”

มนชิดาขอถ่ายรูปมุมตกแต่งกับเฟอร์นิเจอร์ทำมือที่เธอสนใจ ภูริสก็อนุญาตอย่างยินดี เขาเพิ่มเติมว่า

“ไม่แน่ว่าลูกค้าคุณมายด์อาจจะเล่นพวกแอมป์ด้วยก็ได้นะครับ”

“แอมป์…หรือคะ”

“ใช่ครับ ถ้าเขาสะสมกีตาร์แพงๆ ก็น่าจะเก็บแอมป์เก่าๆ เหมือนกัน บางรุ่นอายุมากกว่าผมอีก แอมป์ยุคก่อนมีเสียงเป็นเอกลักษณ์แบบที่แอมป์สมัยใหม่ไม่มีทางทำได้เหมือนนะครับ มันไม่ใช่ว่าของตกรุ่นล้าสมัยแล้วจะกลายเป็นแค่ของเก่า ตรงกันข้ามเลยครับ คนยิ่งให้คุณค่า ราคายิ่งเพิ่ม”

ฉับพลันนั้น มนชิดาได้ยินเสียงคลิกในใจ หากจะให้ตีความคำว่าวินเทจที่ดูโมเดิร์นแล้ว เธอจะแทนความหมายด้วยสิ่งเหล่านี้

“คุณมายด์อยากดูตรงไหนเพิ่มเติมไหมครับ”

เขาถามอย่างเอื้อเฟื้อ หญิงสาวไม่มีข้อสงสัยแล้วแต่ไม่กล้าตอบ กลัวว่าจะถูกเชิญกลับ เธอดื่มน้ำที่เขาเสิร์ฟรับรองจนหมดแก้วพลางคิดว่า ทำยังไงดีนะถึงจะได้มาที่นี่อีก มาบ่อยๆ ด้วย

ที่สุดแล้วจึงกลั้นใจ โพล่งไปว่า

“คุณภูช่วยสอนมายด์เล่นกีตาร์หน่อยได้ไหมคะ”

ภูริสเบิกตากว้าง

“ยังไงนะครับ”

“คือ พอมาเห็นกีตาร์สวยๆ แบบนี้มันรู้สึกอินอย่างบอกไม่ถูกค่ะ เลยเกิดอยากเล่นกีตาร์ขึ้นมา”

เขาเกาข้างขมับยิ้มๆ

“ผมไม่เก่งพอจะสอนใครหรอกครับ”

“ไม่จริงเลยค่ะ งานลานเบียร์คืนนั้นคุณภูเล่นเพราะออกนะคะ”

ชมตรงๆ ออกไปแล้ว คนพูดก็ชักจะเขินเอง จึงรีบแก้เก้อ

“มายด์มือใหม่เลย ไม่มีพื้นฐานมาก่อน แต่รับรองว่าจะตั้งใจเรียนค่ะ”

“แต่ว่า…”

เห็นสายตาเขามองมาที่เล็บของเธอ ก็พอจะเข้าใจความหมาย

“เล็บเจลเอาออกได้ค่ะ ต้องตัดสั้นเลยใช่ไหมคะ”

เขาพยักหน้า ยังคงดูหนักใจ

“มายด์รบกวนคุณภูหรือเปล่าคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้นะคะ”

“ผมกำลังคิดว่าคุณมายด์จะต้องกลับบ้านดึกมากน่ะครับ มีงานประจำไม่ใช่เหรอ ว่างมาเรียนกี่โมงครับ”

มนชิดากลั้นยิ้มสุดความสามารถ พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดความดีใจไว้ไม่ให้ล้นออกนอกหน้า

“แล้วคุณภูสะดวกกี่โมงเหรอคะ หรือเป็นกลางวันวันเสาร์อาทิตย์ดี”

“ถ้าคุณมายด์สะดวกวันธรรมดา จะมาเวลานี้ก็ได้ครับ ผมเปิดร้านบ่าย ๆ ถึงตีสามเพราะพวกนักดนตรีเขาว่างมากันตอนดึกๆ กว่าจะเลิกงาน เลิกคอนเสิร์ต บางคนเล่นที่ร้านอาหารอะไรแบบนี้ ศิลปินเขานอนกลางวัน ใช้ชีวิตกลางคืนกันน่ะครับ”

“พอดีเลยนะคะ มายด์ก็เลิกงานดึกเหมือนกัน”

หลังนัดแนะการพบกันครั้งต่อไปเรียบร้อย มนชิดาก็ขอตัวลากลับ ซอยมืดเปลี่ยวซอยเดิมแต่หญิงสาวรู้สึกว่าสว่างไสวราวกับวิ่งเล่นอยู่ในท้องทุ่งทานตะวัน

 

 

 



Don`t copy text!