พลิกรักทำนายใจ บทที่ 15.1 : เพลงที่เธอไม่เคยได้ฟัง

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 15.1 : เพลงที่เธอไม่เคยได้ฟัง

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ภูริสหย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้เหล็กหน้าเวทีพร้อมแก้วเบียร์เย็นๆ ในมือ แต่ริมฝีปากยังไม่ทันแตะขอบแก้ว อาร์ต มือกีตาร์วงแหวนดาวเสาร์ก็กวักมือเรียกยิกๆ ให้ไปหลังเวที

ชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่รู้ทันทีว่า เจ้าพวกนี้ก่อเรื่องอีกแล้ว

“พี่ภู ขึ้นเวทีให้หน่อยดิพี่ แป๊บเดียว” คนเรียกกระซิบกระซาบ ร้อนรน

“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

“ไอ้โอ๊คอะดิ มันกินส้มตำอิท่าไหนไม่รู้ท้องเสีย ไปโน่นแล้ว”

พูดพลางหน้านิ่วบีบจมูกไปด้วย ภูริสทันเห็นหลังเจ้ารุ่นน้องนักร้องนำวิ่งเขยกมือตะปบก้นอยู่ไกลๆ อีกด้านหนึ่งพิธีกรสาวของงานยืนตีหน้ายักษ์ กำไมโครโฟนแน่น ทำท่าเหมือนจะใช้ตีหัวนักดนตรีผิดคิว

ภูริสย่นคอแล้วว่า

“เฮ้ย เล่นอะไร พี่ไม่ได้ซ้อม ไม่รู้คิวอะไรเลย”

“ไม่ต้องร้องแทนไอ้โอ๊คมันก็ได้ พี่ภูขึ้นเดี่ยวเลย”

“บ้าสิ”

“น่านะ พี่ภู ผมขอร้องละ”

ภูริสไม่ทันขยับปาก เสียงแหลมๆ ก็แหวมาว่า

“นี่ วงแหวนน่ะ จะขึ้นไหมคะ พิธีกรชายเขาถ่วงเวลาให้นานแล้วนะ”

พิธีกรหญิงเร่งแล้ว ภูริสหันมองบนเวที ชายหนุ่มหล่อผู้เป็นพิธีกรกำลังร่ายยาวอย่างสนุกปากด้วยการเล่าประวัติศาสตร์เบียร์โลก จริงบ้าง มุกบ้าง เรียกเสียงหัวเราะได้บ้างแม้จะมีเหงื่อไหลเป็นทางหยดข้างขมับ ส่วนผู้ชมในลานเบียร์นั้นต่างกิน ดื่ม บ้างพลิกมองนาฬิกา สีหน้าเบื่อหน่ายชอบกล

เจ้าโอ๊คร้องนำก็คงทิ้งบอมบ์ไม่เสร็จเร็วๆ นี้แน่ ภูริสถอนใจระอาเฮือกใหญ่

 

มนชิดาก้าวเชื่องช้าเข้ามาในสวนสาธารณะซึ่งประดับไฟแสงสี มีซุ้มอาหารเครื่องดื่มเรียงราย ถอดเบลเซอร์พับพาดไว้กับแขน วันนี้ทั้งวันเธอใช้แรงกายและแรงสมองทำงานจนสุดพลังทีเดียว อยากทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่มที่สุด แต่เมื่อได้ข่าวว่ามีงานเทศกาลลานเบียร์ในสวน เธอก็อดไม่ได้ ฝืนร่างกายแวะมาดูสักหน่อย

ใครๆ ก็มองเธอเป็นสาวไฮโซ หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง ใช่แล้ว เธอตั้งใจรักษาภาพลักษณ์เช่นนั้น นั่นเพื่อรักษาหน้าครอบครัวที่ร้าวฉานของเธอเอง

มนชิดาไม่เคยลืมว่าเธอเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่สมบูรณ์เหลือเฟือทั้งความรักและเงินทอง

พ่อทำธุรกิจค้าขายอุปกรณ์การเกษตรเจ้าใหญ่ที่จังหวัดชุมพร แม่ช่วยดูแลร้าน แต่เดิมแม่เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของร้านทอง ตอนที่พ่อจีบแม่นั้นพ่อยังมีแต่ตัว เป็นเด็กวัดที่พยายามถีบตัวเองขึ้นสูง

ยิ่งมาหลงรักแม่พ่อยิ่งทะเยอทะยาน เรียนจบอนุปริญญาแล้วเปิดร้านทำธุรกิจ สร้างบ้านหลังใหญ่ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันว่าแม่จะไม่ลำบาก พ่อต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากกว่าตากับยายจะยอมลดทิฐิและใจอ่อนยอมยกแม่ให้แต่งงานด้วย

แต่เพื่อนสนิทของพ่อที่เคยเป็นเด็กวัดด้วยกัน ไม่ได้เก่งและเอาจริงเอาจังอย่างพ่อของเธอ มาหยิบยืมเงินพ่อหลายครั้งแล้วไม่คืน ซื้อของที่ร้านไปด้วยเงินเชื่อ เชื่อแล้วหายจนแม่ทะเลาะกับพ่อ

พ่อให้เหตุผลว่าเพื่อนคนนี้ต้องช่วยเหลือ เพราะตอนเป็นเด็กวัดเคยลำบากด้วยกัน อดด้วยกัน อิ่มด้วยกัน ทำงานหนักด้วยกันและไม่เคยทิ้งกันสักครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่จับได้ว่า เพื่อนพ่อคนนั้นยืมเงินไปซื้อหวย อ้างว่าได้เลขเด็ดมา นำเงินไปทำพิธีบูชาอะไรสักอย่างที่แม่ไม่เห็นว่ามีสาระ มนชิดาเองก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ งมงายทั้งเพ ถ้าบูชาผีสางแล้วร่ำรวยจริง พ่อคงไม่ต้องเอ่ยปากทวงเงินด้วยความเกรงใจอย่างนี้

จุดผกผันของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเพื่อนพ่อ รวมถึงครอบครัวของเธอเกิดจากการยืมเงินก้อนใหญ่

ลูกสาวของเพื่อนพ่อคนนั้นป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ต้องเข้าผ่าตัด เพื่อนพ่อมายืมเงินอีกแล้วในจำนวนมากกว่าทุกครั้ง

ทั้งที่เคยสัญญากับแม่ไว้แล้วแต่พ่อก็หักใจไม่ให้ยืมไม่ได้ เพราะท่านเคยอุ้มชูเด็กผู้หญิงคนนั้นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและไม่อาจปล่อยให้เป็นอะไรไปทั้งที่พอจะช่วยได้

ผลลัพธ์เป็นไปตามที่มนชิดาในวัยเด็กคาดเดา เด็กหญิงคนนั้นได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแต่เงินก้อนใหญ่พ่อไม่ได้คืน พอดีกับจังหวะที่มีมรสุมเข้าภาคใต้ตอนบน พื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายหนัก เพื่อนพ่อคนนั้นบอกว่าต้นยาง ต้นทุเรียน และต้นอะไรต่อมิอะไรของเขาตายเกือบหมด ต้องใช้เงินเก็บมาปรับปรุงปลูกใหม่ จึงไม่มีเงินมาคืนพ่อ อย่างน้อยก็เร็วๆ นี้

ความโหดร้ายคือ มรสุมลูกนั้นพัดพาหายนะมาสู่ครอบครัวเธอเช่นกัน

โกดังสินค้าถูกไฟไหม้ กว่าจะควบคุมเพลิงได้สินค้าล็อตใหม่ที่เพิ่งลงก็ไม่เหลือแล้ว ทั้งถูกไฟเผาและถูกขโมย ตอนรู้ข่าวแม่ตกใจจนเกือบเป็นลม แต่ยังทันนึกได้ว่าทำประกันอัคคีภัยไว้ ทว่าพ่อยืนคอตกหน้าซีด บอกว่าเงินที่ว่าจะนำไปต่อเบี้ยประกันนั้นคือก้อนที่นำไปให้เพื่อนสนิทหยิบยืม

ค่ำวันนั้นพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างไร มนชิดาไม่เคยลืม

เด็กสาวไม่เคยเห็นแม่ผู้ใจดีราวนางฟ้าอาละวาดก็ได้เห็น ไม่เคยเห็นพ่อผู้สุภาพอ่อนโยนลงไม้ลงมือกับใคร ก็ได้ลิ้มรสและรับลูกหลงด้วย

จากวันนั้นชีวิตของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งครอบครัว การเงิน และสภาพจิตใจ

ไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือพ่อ ลูกหนี้ทุกรายล้วนหนีหายทั้งที่ตอนยืมนั้นแทบจะกราบกราน แม่ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ตากับยายโกรธมาก สั่งให้แม่กลับมาอยู่บ้านและแม่ก็ไป พ่อกลายเป็นคนติดเหล้า ทรัพย์สินที่มีขายไปในราคาถูกเพื่อให้พอหมุนเงินในธุรกิจได้ เด็กหญิงมนชิดาหัดนั่งเก๊ะเฝ้าร้านขายของ เป็นลูกมือครูวิชาศิลปะทำงานเล็กๆ น้อยๆ เก็บออมเป็นค่าเทอม และหวังอยู่ทุกวันว่าพ่อกับแม่จะลุกขึ้นมาเข้มแข็งแบบเธอบ้างในสักวันหนึ่ง แต่จนวันนี้ก็ยังไม่เคยสมหวัง

เพื่อนพ่อคนนั้นคือพ่อของดวงศิริ เด็กหญิงที่ป่วยเป็นโรคหัวใจก็คือดวงศิรินั่นเอง มนชิดาเคยถูกพวกเพื่อนของดวงศิริที่โรงเรียนด่าลับหลังว่าเป็นอีนางมารร้าย จองล้างจองผลาญไม่เลิก มนชิดาเชิดหน้ายิ้มรับคำนั้นราวคำชม ใช่ เธอเป็นแบบนั้นและจะเป็นให้มากขึ้นอีก

ทำไมคนอ่อนแอถึงได้รับการปกป้องดูแล เป็นผู้รับความช่วยเหลืออย่างชอบธรรม ส่วนคนที่พยายามเข้มแข็งจนสร้างตัวเองขึ้นมาได้ต้องเป็นฝ่ายเกื้อหนุนและเสียสละ ต้องเป็นฝ่ายให้อย่างมีน้ำใจ มนชิดาไม่เคยเห็นด้วยและไม่เห็นว่าสมเหตุสมผลตรงไหน

อยากมีชีวิตที่ดีต้องใฝ่รู้ ฝึกฝน และลงมือทำ มนชิดาเชื่ออย่างนั้นมาเสมอ ที่เธอมีผลการเรียนดีตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันทางวิชาการ ได้เป็นประธานนักเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ โดดเด่นทั้งเรียนและกิจกรรม ทุกอย่างได้มาเพราะหน้าตาหรือโชคช่วยหรือ ไม่เลย…หญิงสาวซับน้ำตาที่รื้นริมขอบตา เธอทุ่มเท เคี่ยวกรำ ลงมือทำด้วยสองมือทั้งนั้น

แล้วดวงศิริเล่า ผู้หญิงอ่อนแอขี้โรคคนนั้นเคยทำอะไรบ้าง นอกจากตระเวนบนบาน ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ดูดวงไพ่ยิปซี ครอบครัวของดวงศิริที่ชุมพรยังคล้ายเมื่อสิบปีก่อน ทำการเกษตร ปลูกผักผลไม้ส่งขาย ดูว่ามีชีวิตสุขสงบสมถะ แล้วครอบครัวของเธอที่แตกร้าวไปแล้วเล่า นอกจากความสมเพชเวทนาแล้ว มีใครให้ความยุติธรรมบ้าง

มนชิดานึกถึงความขมขื่นที่เคยได้สัมผัสในคืนหนึ่ง คืนที่แสนสับสน

หลังจากเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ได้สนุกกับประสบการณ์ใหม่ ทั้งมหาวิทยาลัย หอพัก เพื่อนใหม่ สังคม และกิจกรรมหลากหลาย มนชิดากลับมาเป็นเด็กสาวสดใสดังเดิม กระทั่งเข้าเรียนชั้นปีที่สอง เธอเพิ่งรู้ว่าพ่อกับแม่จดทะเบียนหย่ากันหลายปีแล้ว แต่ปิดเป็นความลับมาตลอดเพราะกลัวเธอจะเสียใจจนอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้

นักศึกษาสาวในวันนั้นนั่งรถเมล์ไปเรื่อยไร้จุดหมาย เหม่อมองออกนอกหน้าต่างให้ภาพถนนหนทาง บ้านช่อง และผู้คนเคลื่อนผ่านสายตาไปเปล่าๆ เมื่อคนลงรถเยอะเธอก็ลงบ้างทั้งที่ไม่รู้ว่าคือที่ใด หัวใจอ้างว้างหลงทางจูงเธอเข้าไปในสวนสาธารณะซึ่งกำลังจัดงานคอนเสิร์ตเล็กๆ

คนลงรถเมล์เกือบหมดทั้งคันเพราะจะมาคอนเสิร์ตนี้นี่เอง มนชิดาเดินเปะปะ ปะปนเข้าไปด้วยคน

ดวงตาแดงก่ำบวมช้ำ เลื่อนลอยไร้จุดหมายกลับหยุดมองจ้องไปบนเวที เบื้องหน้าฉากกราฟิกสีสวยและแสงไฟประดับ มีชายคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้กับกีตาร์โปร่งสีดำ

นิ้วมือเรียวของเขาเคลื่อนไปบนสายกีตาร์ทั้งหกราวกับเป็นมิตรสหายกันมาช้านาน บรรเลงเพลงพลิ้วไหวเคล้าไปกับบรรยากาศสดชื่นชุ่มฉ่ำ เสียงทุ้มอบอุ่นที่ขับขานนั้น เรียกให้น้ำตาที่เริ่มเหือดหายไปแล้วกลับทะลักทลายลงอีกครั้ง

ทว่าน้ำตาสายนี้มิใช่ร่ำระบายความผิดหวังทดท้อเช่นครั้งก่อน แต่เป็นเพราะรู้สึกเหมือนได้พบที่พึ่งทางใจผู้แสนอบอุ่น ตัวโน้ตทุกตัวเหมือนมาเรียงร้อยเป็นสายโอบล้อมกอดเธอไว้ กระซิบปลอบโยนว่า อย่างน้อยก็มีที่ตรงนี้ที่เข้าใจและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเธอ

 

มนชิดาในวันนี้ซื้อเบียร์มาหนึ่งแก้ว นั่งลงฟังดนตรีที่ชุดโต๊ะเหล็กด้านหน้า ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษายืนอ่อนล้าอยู่ข้างหลังสุดเหมือนเมื่อหลายปีก่อน

จิบเบียร์จนพอสดชื่นแล้ววางแก้วลง ก็พอดีกับศิลปินคนต่อไปขึ้นแสดง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อแจ็กเกตยีนสีเข้ม มาคนเดียวกับกีตาร์โปร่งสีดำ นั่งลงบนเก้าอี้กลางเวที

มนชิดาคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งคุ้นหูเมื่อเขาพูดผ่านไมโครโฟนว่า

“สำหรับใครก็ตามที่รู้สึกว่า โลกใบนี้มันหมุนเร็วเหลือเกิน จนตัวเราถูกเหวี่ยงไปตกหล่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แค่คนเดียว…”

วินาทีนี้เองที่ข้างในอกของหญิงสาวเกิดอาการสั่นอย่างประหลาด เขาหันมายิ้มทางนี้ ไม่รู้ว่ายิ้มให้เธอหรือใคร แล้วพูดต่อ

“ในวันที่เราสูญเสียศรัทธา ขาดความเชื่อมั่นไปแล้ว ผมอยากจะบอกว่า…”

จังหวะที่เว้นนี้ ทั้งลานเบียร์เงียบกริบทีเดียว เขากระตุกยิ้มแล้วเฉลย

“ไม่เป็นไรครับ ขาดได้ก็ต่อใหม่ได้”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมา ส่วนศิลปินผู้พูดยิ้มกว้างกว่าใคร ขัดเขินที่มุกแป้กสนิท

“แด่ความเชื่อทั้งปวงบนโลกใบนี้ครับ เชื่ออะไรก็เชื่อได้ แต่อย่าลืมเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือตัวเรา”

เสียงกีตาร์ขึ้นเพลงเบาๆ สอดประสานด้วยเสียงร้องของศิลปินหนุ่ม ลานเบียร์ในสวนเงียบสงบคล้ายถูกสะกดอยู่ในห้วงเวลา

ใจที่สั่นไหวอยู่แล้วของมนชิดากระตุกเป็นจังหวะแรงขึ้น แรงขึ้น ร่างกายที่อ่อนล้ากลับสดชื่นทันใด เธอแน่ใจแล้วว่าเคยพบเขามาก่อน ภาพที่ปรากฏตรงหน้านี้ เสียงที่สดับได้ยินอยู่เวลานี้ เธอเคยมีประสบการณ์มาก่อน

เธอไม่ได้โชคร้าย ชีวิตไม่ได้ใจร้าย เธอแค่พบเรื่องร้ายบ้างก็เท่านั้น

วันนี้ไม่ใช่วันดี แต่ในเรื่องร้ายยังมีดี แค่มองหาให้เห็นมัน

อาจไม่มีใครเข้าใจ แต่รู้ไหมยังมีฉันที่เชื่อในตัวตนเธอเสมอ

เชื่อใจตัวเองแล้วก้าวต่อไป อยากให้เธอมั่นใจ

เชื่อใจฉัน…เชื่อมั่นในเรา

เพลงเพลงนี้ยังเรียกน้ำตาจากเธอได้เสมอ จะผ่านไปกี่ปีเมื่อได้ยินเพลงนี้ก็รู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า คนเดียวในโลกที่เข้าใจสิ่งที่เธอเชื่อและเป็นอยู่ เมื่อจบเพลง เขาลงจากเวทีไปแล้วถูกแทนที่ด้วยวงดนตรีป๊อปร็อกที่พิธีกรประกาศชื่อว่า วงแหวนดาวเสาร์ หญิงสาวไม่ได้อยู่ฟัง รีบลุกวิ่งไปข้างหลังเวที

“เอ่อ ขอโทษนะคะ”

เมื่อเธอส่งเสียงออกไป ศิลปินหนุ่มเมื่อครู่ก็หันมา เขากำลังเก็บกีตาร์โปร่งไฟฟ้าสีดำลงในกระเป๋า

มนชิดาเพิ่งสังเกตเมื่อได้ยืนใกล้ๆ เขาถอดแจ็กเกตยีนออกแล้ว เผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ เขาดูอ่อนเยาว์กว่าที่เห็นบนเวที

“เพลงเมื่อกี้นี้เพราะมากเลยค่ะ ชอบมากเลย”

เขายิ้ม รอยยิ้มของเขาราวกับมีประกายวิบวิบประดับประดา

“ดีใจที่ชอบครับผม”

“เหมือนเคยฟังเมื่อตอนเด็กๆ ด้วย มายด์น่าจะเคยได้ดูโชว์ของคุณมาก่อนค่ะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“สมัยเด็กๆ เลยเหรอครับ”

“เอ่อ ไม่กี่ปีก่อนก็ได้ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “มายด์จะติดตามผลงานของคุณได้ทางไหนบ้างคะ มีช่องหรือเพจไหมคะ ถ้าเป็นไปได้ เพลงเมื่อกี้นี้อยากดาวน์โหลดเก็บไว้เลยค่ะ”

คราวนี้เขามีท่าทีลังเล

“เอ่อ พอดีผมแค่ขึ้นไปเล่นคั่นวงให้เฉยๆ น่ะครับ ไม่ได้เล่นดนตรีจริงจัง ผมทำงานเบื้องหลังมากกว่าน่ะครับ”

“เหรอคะ เสียดายจัง”

“เอ้อ จะว่าไป กำลังคิดจะเปิดช่องพอดีเลยครับ จากนี้ก็น่าจะ…ออกซิงเกิลเองเล่นๆ มากขึ้นครับ”

มนชิดายิ้มกว้าง

“รอฟังเลยค่ะ ชื่อช่องอะไรเหรอคะ”

นักร้องหนุ่มดูอึ้งไป ท่าทางเขาจะยังไม่ได้ตั้งชื่อ มนชิดาไม่เซ้าซี้ เปิดกระเป๋าหยิบนามบัตรยื่นส่งให้

“ชื่อมายด์นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับคุณมายด์ ผม…ภูครับ”

เขารับกระดาษใบน้อยไป แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“ผมไม่มีนามบัตร ขอแลกเป็นเฟซบุ๊กแล้วกันนะครับ”

 



Don`t copy text!