พลิกรักทำนายใจ บทที่ 12.2 : ท่านพ่อร่างทรงองค์เทพ

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 12.2 : ท่านพ่อร่างทรงองค์เทพ

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

พ่อของดวงศิรินับถือพระ ส่วนแม่นั้นนับถือคนทรง

ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่อาศัยอยู่มีตำหนักทรงเจ้าที่เป็นที่นับถือของคนละแวกนั้น คนทรงท่านเป็นชายอายุราวสี่สิบปลาย แต่ดูหมดจดสง่างามเหมือนสามสิบปลาย ดวงศิริมากราบท่านพ่อครั้งแรกตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ท่านเป็นอย่างไรก็เหมือนเดิมเช่นนั้น กาลเวลาไม่ทำให้ท่านชราลงได้เลย

ท่านพ่อเป็นร่างทรงขององค์เทพฮินดูสำคัญองค์หนึ่ง ในตำหนักที่ขนาดไม่ใหญ่โตแต่ตกแต่งหรูหราโอ่อ่าจึงเต็มไปด้วยประติมากรรมรูปปั้น งานแกะสลักเทพฮินดูองค์นั้น สำหรับประดับตกแต่งและให้ลูกศิษย์เช่าบูชา

ดวงศิริไม่เคยไปตำหนักร่างทรงที่อื่น เคยแต่ดูละคร เห็นว่ายามองค์เทพ หรือเจ้าพ่อ เจ้าแม่ลงประทับ ร่างทรงจะโยกขโยกตัวอย่างแรง ดังคำที่คนเขาว่า ‘สั่นเป็นเจ้าเข้า’ เสื้อผ้าหน้าผมก็แต่งกายให้เข้ากับองค์เทพที่ประทับ เป็นต้นว่าหากเทพเป็นเสือ คนทรงก็นุ่มห่มผ้าลายเสือ เทพเป็นงูขาวก็สวมชุดสีขาว ย้อมผมขาวตามด้วย ยามองค์ลงก็ลุกขึ้นเต้นเลื้อยเป็นงูเสียทีหนึ่ง

แต่ท่านพ่อที่เคารพนี้ท่านนิยมนุ่งขาวห่มขาวปกติ มีผ้าถักโครเชต์ฝีมือประณีตชิ้นสี่เหลี่ยมผืนยาวพาดบนบ่า เวลาองค์เทพประทับ ท่านพ่อเพียงแต่นั่งขัดสมาธิ หลับตา สีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังนึกเรื่องสำคัญอยู่ พอลืมตาขึ้นมาก็คือองค์เทพประทับแล้วเรียบร้อย

ส่วนเรื่องความแม่นของการดูดวงชะตา ทำนายอนาคต ดวงศิริให้ท่านพ่อเก้าเต็มสิบพอ ขอหักหนึ่งแต้มเพราะมีบางเรื่องที่ท่านพ่อทักไว้แล้วไม่เห็นจะเกิดจริง

ท่านพ่อเคยทักว่าจะมีคนดีๆ เข้ามารักชอบอย่างจริงใจตั้งแต่ตอนเรียนชั้นปีที่หนึ่ง หญิงสาวตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก ตอนทำค่ายแนะแนวให้น้องๆ นักเรียนมัธยมจังหวัดชุมพร ยังเคย ‘โม้’ ให้ภูริสฟังว่า

‘พี่ภูว่าอย่างหวานน่าจะตรงสเป็กหนุ่มคณะไหน ท่านพ่อบอกว่าปีนี้น้องจะเจอเนื้อคู่ละ’

พี่บัณฑิตที่มาช่วยทำค่ายเลิกคิ้วสูง ตอบยิ้มๆ

‘แล้วหวานชอบหนุ่มคณะไหนล่ะ วิศวะเป็นไง’

ดวงศิริย่นจมูกแล้วส่ายหน้า

‘ไม่เอาอะ พวกเด็กวิศวะเถื่อนเกิน’

ตอบโชะชัดเจนฉะฉาน ลืมคิดซะสนิทว่าคนถามเขาจบคณะอะไรมา แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา ทั้งสองทำค่ายมาด้วยกันมากมาย ทั้งค่ายแนะแนว ค่ายอาสา ค่ายสร้าง ค่ายอนุรักษ์ จนสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้อง คำพูดนิดหน่อยแค่นี้ไม่มีระคายหู

ลูกดวงรับเชิญกิตติมศักดิ์จับไพ่ถามถึงยอดขายผลไม้จนหมดสวนแล้ว ทักขึ้นอย่างนึกได้ว่า

“ไหนๆ ก็กลับมาแล้ว ไปกราบท่านพ่อหน่อยไหมล่ะ”

แวบแรกดวงศิริขี้เกียจไป นานๆ กลับมาทีอยากจะพักผ่อนอยู่บ้านให้เต็มอิ่ม แต่พอนึกได้ว่า เธอสามารถนำพี่มิ่งมงคลไปให้ท่านพ่อช่วยปลุกเสกเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ จึงเกิดแรงฮึดขึ้นมา

“ไปจ้ะแม่ แหม เสียดายไม่ได้เอาไพ่สำรับอื่นมาด้วย จะได้ให้ท่านพ่อเสกให้หมดเลย”

“ชวนพี่ภูเขาไปด้วยสิ”

หญิงสาวลังเลเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรภูริสไม่ใคร่จะเชื่อเรื่องที่มองไม่เห็นนัก แต่ท้ายสุดก็ลองโทรศัพท์ไปชวนดู คิดซะว่าพาหนุ่มวิศวะที่เอาแต่ยึดมั่นในเหตุผลตรรกะและวิทยาศาสตร์ไปเปิดหูเปิดตา

 

เมื่อมาถึงตำหนักองค์เทพ ทั้งสามได้รับเชิญเข้าพบท่านพ่อที่ด้านในห้องโถง คนทรงผู้ทรงศีลนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ ส่วนแม่ ดวงศิริ และภูริสนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นพรม

ท่านพ่อไม่แก่ลงเลยจากครั้งล่าสุดที่มากราบท่านเมื่อปีก่อน ดวงศิริชื่นชมในใจ อยากจะถามสูตรสกินแคร์ท่านสักหน่อยก็กลัวจะถูกเอ็ดเอา ท่านยังคงเป็นหนุ่มรูปงามที่กระฉับกระเฉงและคุยสนุก สิ่งที่ต่างจากเมื่อก่อนคงมีอย่างเดียวคือวันนี้ท่านพ่อยิ้มละไม คล้ายปลื้มใจอะไรอยู่ แต่มุมปากท่านยกยิ้มคล้ายกลั้นหัวเราะ

ท่านพ่อมองดวงศิริที ภูริสที แล้วถามด้วยน้ำเสียงกังวานว่า

“ไงเจ้าหวาน มาขอฤกษ์แต่งงานเหรอ”

หญิงสาวสะดุ้งซะไหล่กระตุก

“อุ้ย เปล่าค่ะท่านพ่อ นี่พี่ชายค่ะ ไม่ใช่แฟน แหม ที่ท่านพ่อเคยบอกว่าหนูจะเจอเนื้อคู่ตั้งแต่ปีหนึ่ง จนวันนี้ยังไม่เคยคบใครได้ยาวเลยค่ะ”

คนทรงผู้สง่างามหัวเราะหึหึ

“เอ็งไม่เชื่อพ่อก็ตามใจ อ้ะ เอาไพ่ไปตั้งไว้ที่โต๊ะพิธีโน่นไป เอ้อ ดีนะ ลูกศิษย์กู ขาไปบอกกูว่าไปเป็นมัณฑนากร ขากลับกลับมาเป็นหมอดู เอ้อ ดี”

ดวงศิริเดินก้มหลังออกจากห้องไปยังโต๊ะปรัมพิธีซึ่งตั้งของไหว้มากมายเป็นต้นว่า พานบายศรี ขนมมงคล และผลไม้นานา หยิบพานทองใบเล็กมาใส่ไพ่ยิปซีแล้ววางหน้าโต๊ะ แอบมองพานเล็กพานใหญ่ของลูกศิษย์คนอื่น มีทั้งโฉนดที่ดิน สร้อยหินมงคล โทรศัพท์มือถือที่ใช้ทำมาหากิน มีพานใหญ่ใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วย

หญิงสาวนึกหมายใจ มากราบท่านพ่อรอบหน้าเธอจะขนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมาบ้าง ถ้าหากทางบริษัทอนุญาตให้เบิกออกมาได้ละก็นะ

การมากราบท่านพ่อ คือการมาฟังอบรมเทศนานั่นเอง ดวงศิริคุ้นเคยดี มาพบท่านทีหนึ่งต้องโดนดุก่อนสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

“เราอย่าเป็นแค่หมอดูหรือคนอ่านไพ่เฉยๆ สิลูก เราเป็นได้มากกว่านั้น คนมาดูไพ่กับเราเพราะเขาเดือดร้อน มีเรื่องเครียดหาทางออกไม่ได้ เราก็จงเป็นครูสอนเขาด้วย เข้าใจคำว่าครูไหมลูก”

แม่หมอสาวพยักหน้า รับคำเกรงๆ ท่านพ่อกล่าวต่อว่า

“อย่างพ่อเป็นร่างทรงก็จริง แต่พ่อไม่ได้บอกแค่สิ่งที่พวกลูกไม่รู้ไม่เห็น ความตั้งใจของพ่อคือสอน ลูกศิษย์พ่อจะต้องได้ดีและเป็นคนดีด้วย ดังนั้นนะหวานเอ้ย เอ็งจงขัดเกลาตัวเองให้ดี จะได้เป็นครูที่ดี มีลูกศิษย์ลูกหา ไม่ใช่เป็นแค่หมอดูธรรมดาที่มีลูกค้า ฟังที่พ่อพูดถูกไหม”

หญิงสาวพยักหน้ารับคำอีกหน น้ำเสียงของท่านพ่อจริงจังคล้ายตำหนิจนเธอรู้สึกอายหน่อยๆ แต่เหลือบมองภูริสที่นั่งนิ่งอยู่ข้างกันแล้ว ดูเขาตั้งใจฟังท่านพ่อสั่งสอนยิ่งกว่าเธอเสียอีก

ท่านพ่ออบรมต่อชุดสอง สีหน้าจริงจังทว่าเปี่ยมเมตตา

“คนเรามีความเชื่อความศรัทธาแล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติด้วยสิลูก ปฏิบัติที่ว่าคือขัดเกลาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ให้ความเชื่อความศรัทธาเป็นแนวทางแล้วลงมือทำด้วยสติ สิ่งที่หวังมันถึงจะเกิด ถ้าเอาแต่มู ตระเวนไหว้ไปซะทุกที่ เชื่อมั่วซั่วแบบหลับหูหลับตาเชื่อแล้วไม่ลงมือทำส้นตีนอะไรเลย มันก็เรียกว่างมงาย”

ดวงศิริสะดุ้งอีกหน ท่านพ่อชี้มาทางเธอขณะพูดต่อ

“การขัดเกลาตัวเองมันก็เหมือนซักผ้านั่นแหละลูก ใครสาดน้ำสกปรกใส่เสื้อเรา เราก็มีหน้าที่กลับมาซักให้สะอาดใหม่อีกครั้ง จะหวังให้ใครมาซักเสื้อให้เราไม่ได้ หรือจะหวังดียื่นมือไปซักให้คนอื่นมันก็ไม่ได้ ทำไมรู้ไหมลูก”

“ทำไมหรือเจ้าคะ”

“เพราะเขาจะด่าว่าเสือกไงลูก”

คราวนี้ดวงศิริได้ยินเสียงหัวเราะคิกทางฝั่งมารดา ท่าทางคุณแม่กลั้นขำไม่ไหวแล้วจริงๆ

“นั่นแหละ กรรมของใครมันก็เป็นของคนคนนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยประทานพร ชี้แนะแนวทางได้ เขาเรียกว่าแรงครู คอยเสริมปัญญา เหมือนสะกิดใจ ปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมางี้ แต่สุดท้ายเอ็งก็ต้องเป็นคนลงมือทำเอง ถ้าไม่ทำมันก็ยากจะเกิด

ชีวิตน่ะใช้อย่างมีสติ อย่าถือว่าตัวเองเป็นคนมีเซนส์ ดูไพ่เป็นแล้วก็เลยเชื่อไพ่ตลอด ไม่งั้นเอ็งก็คงไม่ต้องมีหรอกสมองน่ะ คั่นหูเฉยๆ เหรอลูก ต้องใช้มันบ้างสิ เอามาตบๆ เคาะขี้เลื่อยออกบ้าง”

ดวงศิริทำคอย่น ส่วนคนทรงท่านเอนพิงพนักเก้าอี้ ถอนใจคล้ายอัดอั้น

“อ้ะ แล้ววันนี้มาหาพ่อจะปรึกษาอะไรล่ะ”

หญิงสาวเหลือบมองแม่นิดหนึ่ง แม่ยังคงพนมมืออยู่เช่นเดิมและไม่มีคำถาม เธอจึงแทรกกลางปล้องว่า

“ท่านพ่อเจ้าขา หนูเพิ่งเลิกกับแฟนค่ะ เขาหลอกหนูคบซ้อนแล้วก็ทิ้งหนูไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น แถมผู้หญิงคนนั้นยังไฮโซ เป็นคนดังอีก หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่ทำผิดถึงได้ดี แล้วหนูอุตส่าห์ทำตัวดีแท้ๆ กลับต้องเป็นฝ่ายถูกทิ้งแบบนี้”

ดวงศิริขยับเข้าใกล้นิดหนึ่ง

“ท่านพ่อเจ้าขา ถ้าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงละก็ ท่านพ่อมีอะไรเด็ดๆ เสกไปแกล้งเขาหน่อยไหมคะ”

ชายคนทรงพยักหน้าเครียดขรึม

“มีสิ”

หญิงสาวร้องว้าว

“อะไรเหรอคะ หนูต้องทำยังไงบ้างคะ”

ท่านพ่อกวักมือ

“มานี่”

ดวงศิริค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้

“มาอีก ใกล้อีก”

หญิงสาวกระเถิบเข้าไปจนเกือบชิดขาเก้าอี้บุนวม

“ก้มหน้าลง พนมมือ”

ลูกศิษย์สาวทำตามอย่างเคร่งครัด เดาว่าท่านพ่อคงเจิมหน้าผากหรือไม่ก็เป่ากระหม่อม

ปรากฏว่า เกิดเสียงดังโป๊กลั่น ความเจ็บจี๊ดผุดปรี๊ดที่กลางหัว

“กูเขกมะเหงกนี่แน่ะ!” ชายร่างทรงตวาดแหว “กูเคยสั่งเคยสอนให้เอ็งคิดทำร้ายใครเขาด้วยเหรอ หน็อย เดี๋ยวนี้เอาใหญ่ กูเพิ่งจะสอนไปแหม็บๆ ว่าให้ช่วยคน ปัดโธ่”

คนโดนเขกหัวน้ำตาแทบเล็ด กระถดถอยหลัง หดหัวเหมือนเต่าเข้ากระดอง

“แหม ขอโทษก็ได้เจ้าค่ะ”

“เออ ขอโทษแล้วก็สำนึกด้วย” ท่านพ่อถอนใจเฮ้อใหญ่ “ไหน เอารูปมาดูซิ”

ดวงศิริคลานเข่าเข้าไปใหม่อย่างกระตือรือร้น อย่างน้อยคงไม่เจ็บตัวฟรี เปิดรูปพุฒิพงศ์ในโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นส่งให้ ท่านพ่อรับไปพิจารณา นิ่วหน้าคล้ายอ่านหนังสือที่อ่านไม่ออก ครู่เดียวก็ส่งคืนให้

“อื้ม จริงๆ เขาก็ไม่เลวนะ หน้าที่การงานดี โดดเด่นในสังคมที่เขาอยู่ แต่แบบ เขาชอบสาวเซ็กซี่น่ะลูก เข้าใจคำว่าสาวเซ็กซี่ไหม แล้วหนูเป็นคนธรรมดาจะสู้เขาไหวเหรอลูก”

สาวเซ็กซี่…คำนี้เธอเข้าใจดีทีเดียวว่าท่านพ่อหมายถึงอะไร เหลือบมองมารดาผู้นั่งพับเพียบนิ่งฟัง นึกงอนว่า แม่นะแม่ ทำไมต้องสอนให้หนูรักนวลสงวนตัวด้วยนะ

คล้ายว่าชายผู้ทรงองค์เทพจะได้ยินความคิด ท่านเสริมมาว่า

“ความโกรธแค้นน่ะ วางมันลงเถอะลูก เขาเองก็เคยจริงใจกับหนู แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตต้องเดินต่อ เขาก็ต้องเลือกแบบที่เขาชอบ และหนู…ก็จะได้แบบที่หนูชอบเหมือนกัน”

ประโยคสุดท้ายเรียกให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาท่านพ่ออย่างสนใจใคร่รู้

“ความรักดีๆ อยู่รอบตัวนี่แหละลูก อย่าไปมองไกล มองใกล้ๆ ตัวพอ มันมีหรอกนะคนที่เขารักหนู ช่วยเหลือ ดูแล ทำเพื่อหนูทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งหนูจะแพ้ความดีเขา”

ดั่งกระแสน้ำทิพย์ชโลมใจ หัวใจช้ำเลือดช้ำหนองจากการโดนดาบสามเล่มแทงทะลุค่อยกระชุ่มกระชวยหน่อย แต่ดวงศิริยังไม่อยากดี๊ด๊าดีใจให้มากไป เพราะทีเรื่องเนื้อคู่ตอนปีหนึ่งที่ท่านพ่อทักไว้เธอก็ยังไม่เห็นตัวสักที แต่อย่างน้อย โอวาทของท่านพ่อในวันนี้ก็นับว่าเป็นข่าวดีที่น่าชื่นใจ

หมดคำถามสำหรับเธอแล้ว หญิงสาวเอี้ยวตัวไปกระซิบถามชายหนุ่มข้างกาย

“พี่ภูล่ะ อยากถามอะไรท่านพ่อไหม ไหนๆ ก็มาแล้ว”

“ไม่มี” เขากระซิบตอบ เงยหน้าบอกชายบนเก้าอี้บุนวมว่า “ผมมากราบท่านพ่อเฉยๆ ครับ”

ภูริสไม่มีคำถาม แต่ดวงศิริมี

“ท่านพ่อเจ้าขา หนูอยากรู้เรื่องความรักของพี่ภูบ้างค่ะ รู้จักพี่เขามาตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงานแล้ว ยังไม่เคยเห็นพี่ภูมีแฟนเลยค่ะพ่อ”

“เอ๊า ไอ้นี่ กูเพิ่งสอนแหม็บๆ ว่าอย่าสะเออะไปซักผ้าของคนอื่น เขาจะด่าว่าเสือกก็เท่านั้น”

เจ้าของผืนผ้ายิ้มขำ

“ไม่เป็นไรหรอกครับท่านพ่อ สำหรับผมหวานไม่ใช่คนอื่นครับ”

คนทรงองค์เทพส่ายหน้าระอา

“พอกันทั้งผู้ชายผู้หญิง คนหนึ่งขี้สปอยล์ อีกคนก็ขี้เสือก”

สองหนุ่มสาวหดคอพร้อมกัน มีแต่แม่เท่านั้นที่หัวเราะตัวโยก

ท่านพ่อจ้องมองภูริสนิ่ง

“ได้ เรื่องความรักของเอ็งใช่ไหม…”

เขาโน้มตัวมา ชี้หน้า แล้วพูดเสียงดังขึ้นอีกระดับกึ่งบ่นกึ่งโวยวาย

“เอ็งน่ะมันคนมีกรรมภูเอ๊ย ทำดีเพื่อเขาทุกอย่างเขาก็ไม่เคยเห็นค่า อ้อ ไม่สิ เห็นค่าบ้างแหละแต่ก็ไม่ยอมมองเกินพี่น้องสักที มิหนำซ้ำยังคอยแต่จะหาเรื่องปวดหัวมาใส่ด้วย คือผู้หญิงมันไม่มีสติน่ะลูก เข้าใจคำว่าไม่สวยแล้วยังไร้สติไหม มันคิดอ่านอะไรพิลึกพิลั่นเกินคนทั่วไปเขาคิดกัน สมาธิสั้นหน่อยๆ อีกต่างหาก กะเปิ๊บกะป๊าบ ม้าดีดกะโหลกซะจนกูอยากจะดีดกะโหลกมันเอง ฮึ แต่เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร”

ภูริสหัวเราะขำอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ดวงศิริพนมมือแต้ กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้พี่ภูของเธอขำออกได้ยังไง เพราะนี่มันหายนะชัดๆ!

“โห ท่านพ่อเจ้าขา งั้นมีเครื่องรางของขลังอะไรให้พี่ภูเขาบูชาหน่อยไหมคะ จะได้สมหวังในรักสักที”

“เอ็งน่ะหยุดพูดไปเลยนังหวาน เดี๋ยวกูก็ด่าอีกหนหรอกว่าเสือก”

เต่าน้อยหดเข้ากระดองอีกหน

“โธ่ หนูแค่หวังดี”

ชายร่างทรงเปลี่ยนสายตามาทางภูริส ดวงตาท่านเปี่ยมเมตตา ช่างแตกต่างกับตอนคุยกับดวงศิริสิ้นดี

“เอาเถอะนะ ทำดีต่อไป ไม่ต้องคิดมาก เพราะเราทำดียังไงความดีมันก็ตกแก่เราอยู่แล้ว ส่วนนังผู้หญิงคนนั้นน่ะ เฮ่อ พ่อเสียใจด้วยที่ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ไม่ต้องห่วง เดี๋ยววันหนึ่งมันก็กลับมาตายรัง”

“ครับท่านพ่อ”

ภูริสรับคำแผ่วเบาทว่าหนักแน่น ใบหน้าขาวมีสีแดงเรื่อไปจนถึงใบหู

 



Don`t copy text!