กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

เมื่อได้ยินข่าวเรื่องผกากรองมาอาละวาดกลางตลาด ปราบก็เร่งมาดูแก้วในทันที ในใจของเขาทั้งโกรธทั้งแค้นเคือง ยิ่งเห็นว่าแก้วกำลังเก็บแป้งร่ำและน้ำอบที่ตกแตกบนพื้นทั้งน้ำตาก็เผลอกำหมัดแน่น

“มันตกแตกหมดแล้ว มิต้องเก็บดอกแม่แก้ว”

มือหนาวางลงบนหลังมือบางที่กำลังเก็บก้อนแป้งร่ำด้วยอาการสั่นเทา แก้วเงยหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตามองปราบนิ่ง ในใจเกิดความรู้สึกมากมายที่ยากจะอธิบาย ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่น ปราบมองท่าทางที่พยายามอดกลั้นนี้ของเธอแล้วดึงร่างเล็กเข้ามาโอบกอด

“พี่จักพาเอ็งกลับบ้าน”

แก้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เกือบสิบปีแล้วที่เธอรู้จักกับปราบ แม้เขาจะไม่ใช่คนที่อ่อนโยน นุ่มนวล แต่ทุกคราที่มีคนรังแกเธอปราบจะไม่เคยไว้หน้า ทว่าครั้งนี้ไม่เพียงไม่ถามถึงคนที่รังแกเธอ แม้แต่ท่าทีขุ่นเคืองก็หามีไม่ หรือเพราะคนผู้นั้นคือ…ผกากรอง

เป็นตัวแทนกูให้เขากกกอดรู้สึกเยี่ยงไรบ้าง

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ในใจก่อเกิดความริษยาในวาสนาของคนเป็นพี่ขึ้นมา แต่เรื่องเช่นนี้ยากจะบังคับใจกันมิใช่หรือ เมื่อตระหนักได้ว่าการริษยานั้นไร้ประโยชน์อีกทั้งคนที่เธอกำลังริษยาก็คือพี่สาวของตนเอง ในใจของแก้วก็ค่อยๆ สงบลง

“แม่ทองจีนให้คนมาแจ้งว่าสำเภาใกล้ออกแล้ว เรื่องน้ำอบแป้งร่ำก็พักไว้ก่อนเถิด มิเช่นนั้นอาจจะเสียงานใหญ่”

“จ้ะ”

เสียงขานรับอย่างว่าง่ายและท่าทางห่างเหินที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ปราบขมวดคิ้วเข้ม ชะลอฝีพายลงแล้วจดจ้องใบหน้าที่ก้มมองท้องเรือนิ่ง

“ยังมิหายตื่นตระหนกรึ”

“ฉันมิเป็นกระไรแล้ว พี่ปราบเร่งพายเรือกลับเรือนเถิดจ้ะ”

ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปของแก้วก็ทำให้ปราบสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เพียงแต่ในเมื่อแม่แก้วมิใคร่เอ่ยปากบอก เขาย่อมไม่ฝืนบังคับใจ แต่คนที่สร้างเรื่องให้เธอเป็นทุกข์เขาย่อมไม่ปล่อยผ่าน

 

ผกากรองมองเงินทองในหีบเล็กของตนแล้วยิ้มกว้าง หยิบกำไลและสร้อยทองที่เศรษฐีมิ่งเคยมอบให้ตนแล้วสวมลงบนลำคอ นึกถึงวันที่โชคหอบเอาข้าวของพวกนี้มามอบให้ตนแล้วจินตนาการไปถึงใบหน้าที่เดือดดาลของชบา ทว่าเดือดดาลไม่พอใจแล้วอย่างไร ผ่านมาร่วมสามเดือนแล้วชบาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเงินทองที่หายไปนั้นถูกผัวรักขโมยมามอบให้เธอ รู้เพียงว่า…ไอ้โชคมันขโมยเงินแลทองของอีชบาหนีหายไป ริมฝีปากของผกากรองยกขึ้นยิ้มกว้างเอนตัวพิงหมอนอิงพลางยกพัดจีบขึ้นพัดวีให้ตนเอง

“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ไปเอาขนมในครัวมาให้กูกิน”

“จ้ะแม่ผกากรอง”

ริมฝีปากของผกากรองยิ้มกว้าง เพราะคุณทองนั้นลุ่มหลงเธอมาก ไม่เพียงข้าวของเงินทองที่ประเคนให้ แม้แต่บ่าวไพร่ก็จัดมาคอยรับใช้ถึงหน้าหอนอน

เพล้ง! จานเนื้อดีถูกปัดตกแตกก่อนที่ฝ่ามือเรียวจะฟาดลงบนแก้มสากของทาสสาว

“กูบอกว่าจะกินขนม มึงเอามะม่วงมาให้กู คิดจะลองดีใช่หรือไม่”

เพียะ! พลั่ก! ใบหน้าซีกซ้ายถูกฝ่ามือของผกากรองฟาดเข้าใส่ซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่ไหล่ขวาจะถูกเท้าของผกากรองยันจนหงายหลังไปชนประตูหอนอนกลิ้งออกมาจากห้อง ในใจของทาสสาวพลันขุ่นเคือง หากแต่มิกล้าเอ่ยปากสร้างเรื่องให้ผกากรองขัดเคืองใจเพราะเห็นชะตาของเย็นและอวบมาแล้ว ที่ทำได้จึงมีเพียงนั่งก้มหน้าเอ่ยเสียงสั่น

“ขนมในครัวหมดแล้วจ้ะ แม่ผกากรอง”

“หมดก็ทำใหม่สิ เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้กูบอกด้วยรึโง่งมนัก มิน่าเล่าจึงเป็นได้แค่ทาส”

มึงก็ทาสเยี่ยงกัน ในใจของบ่าวสาวโต้แย้ง หากแต่ในความเป็นจริงกลับทำได้เพียงนั่งนิ่งประสานมือไว้บนตัก

“ยังไม่รีบไปทำให้กูกินอีก ไป!”

เสียงโวยวายของผกากรองดังลั่นเรือนจนคุณเรไรต้องขบกรามแน่น หากยังเลี้ยงหญิงนางนี้เอาไว้ภายหน้าเรือนคงจักลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน ทว่าคุณทองลูกชายของเธอหลงใหลผกากรองนักหากคิดกำจัดคนออกไปคงมีเพียงให้ผกากรองเดินออกไปเอง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มุมปากของแม่นายเรไรก็ยกขึ้นยิ้ม คนเยี่ยงผกากรองนอกจากเงินทองก็เห็นจะมีเพียงลาภยศที่จะดึงความสนใจของมันได้

“อีกสามวันคุณพี่เพชรจะกลับมา มึงให้คนไปแจ้งคุณหลวงครามว่ากูมีของดีให้ดู”

คุณหลวงคราม หรือหลวงโยธาธิบาล นั้นเป็นสหายเก่าของบิดาคุณเรไร มีความชื่นชอบหญิงงามยิ่งนัก ที่เรือนจึงมีทั้งเมียกลางเมือง เมียกลางนอก เมียกลางทาสี มากโขจนยากจะนับหมด แต่ถึงจะเป็นเยี่ยงนั้นหลวงโยธาธิบาลก็ยังคงมองหาหญิงงามอยู่เรื่อยๆ

ในวันที่เรือของเศรษฐีเพชรเทียบท่าหน้าเรือน ผกากรองหวั่นเกรงในใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องได้พบกับก้อน หากแต่ก้อนนับจากรู้ว่าผกากรองไต่เต้าขึ้นเป็นเมียคุณเงินก็เสียใจเป็นอย่างยิ่ง แลขอออกบวชอยู่เสียที่เมืองเหนือ ให้อาวรณ์รักใคร่เธอปานใด แม่ผกากรองก็เป็นคนของผู้เป็นนายไปแล้ว บุญคุณของท่านเศรษฐีมีท่วมหัวเขาย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย ทว่าก็ยากนักที่จะตัดเสน่หา จึงขอพึ่งร่มกาสาวพัสตร์ครองตน เมื่อผกากรองเห็นเป็นเช่นนี้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยกมือพนมเอ่ยอนุโมทนาสาธุเป็นกุศลอย่างที่ไม่เคยกระทำ

“หลวงครามให้คนมาแจ้งว่าวันพรุ่งจักมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”

“อืม…คุณหลวงท่านฝากซื้อของอยู่มากโข คงจักมารับสินค้าด้วยตัวเอง”

เศรษฐีเพชรรับขันน้ำฝนมาจากคุณเรไรแลเอ่ยเจรจาด้วยท่าทางสงบ เรื่องที่อวบถูกเรไรเฆี่ยนตีแลคุณเงินถูกคุณทองซ้อมจนตกตายไปทั้งคู่นั้นเขารู้ดี ทว่าก็แค่เมียทาสแลลูกทาสคนหนึ่งมิได้สลักสำคัญอะไรกับเศรษฐีเพชรอยู่แล้ว ที่สำคัญกลับมาครานี้เขายังได้หญิงชาวบ้านวัยกำหนัดมาเป็นเมียใหม่อีกคนด้วย หมดนางอวบไปเสียคนหนึ่งก็นับว่าดีไม่น้อย

“ฝากแม่เรไรช่วยจัดหาเรือนเล็กให้แม่พุดซ้อนด้วยก็แล้วกัน”

“เรือนคุณเงินนั่นปะไรเจ้าคะ ใหญ่โตกว้างขวาง”

“เรือนนั้นเพิ่งมีคนตายไปเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก เรื่องในเรือนพี่ไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของแม่เรไร ดังนั้นหวังว่าแม่เรไรจักมิทำเรื่องให้พี่ต้องหงุดหงิดใจอีกเป็นซ้ำสอง”

คำพูดราบเรียบน้ำเสียงอ่อนโยนหากแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคำสั่งแลข่มขู่ทางสายตา เรไรกำมือแน่นข่มกลั้นโทสะในใจ เธอรึสู้วางแผนตัดคนน่ารำคาญอย่างนางอวบไปหนึ่งคน ไม่คิดว่าจะมีอีพุดซ้อนมาให้หงุดหงิดเพิ่มแทน หากรู้เช่นนี้มิสู้เก็บนางอวบไว้ปะทะคารมกับคนตรงหน้า

ผกากรองนั่งฟังเรื่องราวแลสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ทว่าที่ตระหนักได้ก็คือเมียที่มีอำนาจที่สุดก็คือเมียกลางเมืองนั่นเอง เพียงแต่ด้วยสถานะทาสของเธอตอนนี้เป็นได้อย่างมากสุดก็คือเมียกลางทาสี ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะคงอำนาจในมือไว้ได้ก็คือความโปรดปรานของคนเป็นผัวนั่นเอง ดังนั้นยามที่ตะวันลับฟ้าผกากรองจึงปรนเปรอเอาใจคุณทองอย่างหนักหน่วง

วันต่อมาหลวงโยธาธิบาลก็มาที่เรือนของเศรษฐีเพชร โดยพาแม่สร้อย แม่พลอยเมียกลางทาสีมาด้วยสองคน หากแต่แม้จะเป็นเพียงเมียกลางทาสีแต่เพราะคนเป็นผัวมียศศักดิ์เป็นถึงหลวงทำให้แม่นายเรไรจำต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย ผกากรองลอบมองเมียของหลวงโยธาธิบาลที่สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีเครื่องทองทั้งกำไล สร้อย เข็มขัดล้วนเต็มตัวก็ให้ริษยาในใจขึ้นมา

ที่แท้ไม่ว่าจะเป็นเมียไหน หากผัวมีอำนาจวาสนาผู้คนก็จำต้องไว้หน้า

เมื่อคิดถึงอำนาจวาสนา หางตาก็ปรายมองชายหนุ่มข้างกายก่อนจะถอนหายใจยาว ที่แม้นจะมีเงินมีทองมากมายจนล้นเรือน ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่ก็ยังคงต้องหมอบกราบ คนเยี่ยงนี้จะเหมาะสมกับหญิงงามพิลาสเช่นตนได้เยี่ยงไร

“คืนนี้ข้าจักร่วมดื่มสุรากับท่านเศรษฐี เอ็งสองคนก็กลับเรือนไปก่อน”

“เจ้าค่ะ”

“เยี่ยงนั้นข้าจะให้บ่าวที่เรือนไปส่งนะเจ้าคะ”

“ขอบน้ำใจแม่เรไรมาก”

หลวงโยธาธิบาลเอ่ยขอบน้ำใจที่แม่นายเรไรอาสาเป็นธุระจัดการให้ ทว่ายามที่คล้อยหลังเมียทาสีทั้งสองของคุณหลวงแล้วมุมปากของเรไรก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ลอบมองสายตาของคุณหลวงที่ทอดมองผกากรองเมียทาสของลูกชายอย่างโจ่งแจ้งแล้วยิ้มกว้าง ในที่สุดเธอก็หาทางจัดการหญิงมักมากของลูกชายออกไปได้เสียที ดังนั้นยามที่หลวงโยธาธิบาลลงเรือนไปเรไรก็แสร้งอุทานขึ้น

“ตายจริงข้าทำขนมเสน่ห์จันทร์ของโปรดคุณหลวงเอาไว้ ลืมให้ท่านเอากลับเรือนเสียได้”

“เยี่ยงนั้นก็ให้แม่ผกากรองเอาไปให้ท่านที่เรือน่าจะทัน”

เพราะเวลานี้ฟ้ามืดแล้ว บ่าวไพร่บนเรือนจึงเหลือเพียงคนสนิทของเรไร อีกทั้งคุณทองก็ออกไปหาสหาย ผกากรองจึงดูว่างอยู่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าหากเป็นเรื่องอื่นเธอย่อมไม่ยินดี ทว่านี่เป็นโอกาสทองผกากรองย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน

“เจ้าค่ะ”

ผกากรองถือผ้าห่อโหลขนมเสน่ห์จันทร์เดินลงจากเรือน พร้อมกับเร่งสาวเท้าไปยังท่าน้ำ ในใจคิดคำนวณวางแผนการปีนป่ายเข้าหาวาสนาของตนในทันที

“คุณหลวงเจ้าคะ”

เสียงหวานใสร้องเรียกหลวงโยธาธิบาลจึงให้บ่าวชายคัดเรือรอท่า

“แม่นายเรไรให้บ่าวนำขนมมาให้เจ้าค่ะ”

เมื่อผกากรองเอ่ยบอก ทวนบ่าวที่หัวเรือก็ยื่นมือมาหมายรับแต่หญิงสาวกลับวางมือของตนบนฝ่ามือหยาบกร้านพร้อมกับก้าวเท้าลงเรือแทน ทวนเบิกตาอย่างตื่นตระหนกมองดูคนที่กล้ามุดเข้าไปในเก๋งนั่งของหลวงโยธาธิบาล ทว่ายามที่คิดจะห้ามปรามก็ถูกผู้เป็นนายโบกมือไล่เขาลงจากเรือแทน

“ขนมเสน่ห์จันทร์เจ้าค่ะ แม่นายเรไรบอกว่าคุณหลวงโปรดจึงให้บ่าวนำมาให้ที่เรือเจ้าค่ะ”

ดวงตาเรียวขยับช้อนมองอย่างเย้ายวนพร้อมกับยื่นห่อขนม หลวงโยธาธิบาลยกมุมปากขึ้นอย่างเข้าใจเจตนาของทาสสาวตรงหน้า

“แม่เรไรช่างรู้ใจข้านัก เยี่ยงนั้นให้ข้าลิ้มลองขนมชิ้นนี้สักหน่อยก็แล้วกัน”

มือหนาจับดึงห่อขนมตรงหน้าทำให้คนที่ถือประคองเอาไว้เซถลาเข้ามาในอ้อมแขน ผกากรองแสร้งร้องตกใจ หากแต่กลับทิ้งตัวอิงแอบแนบชิด หลวงโยธาธิบาลลิ้มรสขนมหวานชิ้นโปรดตรงหน้าอย่างพึงพอใจ แสงจันทร์สะท้อนสาดส่องชวนให้ลุ่มหลงดังชื่อขนมเสน่ห์จันทร์ที่เจ้าตัวยกมา

“อืม…รสดีถึงเพียงนี้ ให้ข้ากินทั้งคืนก็มิเบื่อ”

ผกากรองนั้นช่ำชองในบทรักเป็นอย่างดี ไม่นานก็ทำให้หลวงโยธาธิบาลหลงใหลเคลิบเคลิ้มและสุขสมไปหลายหน เรือลำเล็กที่โคลงเคลงไหวโยกก็ค่อยๆ สงบลง ขณะที่คุณหลวงหมดแรงนอนแผ่หลาในเก๋งเรือ

“จักไปที่ใด”

มือหนาจับข้อมือเล็กของคนที่กำลังจะออกไปจากเก๋งเรือด้วยความร้อนใจ

“บ่าวลงมานานโขแล้วเจ้าค่ะ จำต้องกลับขึ้นเรือนแล้ว”

หลวงโยธาธิบาลออกแรงกระตุกดึงรั้งคนจนผกากรองเซถลาล้มลงบนอกกว้าง

“จะกลับไปทำไมกัน มิสู้ไปกับข้าดีกว่า”

“บ่าวเป็นคนของเรือนท่านเศรษฐี จะไปกับคุณหลวงได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“วันพรุ่งข้าจะให้คนมาไถ่ตัวเอ็ง ต่อไปนี้เอ็งก็มิใช่คนเรือนท่านเศรษฐีแล้ว แต่เป็นคนของข้า”

พูดจบวงแขนแกร่งก็จับเอวบางให้ขยับโยกมอบความสุขให้ตนอีกครั้ง บ่าวหนุ่มที่นั่งรออยู่บนท่าน้ำลำคอแห้งผาก มองเรือที่กลับมาไหวโยกแลเสียงครวญหวานที่สั่นเครือแผ่วเบาด้วยอาการร้อนรุ่ม คุณหลวงของเขาอายุไม่น้อยแล้ว เรื่องเช่นนี้จึงมิค่อยมีแรงลงมือ ที่ผ่านมาแม้มีเมียมากโขจนนับไม่ถ้วน แต่เห็นจักมีแต่แม่หญิงในเรือที่ทำให้คุณหลวงสุขสมไม่รู้จบได้ยาวนานเช่นนี้ มือหนาขยับชักนำความสุขสมให้ตนเองอยู่ที่ริมท่าน้ำ สายตาลอบมองเงาเรือนร่างเย้ายวนตาของผกากรองที่สะท้อนแสงไต้ผ่านม่านเก๋งเรือ

ช่างเป็นสตรีที่แรงดีแลมีเรือนร่างสมส่วนเย้ายวนยิ่งนัก

แม้หลวงโยธาธิบาลจะมีอายุหกสิบกว่า ทว่าร่างกายกลับยังมีกำหนัดตื่นตัวต่อรสรักของผกากรองอย่างที่ไม่เคยเป็นกับผู้ใด ดังนั้นยามกลับถึงเรือนใหญ่ของเขา ผกากรองจึงปรนเปรอรสรักอันดุเดือดให้เขาอยู่ร่วมค่อนคืนจึงทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนล้าเพราะตั้งแต่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนเศรษฐีเพชรจนถึงตอนนี้คนที่ออกแรงมีเพียงเธอเท่านั้น

ทำกูเหนื่อยจนลมแทบจับ แต่กลับไม่ส่งให้กูเสร็จสักรอบน่าโมโหนัก

เรื่องที่หลวงโยธาธิบาลรับทาสสาวมาเป็นเมียเพิ่มนั้น คุณพริ้มคุ้นเคยแล้ว ทว่าที่รู้สึกขุ่นเคืองแลมิพอใจเป็นอย่างยิ่งก็คือเขาพาหญิงชั้นต่ำผู้นั้นมากกกอดนอนอยู่ในหอนอนของเธอ

“คุณหลวง เหตุใดเอาอีตัวเสนียดนั่นมานอนในห้องอิฉันเยี่ยงนี้เจ้าคะ”

ตัวเสนียด คำพูดดูแคลนที่คุณพริ้มเอ่ยออกมาทำให้ผกากรองรู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่งนัก มือเรียวกำเข้าหากันแน่นขบกรามด้วยแววตาแข็งกร้าว ทว่าพริบตาก็กลับมาโอนอ่อนเต็มไปด้วยน้ำตา แสร้งขยับเข้าไปกราบเท้าอีกฝ่าย

“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่รู้ว่าห้องนั้นเป็นของคุณพริ้ม บ่าวจึงได้…อยู่กับคุณหลวงทั้งคืน”

“เอาเถิด คนที่พาแม่ผกากรองเข้าไปก็คือข้า หากแม่พริ้มมิพอใจเช่นนั้นก็ย้ายห้องดีหรือไม่”

หลวงโยธาธิบาลเอ่ยปากแก้ปัญหา ในเมื่อเมียเอกไม่พอใจแลรู้สึกสกปรกที่เขาพาคนอื่นเข้าไปใช้ห้องของเธอ เยี่ยงนั้นหาห้องใหม่ให้ก็คงจบปัญหานี้ได้

“คุณพี่!”

“แม่พริ้มไม่ชอบความวุ่นวาย เช่นนั้นย้ายไปที่หอหลังดีหรือไม่ ส่วนห้องเดิมก็ยกให้ผกากรองมันเสีย”

ห้องเดิมของพริ้มนั้นอยู่ติดกับห้องของเขา ดังนั้นหากเขาจะไปร่วมรักหาความสำราญก็มิต้องเดินไปไกล เช่นนี้นับว่าลงตัวยิ่ง

ทว่าความคิดนี้ของหลวงโยธาธิบาลกลับทำให้พริ้มแค้นเคืองใจเป็นทบทวี เอ่ยเสียงตวาดก้อง

“ไล่เมียเอกลงจากเรือนใหญ่แล้วให้เมียทาสชั้นต่ำมาอยู่แทน ความคิดนี้หากผู้ใดล่วงรู้คงขบขันกันมิน้อยเลยทีเดียวเชียว”

“เยี่ยงนั้นแม่พริ้มจะเอาเยี่ยงไร”

“มันเป็นทาสก็ให้ไปอยู่เรือนสำหรับเมียทาสี ยามคุณพี่กำหนัดก็ค่อยเรียกมันขึ้นมา”

หลวงโยธาธิบาลแม้จะมียศมีตำแหน่งทว่า คุณพริ้มนั้นเป็นเมียกลางเมืองอีกทั้งยังมีบิดาเป็นพระยาใหญ่ เขาจึงมิกล้าสร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่ายมากนัก จำต้องยอมว่าไปตามคำของนาง

ผกากรองกำมือเข้าหากันแน่น ทั้งโมโห ทั้งแค้นเคือง ทั้งอับอาย ทว่าสุดท้ายก็จำต้องลงไปอยู่ที่เรือนสำหรับเมียทาสีด้านหลังตามคำของพริ้มเมียกลางเมืองของหลวงโยธาธิบาล ดวงตาเรียวกวาดมองเรือนนอนที่แม้จะทำด้วยไม้เนื้อดี แลมีขนาดใหญ่เทียบเท่าเรือนไพร่แต่หากเทียบกับเรือนใหญ่ที่เธอใช้หลับนอนเมื่อคืนกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เธอขบกรามนอนถอนลมหายใจอย่างหงุดหงิด รสรักที่ยังคั่งค้างจากเมื่อคืนยิ่งทำให้อารมณ์ของเธอปั่นป่วนง่าย จวบจนสายตาไปหยุดที่นายทวนบ่าวชายคนสนิทของหลวงโยธาธิบาลความร้อนรุ่มที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยเมื่อคืนก็ตื่นตัวขึ้นอีกระลอก จนต้องขยับมือลงล้วงจัดการตนเองอยู่ในเรือนทาสหลังเล็ก



Don`t copy text!