ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
โดย : กฤษณา อโศกสิน
“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิ
นวนิยายเรื่องนี้มีกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของท่านผู้ใหญ่แห่งหน่วยปราบปรามยาเสพติดท่านหนึ่ง นานประมาณยี่สิบปี ก่อนถึง พ.ศ.2537 ที่ฉันเริ่มลงมือเขียน เนื่องจากได้ข้อมูลจำนวนมากจากคุณสิริมา (สว่างสุภากุล) สุราช ผู้ประจำทำงานอยู่ ณ สถานบริการสาธารณสุข ราชดำริ ในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ มีคุณวชิรา บุตรวัยวุฒิ นักจิตวิทยา ผู้เป็นหัวหน้าของเธอคอยสนับสนุนทุกเนื้องาน ดังเช่น เปิดโอกาสให้ได้คุยกับสมาชิกซึ่งตัดยาได้แล้ว กำลังอยู่ระหว่างการ ‘กลับเข้าสู่สังคม’
รวมทั้งเชิญเข้าฟังการ ‘เปิดใจ’ ของพวกเขาซึ่งการเปิดใจนี้จะมีขึ้นในตอนเช้า ณ ห้องโถงกว้างของศูนย์ฯ โดยให้พวกเขาออกมาบรรยายความในใจถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพบในแต่ละวันพร้อมด้วยความคิดเห็นส่วนตัว เป็นการฝึกกำลังใจให้เขารู้จักแสดงออก องอาจหาญกล้าอย่างถูกต้อง เพราะต่อแต่นี้ไป เขาจะต้องออกจากสนามฝึกอบรมแคบๆไปสู่โลกข้างนอกซึ่งจะต้องผจญประจันกับเหตุการณ์ต่างๆอีกมาก จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ พรักพร้อมที่จะกลมกลืนไปกับผู้อื่นที่เขาไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเกี่ยวข้อง แต่จำเป็นต้องรู้จักต้องเกี่ยวข้อง
ต่อจากสถานบริการสาธารณสุขราชดำริ คุณวชิรา จึงพาไปดูงาน ณ ‘บ้านพิชิตใจ’ อันมีคุณแพรวพิมพ์ ประโทนเทพ นักสังคมสงเคราะห์ เป็นหัวหน้า มีคุณกานดา ช่วยเมือง คุณดารุณี สืบจากดี เป็นนักจิตวิทยา คุณยินดี พานิชกุล เป็นพยาบาล แต่คุณคนที่ฉันคุยกับเธอมากที่สุดเป็นนักสังคมสงเคราะห์นามว่า คุณฐิติวรรณ ภู่ประเสริฐ
นับเป็นความรู้ที่ได้รับจากไมตรีจิตอันมีค่าสูงยิ่งสำหรับชีวิตในระหว่าง พ.ศ.2537-2538 เหลือประมาณ
ส่วนผู้เคยเสพยาแล้วตัดยาได้โดยเด็ดขาดอันมีคุณบรรดิฐ ถาดทอง คุณสิริชัย เจียรวรชัย คุณประเทือง บุญประสิทธิ์ และคุณสุกรี ศรีวิเศษ ก็ช่วยชี้แจงบอกกล่าวโดยไม่ปิดบังจนฉันเข้าใจได้ถ่องแท้ จนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นความรู้สึกระหว่างบรรทัดด้วยความขอบคุณทุกท่านอย่างที่สุด
ขณะที่เกิดความเห็นแจ้งอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา…นั่นก็คือ แค่ฉันเป็นเพียงผู้สื่อสาร ก็ยังเหนื่อยยากถึงปานนี้ แล้วถ้าฉันคือใครสักคนในกลุ่มผู้ติด หรือใครในกลุ่มพ่อแม่ญาติมิตรของเขา ฉันจะเหนื่อยยากกว่านี้สักกี่สิบกี่ร้อยเท่า
จะโศกสลดรันทดใจกี่ร้อยหนในการเพียรพยายาม หวังว่ายข้ามห้วงมหรรณพอันกว้างไกล จนสามารถก้าวกลับขึ้นมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาอื่นอย่างปีติได้อีกหน
ดังนั้น ด้วยขบวนตัวอักษรทั้งสิ้นทั้งปวงที่ผูกขึ้นเป็นเรื่องราว ด้วยบทบาทตัวละครทุกตัวที่ต่างก็ต้องสู้กับการ ‘ข้ามสีทันดร’
จากบรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย ฉันเองก็ต้อง ‘ข้าม’ ไปพร้อมกัน เพื่อพาทุกชีวิต ทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกความเจ็บปวดประดามี
เอาชนะอิทธิพลยาเสพติด จนกระทั่งถึงฟากฝั่ง และถึงที่สุดของอวสานให้จงได้
ฉันจึงเปิดฉากแรกขึ้นในรถท่องเที่ยวคันใหญ่ที่กำลังมุ่งตรงไปยังโยฮันเนสเบิร์ก เมืองแห่งเหมืองทองและศูนย์กลางธุรกิจอุตสาหกรรม เมืองใหญ่ที่สุดของแอฟริกาใต้
ภายในรถคือ ‘กรุ๊ปทัวร์’ ที่มีชีวาตม์เป็นหัวหน้า มุ่งมาเที่ยว 4 เมืองใหญ่ คือโยฮันเนสเบิร์ก เคปทาวน์ เดอร์เบิน และพริทอเรีย เรียกแขกที่ส่วนใหญ่สนิทกันทั้งกับเขาและกิ่งคำภริยา มาได้รวมทั้งหมด 12 คน หากก็แทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าท่ามกลางคนทั้งสิบสอง ยังมีชายหนุ่มนาม ‘เที่ยงวัน’ กับนางสวาท มารดาสมทบมาด้วย…
นางสวาทพาเที่ยงวันมาคราวนี้ ก็เพื่อให้ลูกชายผู้เพิ่งสร่างจากอาการ ‘ติดยา’ ได้มีวันพักผ่อนคลี่คลายจากอาการและอารมณ์หลากหลายที่เคยเกิดเคยมีก่อนหน้านั้น ไปสู่ความหรรษาสดใหม่
ครอบครัวของชีวาตม์เท่านั้นที่สนิทชิดใกล้กับครอบครัวนางสวาทมาช้านาน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงล่วงรู้ถึงประวัติที่ผ่านมาของเที่ยงวันอย่างละเอียด จึงกลายเป็นเรื่องซุบซิบที่ออกจากปากนางรื่นเริง มารดาของกิ่งคำ ภรรยาชีวาตม์เกือบตลอดการเดินทาง จนบางครั้งกิ่งคำก็ต้องปรามเมื่อรู้สึกว่า แม่ของหล่อนออกจะช่างนินทาเกินสมควร
ภายในรถคันยาว เที่ยงวันกับมารดายึดเบาะหลังสุด จึงแลเห็นทุกคนในนั้นนั่งลดหลั่นกันไป
แต่ผู้หญิงที่ชื่อเดือนสิบ คือสตรีที่เขาคิดว่าเก๋ที่สุด เก๋กว่าคนที่ชื่อนภางค์ และยุพรา
ณ บัดนี้ จึงมีคำถามถามตนเองผุดขึ้นมาว่า
ผู้หญิง…นี่เขาห่างเหินจากเพศตรงข้ามมานานเท่าไรแล้ว อำนาจความรักหรือความใคร่จึงเสมือนตกรุ่นพลันลาเลือน อารมณ์รมณีย์ระหว่างชายหญิงหลุดหายไปจากชีวิต
แต่แล้วอย่างไร ชั่วโมงนี้ ‘ความเป็นเขา’ จึงเริ่มเข้ารูป
นับจากมี ‘ครู’ ผู้เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เพียงปีเดียว ความรู้สึกและอารมณ์ยังคงแตกพร่าประดุจแผ่นแก้วรานร้าว แม้เคยบังคับควบคุม ทั้งฝึกและหัด ทั้งดึงดันเอาชนะทุกรูปแบบ หากก็ราวจับสัตว์ดุที่แสนพยศด้วยฝ่ามืออันมีเพียงสิบนิ้ว ประกอบด้วยเนื้อหนังและเส้นเลือดที่รังแต่จะฉีกขาดแล้วพ่ายแพ้ในที่สุด
‘คุณรู้สึกสบายใจขึ้นหรือเปล่าเวลาเดินไปไหนมาไหน’
ครับ…เขาตอบรับกับใจตน…ผมสบายใจขึ้นมากเมื่อคั้นเอาความเป็นจริงออกมาได้ แยกมันออกจากความสับสนหมกมุ่น แม้ทีละน้อยทีละนิดก็ยังดี ก็พยายามเอาชนะมันอยู่นะครับ โดยก้าวเข้า ‘ชน’ อย่างที่คุณแนะ
ความเป็นไปและเป็นจริงของชีวิตคือกำแพง…เอ…จะเปรียบเป็นอะไรดีที่เอาชนะยากกว่านั้น
ความยากที่หมายถึงเราต้องเดินหน้าฝ่าเข้าไป เพื่อให้ผ่านไป เพื่อให้ยืนขึ้นมาได้ โดยที่เราอาจเจ็บปวดแทบขาดใจ
เดี๋ยวนี้ ผมนั่งเฉยๆได้แล้วนะครับ
ก็อย่างที่ผมนั่งอยู่ขณะนี้นั่นแหละ
คุณเคยพูดใช่ไหมครับว่าปีก่อน…ตอนที่ผมไปพบคุณใหม่ๆ ผมนั่งไม่นิ่ง…อย่างดีที่สุดไม่เกินสิบนาที ผมก็จะเริ่มยุกยิก แสดงถึงความไม่มั่นคงของอารมณ์ภายใน
แต่ตอนนี้ ผมนั่งได้นิ่งมาก นิ่งทีเดียว แล้วก็มองดูคนข้างหน้า
คนที่อยู่ในรถทั้งหมด อย่าง ‘รู้’ ว่าใครเป็นใคร
แต่บางคนก็ทำให้ผมเย็นยะเยือกขึ้นมาอีก…เหงา…แล้วก็ว้าเหว่ขึ้นฉับพลัน จนต้องกลั้นใจหลายต่อหลายครั้ง
ผมต้อง ‘สู้’ กับพวกเขาอีกมากต่อมาก
‘พวกเขา’ ก็คือ เจ้า ‘ยา’ มัจจุราชนั่นแหละ
ฉันจึงต้องขอตัวที่จะไม่บรรยายภาพการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้อันแสนวิเศษสุขสม ณ ที่นี้ ด้วยว่านับเป็นบันทึกการเดินทางไกลครั้งนั้นอย่างที่ไม่มีวันจะบรรยายได้ในปัจจุบัน นอกจากยาวไกลด้วยรายละเอียดจากประวัติศาสตร์ที่น่าเก็บงำสำหรับย้อนทวนชวนให้พิศวงของดินแดนนั้นแล้ว ยังกอร์ปด้วยธรรมชาติอันเปี่ยมอัศจรรย์
อาจจะด้วยฉันยังมีใครอีกคนที่อยู่ในบัญชีแห่งการดั้นด้นค้นเอามาคลี่ ด้วยวิธีของผู้รู้เห็นเรื่องคนเสพยา
เดือบสิบนั้นก็มีปัญหาเรื่องน้องชายนามว่า ‘ดวล’ ติดยาเสพติดเช่นกัน
แถมยังมีเรื่องรักที่ทำอย่างไรก็ไม่ลงตัวกับชายหนุ่มนามว่า ลำธาร ผู้มีมารดาชื่อยี่สุ่น ซึ่งหวงลูกชายอย่างที่สุด ด้วยหวังไกลให้เขาได้เคียงคู่กับผู้หญิงมีฐานะ ศักดิ์ตระกูล
เพียงแต่ล่วงรู้ว่าเขาไปติดพันเดือนสิบผู้มีน้องชายติดยา ก็สุดแสนจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ระเบิดออกมากับบุญหยาดผู้เป็นน้องสาว
“ฉันไม่ได้ปั้นลูกมาให้พลัดเข้าไปอยู่กับครอบครัวตกต่ำพรรค์นั้นนี่แก แล้วถ้าซักวัน มันถูกตำรวจจับล่ะ ลูกชายฉันมิต้องเข้าไปประกันตัวเรอะ…ลูกชายฉันที่ฉันปั้นมาแทบเลือดตากระเด็น ที่ไม่มีความผิดอะไรเลยนี่น่ะรึ จะต้องเข้าไปมีเอี่ยวกับความเลวร้ายของลูกคนอื่น…จริงๆนะหยาด…แกเชื่อฉันเถอะ ไม่เฉพาะฉันหรอกที่ทนไม่ได้ ลูกฉันมันก็เลือดฉัน มันทนได้ก็ให้รู้กันไป”
ชัดไหมล่ะ ท่านผู้ชม
ประโยคยาวๆประโยคเดียวนี้เท่านั้น ก็แทบจะไม่ต้องพรรณาความอื่นให้เสียเวลา
แม้ว่าบุญหยาดจะตอบกลับ
“ที่จริง ยายหนูเดือนแกก็ไม่เลวหรอก คล่องตัว เก๋ไก๋ แล้วก็ไม่โง่”
“ฉลาดด้วยซ้ำ” คุณยี่สุ่นเห็นด้วย…อย่างน้อยก็เสียดาย
หากเมื่อลูกชายลงบันไดมา แล้วเธอบ่นถึงโทรศัพท์ที่เดือนสิบโทร.ข้ามทวีปมาเมื่อครู่
“เงินทองมากมายนักหรือจ๊ะถึงได้โทร.ข้ามไปข้ามมาไม่เว้นตะละวัน”
แต่ลำธารก็แก้ตัวให้หญิงสาว
“เขาเหงาน่ะแม่…แล้วก็พูดแค่สามนาที”
“รู้ว่าเหงาแล้วไปทำไม”
“เขามีปัญหามาก แม่ก็ทราบ” เขาเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาเกือบหนึ่งเดือน หลังจากมีคนมาส่งข่าวให้แม่ของเขารู้ว่า ดวล น้องชายของเดือนสิบติดเฮโรอีน
นี่ฉันก็กำกับเดาดุ่มสุ่มตัวอย่างไปยังงั้น เพราะตัวเองจะเคยเห็นเจ้าผงนี่สักปลายเล็บก็หาไม่ แม้จะไปสืบค้นต้นปลายถึงรากโคนของมัน ก็มิเคยมีใครนำเอาของจริงมาวางตรงหน้า
แต่ก็เอาละนะ…ไม่เคยก็ไม่เคย…มาว่ากันถึงพระรองกับนางเอกก่อนดีกว่า
แท้จริงแล้ว ลำธารสงสารหล่อนเจียนจะขาดใจ
พร้อมกันนั้น มารดาก็ยื่นคำขาดให้เขาถอยออกมา
ตลอดสามสัปดาห์ก่อนเดือนสิบออกเดินทาง เขาจึงไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในบ้านหล่อน
เนื่องด้วย คุณยี่สุ่นขู่ไว้
‘ระวังนะธาร กำลังคุยๆกับแฟน ตำรวจบุกมาเมื่อไหร่ ลูกจะพลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย’
หากก็อย่าเพิ่งเอาแต่ทุกข์ใจไปกับเดือนสิบและลำธารกันเลย…เสียเวลาเปล่า…เพราะที่แม่เขาเป็นกังวลก็ถูกแล้ว คนทั้งโลกก็คงคิดเหมือนๆกัน รวมทั้งมีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องกลัว
ฉันเองก็ไม่มีวันมัวติดข้องอยู่กับผู้ใดนอกจากนางเอกพระเอก
เดือนสิบและเที่ยงวันผู้กำลังเดินเที่ยวอยู่ด้วยกันไม่ห่างหายภายใน ‘พระราชวัง’ ที่มีสะพานหินทรายพร้อมดวงไฟซ่อนอยู่ข้างใต้นั้น หากแต่ได้กลิ่นฉุนจากกระถางไฟ ทำให้เที่ยงวันผู้เปราะบางเพราะเพิ่งหายขาดจากยาเสพติดมาใหม่ๆ เกิดอาการประหนึ่งคลื่นลูกย่อมๆวิ่งรี่จากกลางทะเลตรงเข้าโถมกระแทก
เลยต้องขอตัวกลับห้อง
แต่เดือนสิบห่วงใย…วิ่งตามไปถึงตัวพลางปลอบโยน
“ใจเย็นๆค่ะ คุณเที่ยงต้องใจเย็นๆ ไงๆเราก็มาถึงแค่นี้แล้ว จะคับอกคับใจอะไรก็ทนๆเอาหน่อย เดี๋ยวคุณแม่คุณก็จะยิ่งกลุ้มใหญ่ คุณเองก็จะไม่สนุก มิหนำซ้ำจะกลายเป็นความทรมาน…”
เที่ยงวันก็เลยนั่งลงบนโซฟารับแขกที่มีเก้าอี้บุหนังม้าลาย
ฉันละก็เสียดายเป็นที่สุดที่มิอาจบรรยายรายละเอียดความงดงามอย่างคลาสสิคของพระราชวังอันงามตระการ ละลานตาแห่งนี้ไว้ในเนื้อที่นี้ได้
เนื่องด้วยมีตัวละครรอคอยอยู่ในฉากนับไม่ถ้วน ล้วนแล้วเป็นบุคคลสำคัญ
นอกจากดวล ก็ยังมี นายดำเกิง-บิดา นางสกาว-มารดา เพื่อนพ้องที่ติดยาอีกสองสามราย กับบ้านพิชิตใจและคณะเจ้าหน้าที่ผู้มีภาระบำบัดอาการผู้ติดยา
นายดำเกิงนั้นเป็นพ่อที่ลำเอียง รักแต่เดือนสิบ นางสกาวรักดวล จึงถือหางกันละคนข้าง ดังนั้น ก็ค่อนข้างต้องขัดคอกันไปมาทุกวันเวลามิได้เว้น เป็นเหตุให้บ้านไร้สันติสุข…เพราะไหนจะมีลูกติดยา ไหนจะทำให้เดือนสิบต้องเสียลำธารไปเพราะเหตุนี้
ภายหลังจากการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ผ่านไป เที่ยงวันจึงได้สหายหน้าใหม่คือ เดือบสิบกับน้องชายของหล่อนผู้มีภาวะ ‘เสี้ยนยา’ อยู่ในชีวิตประจำวันมิรู้หาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงกลายเป็นแขกประจำบ้านของหญิงสาวในฐานะผู้เคยติดยาเช่นกัน ด้วยว่าเกิดสายสัมพันธ์ขึ้นใหม่ระหว่างเขากับดวล ถึงขีดที่จะคอยปลุกเร้าปลอบประโลมให้กำลังใจ มีทางใดสามารถกระตุ้นให้ทั้งพ่อแม่และน้องชาย หล่อนลุกขึ้นสู้…จนเลือดหยดสุดท้าย เที่ยงวันก็มิเว้นโทรศัพท์ไปพูดคุยปลอบใจ
ทั้งๆที่หารู้ไม่ว่า เดือบสิบก็ยังไปกินข้าว เดินคุย เคียงข้าง ไม่ห่างหายไปจากลำธาร
หารู้ไม่ว่า ชายอีกผู้หนึ่งโทร.ตามหา โทร.แล้วโทร.เล่าเฝ้าแต่โทร. เลยสามทุ่มไปแล้ว สาวเจ้าก็ยังไม่ถึงบ้าน
ด้วยว่า กำลังทุกข์ใจทรมานเหลือกำลังขณะฟังลำธารพรรณนาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ผมเห็นใจคุณจริงๆเลย เดือน คุณคงลำบากอีกนาน เดือดร้อนอีกมาก คิดขึ้นมาทีไรก็กลุ้มใจแทน กลุ้มแล้วเลยโกรธน้องชายคุณจัง ไม่เข้าใจเลยว่า คิดยังไงถึงได้ไปติดยาเข้าให้…ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ใครจะไปเข้าใจได้ ในเมื่อสาเหตุแห่งการเสพติดมีตั้งหลายเส้นทาง…สุดแต่ใครจะมีสำนึกแค่ไหนเพียงไรในการระแวดระวังชีวิตตนให้พ้นยาตัวร้ายนี้ ก็มันสุดแสนจะระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง ทั่วทุกกระเป๋าเดินทาง ทั่วหลังรถบรรทุก จัดส่งโดยมือและโรงงานอันไม่ลึกลับแต่อย่างใดนี่นา ล่อใจให้ทั้งคนขายคนเสพติดตังพลั้งพลาดจนถูกกวาดเข้าคุกบ้าง นั่งหัวเราะคนเดียวในความมืดบ้าง นอกจากคนกลางเท่านั้นที่เก็บค่าต๋งกันแสนสนุก
ปล่อยให้พ่อแม่ผัวเมียของคนติดยาครวญคร่ำตามลำพังในทะเลน้ำตาสืบไป
ครอบครัวเดือนสิบก็เช่นกัน
หล่อนไม่มีวันจะสร่างโศกจากความวิปโยคครั้งนี้
ด้วยว่า กำลังจะสูญเสียสำธาร ชายในดวงใจไปโดยไม่มีเหตุผลใดจะรั้งเขาไว้ได้อีก
แม้เขาจะยังก้ำกึ่งระหว่างแม่กับหล่อน แต่ความยุ่งยากยาวนานของหญิงสาวก็ชวนให้เขาป่วนปั่นกลั้นไม่ไหว ที่จะต้อง…พยายามห่าง…หากแต่ใจยังรับไม่ทัน สะกดกลั้นมิได้หากจะต้องพบสภาพ…พรากทั้งรัก
จึงมักจะถ่วงเวลากลับบ้านของหญิงสาวโดยนั่งรถไปเรื่อยๆ คุยกัน
เดือนสิบก็ได้แต่ตามเขาไป ทั้งกายและใจ คล้ายนาฬิกาหมดลาน
หนุ่มสาวจึงต้องการเวลายาวนานเกือบทุกคืนค่ำ…สนทนา
เดือนสิบเลยเริ่มเล่าถึงเที่ยงวัน
“ไปกับทัวร์คราวนี้ มีอยู่คนหนึ่ง เขาเพิ่งเลิกยาเสพติด ขนาดเลิกแล้ว พอมีคนรู้เข้า ก็เกิดปฏิกิริยาทันที”
“นั่นน่ะซี” ลำธารพึมพำ “ถึงได้บอกเดือนไงล่ะว่า ต้องระวัง…มันยากตั้งหลายขั้นตอน ต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังศรัทธามากต่อมากกว่าจะผ่านไปได้ ผ่านไปได้จนหายแล้วก็ยังจะต้องคอยดูแล เพราะพวกนี้มีโอกาสย้อนกลับมาเสพซ้ำ…นี่ผมก็เลยพยายามหาความรู้เท่าที่จะหาได้จากคนที่เขารู้จริง”
ครั้นถามถึงความเห็นของมารดาเขา ชายหนุ่มก็ต้องตอบไปตามจริง
“ก็…เป็นธรรมดาที่จะ…ต้องเป็นข่าวร้ายไม่ใช่หรือเดือน”
“ใช่” เสียงของเดือนสิบเครือสั่น “มันเป็นข่าวร้าย…ที่จริง…ฉันก็เห็นใจครอบครัวธารนะ แล้วก็เห็นใจธารมากที่สุด…ไปแอฟริกาใต้คราวนี้ แม้จะดีทุกอย่าง แต่ก็ต้องร้องไห้ก่อนนอนแทบทุกคืน”
“เดือน” เขาเพียงแต่คราง
“เสียใจเหลือเกินธาร ฉันเสียใจมาก ไม่คิดว่าเรื่องของเราจะจบลง…”
โธ่เอ๋ย…แล้วใครล่ะไม่เสียใจ…หือเดือน…ผู้กำกับกำลังยืนน้ำตาไหลพรากอยู่นี่ไง
เสียใจด้วยกับเธอและลำธารอย่างสุดซึ้ง…รู้ไหม
แทบจะยืนไม่ไหวเอาเลยละนะ เดือนนะ
ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่านทราบไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า นวนิยายทั้งหลายทั้งปวงที่ฉันเคยเขียนมา หาเรื่องใดจะชวนรันทดสลดลึกเท่า ‘ข้ามสีทันดร’ ไม่
ทุกคราที่หลับตาลง…เที่ยงวันจะแลเห็นแต่สีฟ้าขลิบขาวของมหาสมุทรผุดเด่น เป็นภาพอมตะที่ไม่มีวันจางวาย ตรงกันข้าม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน ยิ่งฝังแน่นตราตรึง
ผู้หญิงคนหนึ่งบนประภาคาร…ผู้หญิงที่ไม่แปลกใหม่ หน้าตาของหล่อนคุ้นใจ ราวกับเคยพบกันมาก่อนกระนั้น
หากแต่หล่อนยังมีชายอีกคนอยู่เบื้องหลัง
โดยพลัน เขาก็นึกได้ถึงยุพรา จึงผลุนผลันผุดลุกขึ้น ร้องถามมารดาจากหัวบันได
“แม่มีเบอร์โทร.คุณยุพไม่ใช่หรือ”
“ทำไมล่ะลูก…มี…แต่มีแค่เบอร์โทร.สำนักงานเขา” นางสวาทเลยบอกปัดตัดบท
หากลูกชายนิ่งคิด พลางก้าวเร็วๆลงมา
“ผมว่าเขาจดเบอร์บ้านเขาลงไปด้วยนะ”
“นี่ก็ดึกแล้วนะลูก เที่ยงจะโทร.เดี๋ยวนี้เลยหรือ”
“เดี๋ยวนี้เลยน่ะซีแม่” เขาเริ่มเอาแต่ใจ
“เที่ยง…ไงๆเราก็ต้องเกรงใจเขามั่ง จะโทร.ถึงเขาเรื่องอะไร สำคัญมากนักหรือไง”
“คุณเดือนไปกับใคร…ผมอยากรู้แค่นั้น” เที่ยงวันขึงขัง “ผมอยากรู้ว่าไปกับใคร”
“เที่ยงเอ๊ย…” อีกฝ่ายก็เลยครางอย่างอ่อนแรง “แม่จะบอกอะไรลูกอย่างนึงนะ…การที่เราไม่รู้อะไรบางเรื่องก็เป็นโชคเหมือนกัน อย่าดิ้นรนอยากรู้เลยลูก อย่าหาทุกข์ใส่ตัวเองเลยนะเที่ยงนะ เชื่อแม่”
เธอพยายามข่มใจ โอบบ่าเขาไว้อย่างปลอบโยน
“คุณเดือนกับผู้ชายคนนั้นน่ะไม่มีวันลงเอยกันง่ายๆหรอกลูก ที่เขาไม่ไปรับที่ดอนเมืองก็พิสูจน์ชัดแล้วละว่า เขาก็ไม่จี๋กันสักเท่าไหร่ แล้วอีกอย่าง คุณเดือนเขาก็ยังต้องพึ่งเที่ยง เขาไม่ไปไหนเสียหรอก เรากับเขายังจะต้องติดต่อกันอีกนาน…เที่ยงจะต้องช่วยเขาทำประโยชน์ให้น้องเขา แต่ข้อสำคัญก็คือ เที่ยงต้องหนักแน่นมั่นคง…ไม่…”
นางสวาทนั้นหรือก็กริ่งเกรง…จึงแทบจะต้องคัดคำทีละคำพูดกับเขา
กำลังใจของคนเคยติดยา…แม้ผ่านการฟื้นฟูมาแล้ว ก็เอาแน่มิได้เรื่องปรวนแปรไป
“คือเราต้องเป็นหลักให้เขาก่อน…ผู้หญิงน่ะ เขาชอบผู้ชายเข้มแข็ง เที่ยงต้องมั่นใจในตัวเอง ต้องตั้งใจเรียน เรียนสำเร็จแล้วเรื่องผู้หญิงไม่ใช่เรื่องยาก”
เที่ยงวันจึงหยุดคิด พลางพยักหน้า
อือ…ถ้าพระเอกว่าง่ายๆหน่อย คน ‘หลังม่าน’ ก็มิสู้จะหนักใจ
ฉันก็เลยต้องชูมือโบกให้เขา ให้น้ำกันนิดหน่อยจะดีกว่า
นั่นไง…เขาได้สติแล้วไหมล่ะ
แม่เขาทำหน้าที่นี้สำเร็จตลอดมา
ฉันก็เลยใช้มือแทนธง โบกให้เธอด้วย น้ำตาที่เมื่อครู่ไหลพราก พลันแห้งหาย
“ใช่…แม่”
“แม่ว่านะ…ไม่จำเป็นต้องถามทั้งคุณยุพคุณเดือนเรื่องผู้ชายคนนั้น เที่ยงต้องหยิ่ง ต้องไว้เกียรติตัวเอง…คิดดู ถ้าเที่ยงคอยถาม เขาจะนึกรำคาญไหม เขาจะหาว่าลูกเข้าไปก้าวก่ายความในใจของเขาหรือเปล่า…แต่ถ้าเที่ยงไม่ถาม…แม่ว่าจะดีกว่า เท่ากับลูกได้ฝึกใจของลูกเองให้รู้จักสู้กับความสงสัย”
เที่ยงวันก็เลยพยักหน้าอีกครั้ง พลางกลับขึ้นไป เอนตัวลงนอนอย่างว่าง่ายเชิงตัดบท
วันต่อมา เขาจึงเข้าไปรายงานหัวหน้าฝ่ายสังคมสงเคราะห์ว่า
“ตอนนี้ ผมกำลังมีภาระนะครับ…คือ น้องชายเพื่อนผมกำลังติดยาขนาดหนัก ผมก็เลยอยากช่วย…”
อีกฝ่ายจึงได้แต่ตอบว่า
“คุณรู้ไหม ข่าวที่ร้ายที่สุดในชีวิตผมก็คือ รู้ว่ามีคนติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น…แม้จะหนึ่งคน หรือครึ่งคนก็ตาม ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเราจริงๆ”
แต่นายดำเกิง พ่อของเดือนสิบและดวลไม่เหมือนนางสวาท แม่ของเที่ยงวัน
เพียงแต่พบดวลเพิ่งฉีดยาเสร็จ กำลังเคลิ้มๆบรมสุขอยู่ทีเดียว พ่อบังเกิดเกล้าก็เปิดประตูเข้ามา เอาโซ่ที่ติดมือมาด้วยตรงเข้าล่ามข้อเท้าลูกชายไว้กับขาเตียง พลางคำราม
“แล้วมึงก็อยู่นี่ ไม่ต้องออกไปไหน…ถ้ากูไม่ขัง มึงก็ไม่รอดตำรวจ…นี่ถ้ากูฆ่ามึงได้ กูก็ฆ่าแล้ว กูจะฆ่ามึง ให้มึงตาย จะได้เลิกเป็นลูกกู”
แต่ดวลในยามนี้ผ่านตลอดแล้ว ด้วยว่าไม่รู้สึกรู้สมใดๆในถ้อยคำของบิดา แม้สกาวจะเข้ามายืนมองความบ้าระห่ำของนายดำเกิงอย่างโศกสลด ก็ได้แต่กรีดน้ำตา จ้องหน้าลูกชายคนเดียวอย่างสงสารเป็นที่สุด ครางออกมาแผ่วเบา “ดวล ลูกต้องเลิกยาให้ได้นะดวลนะ”
เอาละซี ทีนี้ งานหนักก็ต้องตกเป็นของผู้กำกับทั้งหมด นั่นก็คือ
ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ที่มีปัญหาต้องแก้ ผู้กำกับที่แพ้ไม่ได้อย่างฉัน จะต้องพาพวกเขาดั้นเมฆ ฝ่าฝุ่น PM 2.25 ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง คือจุดที่แม้จะไม่เอิบอาบบรมสุขราวกับอยู่ภายใต้ละอองน้ำค้างกลางหาว หากก็ควรพาเขาเดินชมดาวเดือนกลางอุทยานอันชื่นเย็นด้วยลมพัดสะบัดโบก เพื่อสูดกลิ่นไอของอากาศที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ หรือบริสุทธิ์ให้จงได้
แต่ฉันเชื่อมั่นในความหวังสูงส่งของตนเองว่า ถึงอย่างไร ก็จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
แล้วเห็นหรือยัง ในที่สุด ฉันก็พาดวลและเที่ยงวัน มาบรรจบพบกันพอดีกับนายดำเกิงผู้เคยมีปัญหาอย่างยิ่งกับลูกชายของเขา
‘ดำ…นายก็ได้ชื่อว่าเป็นคนคุมลูกน้องได้ แล้วทำไมวะ กะลูกคนเดียวถึงคุมไม่อยู่’ เพื่อนสนิทถามเขาเมื่อกลางวัน ขณะนั่งกินข้าวด้วยกันตามลำพัง แล้วเขาเองที่กำลังกดดันเรื่องดวล ก็เกินกว่าจะเก็บความในใจ จึงเล่าให้เพื่อนฟัง…เล่าไปร้องไห้ไป
‘อาจเป็นเพราะอยากให้มันดีเกินไป’
‘ไอ้คำว่าเกินไปนี่ต้องตัดทิ้ง’ เพื่อนสวนทันควัน ‘เกินไม่ได้หรอกดำ ขาดก็ไม่ดี…เราอายุป่านนี้แล้ว ไม่ว่าจะคุมลูกหรือคุมพนักงาน เราต้องไม่คุมด้วยกำแพงหรือรั้วลวดหนาม แต่ต้องคุมด้วยใจ ด้วยความคิด ด้วยศรัทธา…เราใช้ศรัทธาคุมเขาได้ไหมดำ’
ดำเกิงพยักหน้า ตื้นตันใจจนมิรู้จะตอบกระไรได้
‘แกกลับไปนี่ ต้องพูดดีกับมัน มันหักดิบมาแล้ว ถึงฉีดเข้าไปอีกเข็ม ก็ไม่น่าจะยุ่งยาก’
ฉันเอง ก็จำเป็นต้องพูดตามๆเขาไป ตามที่นักสังคมสงเคราะห์ชี้แนะไว้แค่นั้น
แม้ว่าดวลจะปีนรั้วหนีออกไปแล้วกลับเข้ามาอีก คราวนี้ นายดำเกิงก็พยายามระงับใจ เดินลงไปที่ห้องข้างล่างพร้อมกับเปิดไฟสว่าง
แลเห็นดวลกำลังกุมคอขวดเหล้าที่เพิ่งดึงออกจากชั้นลอย
แต่นายดำเกิงกลับบอกว่า
“พ่อดีใจนะดวล ที่ลูกกลับบ้าน ทุกคนรอดวลนะลูก”
ดวลเกือบแค่นยิ้ม
นายดำเกิงได้แต่นึกถึงถ้อยคำของเที่ยงวันที่บอกเขาไว้ระหว่างที่ดวลโดดจากรถหนีไปทั้งๆรถกำลังแล่น
‘ถ้าเขากลับ คุณพ่อก็น่าจะทำใจให้ได้นะครับ กำไรของคุณพ่อ ผมแลไม่เห็นทางอื่น นอกจาก…ให้อภัยแล้วดีกับเขา’
ชายหนุ่มบอกอีกฝ่ายต่อหน้าเดือนสิบเลยทีเดียว
หญิงสาวจึงนิ่งฟังเขา
หล่อนยังมิสู้จะแน่ใจเท่าไรนักเรื่องบิดา แต่แน่ใจพร้อมซาบซึ้งในน้ำใจของเที่ยงวันอย่างที่สุด
วันและเดือนรุดหน้ามาจนถึงวันนี้ สิ่งที่หล่อนประจักษ์ชัดอย่างถ่องแท้ทีเดียวว่า เขาคือมิ่งมิตรผู้ชิดใกล้ตัวจริง
เที่ยงวัน…น้ำใจเขาช่างล้ำเลิศต่อครอบครัวหล่อนยิ่งนัก
‘แล้วนี่ ผมก็อยากมาคอยดวลด้วยจัง’ วันนั้นเขาเปล่งเสียงไว้
‘ฉันก็อยากให้คุณมาคอย’ หล่อนตอบสนองอย่างนุ่มนวล พร้อมกัน ใจก็กระหวัดถึงลำธาร
หากกระหวัดถึงครานี้ อย่างมิใช่เดือบสิบคนก่อนผู้เอาแต่ร้อนเอาแต่รัก โดยมิรู้จักหักใจ
‘ผมก็ยังอยู่นี่ไงครับ’
คำของเขาซื่อ เรียบง่าย กระตุ้นให้รู้สึกขึ้นมาใหม่ถึง ‘แสงสว่าง’ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องหับของหัวใจ
จะไม่มีลำธารอีกต่อไปแล้วนับจากนี้
แต่จะมีเพียงเที่ยงวันกับดวล
ดวลกำลังอาบน้ำที่ภาษาวิชาการเรียกว่า ‘ชนน้ำ’ เพื่อรักษา ‘อาการ’
หลังจากนายดำเกิงซื้อใจลูกได้
มีเที่ยงวันคอยยืนคุม จนกระทั่งดวลก้าวออกจากห้องน้ำ
ทุกดวงหน้าในครอบครัวของเด็กหนุ่มชุ่มไปด้วยน้ำตา
ในที่สุดนายดำเกิงจึงก้าวออกไป น้ำตาเขากำลังหลั่งไหลขณะอ้าแขนออกโอบกอดลูกชายคนเดียวผู้ถูกขับเคี่ยวผิดทาง
“ขอบใจลูกมากดวล ขอบใจลูกมาก”
ดวลกอดพ่อไว้เช่นกัน…กอดไว้…เป็นครั้งแรกในวันเวลาสิบปีที่เขาไม่เคยเลย…ไม่เคยกอดพ่อของเขาเลย
ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า เขารักพ่อได้มากถึงเพียงนี้
จบ
- READ "หลังลับแล" เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด...เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง
- READ ประจิมและอรอินทรา จาก "พฤกษาสวาท"
- READ รู้จักกับ 'เทียนธารา' ให้มากขึ้นใน "ควันเทียน"
- READ "รัด" จาก พญาไร้ใบ
- READ ไฟพ่าย..."พิจิกา" ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว
- READ ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
- READ "วิมานไฟ" ความคั่งแค้นในใจ 'ภุมเรศ'
- READ วิมวิริยา แห่ง "วิหคโสภา"
- READ "อุโมงค์เวลา" สำปันนีและแคว
- READ "รอบรวงข้าว" ก่องและอัญชัน
- READ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" เจ้าหญิงโสคนเทียและสู
- READ "จันทร์ยาตรา" ปั้นหยาและลุ่มน้ำ
- READ "ไฟทะเล" เรื่องของ 'ชับ' และ 'สิชล'
- READ 'มัลลิกา' มารดายืนหนึ่งใน "กิ่งมัลลิกา"
- READ เรื่องราวของ "ศศิน" ใน "เงาจันทร์"
- READ "ทองลงยา" นางเอกของฉันจาก "กระจกขอบทอง"
- READ ข้ามเมฆา และนางเอก ‘บ้านๆ’ นาม "สีทับทิม"
- READ รสรักปักอุรา "มฤคีและอุบากอง"
- READ ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
- READ ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร
- READ 'บนฟ้า' และ 'สมุทรไท' ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ
- READ เมื่อ "ขอบน้ำจรดขอบฟ้า" บนฟ้าและสมุทรไท
- READ ข้ามมหาสาคร 'ดูรา' และ 'กันตัง'
- READ 'ระย้า' เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย
- READ "รสอมฤต" การสืบสวนที่พา 'ปูนปั้น' และ 'ร้อยรัด' มาพบกัน
- READ ‘ตวง’ ตัวละครวัยเยาว์ใน 'เมรัยสีกุหลาบ'
- READ "รำนำ" ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’