“รสอมฤต” การสืบสวนที่พา ‘ปูนปั้น’ และ ‘ร้อยรัด’ มาพบกัน
โดย : กฤษณา อโศกสิน
“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิ
นับเป็นอีกหนึ่งนวนิยายที่ตนเองประทับใจเอง ผูกเรื่องเอง รวมทั้งพาเรื่องเดินทางไปเองด้วยอาการของนักทดลองเรียนรู้สิ่งใหม่ที่อาจเรียกได้ว่า คืองานแรกในชีวิต นั่นก็คือนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนที่ไม่เคยคิดจะเขียนมาก่อน
แต่แม้ไม่เคยเขียน เพิ่งหัดเขียน หากก็เขียนได้ เขียนคล่อง ไม่ต้องถึงกับแปลกใจเมื่อในสมองมีพล็อตใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบครบถ้วนแล้ว เพียงแต่นำประสบการณ์มาเรียงร้อยถ้อยความให้สวมกันได้กับข้อมูลทางวิชาการจนสนิทแน่นเป็นเนื้อเดียวเท่านั้น ทุกบรรทัดที่ไหลตามกันออกมา ก็จะกลายเป็นความสมปรารถนามิยากนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันเปิดฉากขึ้นที่ตลาดขายของเก่าเมืองอองบวส ประเทศฝรั่งเศสที่เพิ่งไปเที่ยวกลับมาก่อนโรคร้ายจะระบาดอย่างที่เห็น ตัวละครมีแค่ 4 คน โจม ปูนปั้น ร้อยรัด และวันทาเพื่อนสนิท
จึงนับเป็นโชคอย่างยิ่งที่ได้ไปสัมผัสสถานที่มีคุณค่าให้พระเอกนางเอกได้มาปรากฏกาย ณ บ้านเมืองแปลกใหม่
หากก็จะเกี่ยวข้องสอดคล้องกันไปกับเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายในไทยต่อจากนั้น
นั่นก็เนื่องด้วย แท้จริงแล้ว ปูนปั้นก็คือนักสืบรับจ้างที่เศรษฐีพลังจ้างมา ให้ตามหาของโบราณทรงคุณค่าและราคามหาศาล 3 ชิ้นที่อันตรธานไปจากห้องพระบนคฤหาสน์ชั้น 3 เมื่อไม่กี่วันมานี้…คือไม่กี่วันก่อนส่งเขาขึ้นเครื่องบินเดินทางสะกดรอยผู้ที่พลังคิดว่าคือโจรตัวจริง
ผู้มีนามว่า โจมนั่นเอง
ฉันนั้นยังจำได้ ระหว่างเดินทางมา นายโจมก็เอาแต่แขวะ
‘ผมละก็ยกนิ้วให้เลยนะ คุณผู้หญิง’ เขาออกเสียงเยาะหยันบางเวลาที่ฉันบอกบทให้เขาทำ ‘นี่คุณคิดได้ไงที่อุตส่าห์ตะเกียกตะกายมากำกับหวังจะกดหัวผมให้อยู่หมัดนี่น่ะ คิดได้ไง’
ฉันก็เลยส่งเสียงดุ
‘มาไกลขนาดนี้ อย่าได้เฮี้ยวกับฉันเป็นอันขาด…ไม่รู้หรือว่า ฉันก็เหนื่อย…แต่ในเมื่อบทบาทเธอต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะไปมีทางเลี่ยงแบบไหนฮะ…แบบไหน’
โจมเห็นฉันเอาจริงเลยเงียบไป
แต่อย่าเผลอละกัน หมอนี่ก็ฤทธิ์มากไม่ใช่ย่อย
ตรงกันข้ามกับปูนปั้นผู้เคยเป็นทั้งศิลปิน ตำรวจ ครั้นแล้วจึงตกลงใจมามีอาชีพนักสืบของบริษัท ‘ดำดิน’ มีพันตำรวจตรีพลผู้เคยเป็นลูกพี่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเจ้าของและหัวหน้า
ออกปฏิบัติการภาคสนามมาแล้วหลายคดี สำเร็จเสร็จสิ้นชนิดที่ต้องยกนิ้วให้ จึงกลายเป็นบริษัทเล็กแต่ใหญ่ซึ่งซื่อสัตย์ ปราศจากการคดโกง
เศรษฐีทั้งหลายนิยมใช้บริการกันตลอดมาจนทุกคนมีฐานะถึงขั้น ‘อยู่ได้’
ฉันเองก็เลยเก็บเอกสารอันว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนของเขาไว้ โดยอาศัยใช้รายละเอียดในนั้นเป็นคู่มือสำคัญ
ครั้นแล้ว ในวันนี้ ฉันจึงสามารถเขียน ‘รสอมฤต’ ที่ผู้อ่านคงอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่ขาดไม่เกินไกลห่างจากความเป็นจริงมากนัก จากการพาตัวละครไปผ่อนพักแกมสะกดรอยที่ตลาดของเก่า แล้วเลยไปชมปราสาทราชวังของฝรั่งเศสอันเป็นของวิเศษสุดสำหรับฉันและตัวละคร นั่นก็คือ จะได้สมจริงสอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่วางไว้
กลับมาแล้ว จึงเดินทางไปศรีสัชนาลัยซึ่งก็ไม่ยาก
เรื่องสถานที่มักไม่มีสิ่งใดยาก…เรื่องยากที่สุดก็คงได้แก่กำกับบทบาทให้พวกเขา
โดยเฉพาะตัวที่ฉันต้องคอยสอนคอยจัดกระทั่งยัดเยียดให้เขาทำ
ในเรื่องนี้ ผู้ร้ายชั้นหัวหน้ามีอยู่แค่สองคน ขณะที่เปิดฉาก ฉันต้องผจญกับคนเดียวที่กะส่งออกมาเดี่ยวๆก่อนใคร เพื่อเคี่ยวกรำให้ผู้ชมได้แลเห็นว่า ฉันก็เขียนเรื่องนักสืบได้
แต่จะสนุกหรือไม่สำหรับแต่ละท่าน นั่นก็ต้องมอบให้ฝ่ายรับชมเป็นผู้ตัดสิน
ขณะนี้ ฉันเพียงแต่พาทุกคนมาถึงบ้านของปูนปั้นผู้ยังไม่เปิดตัวว่าเป็นใคร เปิดแค่ที่ว่าพ่อแม่ญาติทั้งหลายมีโรงหล่อพระพุทธรูปแค่นั้น…
อันว่าเรื่องโรงหล่อก็ไม่รู้สึกยากเย็นที่จะบรรยาย ฉันเพียงแต่ตามโจมไปมาในระยะกระชั้นชิด แล้วส่งบทให้พ่อแม่ปูนปั้นแสดงไปตามนิสัยที่เป็นไปได้และเป็นไปจริงแค่นั้น…หวังให้โจม ‘คาย’ บางสิ่งที่เก็บไว้เป็นความลับออกมาให้จงได้ ผ่านสีหน้าและบทเจรจาที่มีความสำคัญสำหรับปูนปั้นและฉันครบถ้วนก็พอใจแล้ว
ส่วนสองหญิงโดยเฉพาะร้อยรัดก็ไม่เป็นไร หล่อนสมองไวใสสะอาด ฉลาดเฉลียวด้วยการสอนสั่งจากบิดาให้เป็นผู้ช่างสังเกต โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับของที่จะต้องซื้อขายในชีวิตประจำวันเพราะครอบครัวร้อยรัดก็เป็นเจ้าของร้านขายวัตถุโบราณที่สั่งจากต่างประเทศมายาวนานเช่นกัน แม้ว่าหน้าร้านจะดูเหมือนมีแต่เครื่องแก้วเครื่องกระเบื้องก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะเจ้าตัวระแวดระวังไม่เผลอไปรับของโจรมาเป็นสินค้า
วันทาก็เลยได้หมอนวดมือทองมาช่วยนวด ช่วยผ่อนคลายอาการปวดหลังได้สำเร็จ จนกระทั่งโจมพาทุกคนกลับกรุงเทพฯ หวังให้ปูนปั้นได้พบนางเจียมจิตแม่ของเขาที่ยังรอลูกชายคนเดียวอยู่ที่ร้านเจนไน มีป้าพิศวาทญาติสนิทกับลุงเขยและลูกชายอาศัยอยู่ชั้นบน
ส่วนสองแม่ลูกหลังปิดร้าน ก็มีบ้านให้กลับ
ผู้ชมคงพอจะแลเห็นท่าทางแม่ของโจมในคราวนี้ เพียงแต่ไม่มากมาย ด้วยว่านางเป็นคนช่างต้อนรับ
ฉันนั่นเองบอกนางไว้ว่า
‘คุณเจียมต้องทำท่าให้แนบเนียนมากหน่อย อย่าเพิ่งทำให้คุณปั้นเขาจับได้…เพราะฉันยังจะต้องสู้กับความลับที่คุณก่อไว้อีกยาวไกล’
‘รับรองได้ค่ะ…ฉันไม่เคยทำพลาด ไม่งั้นก็อยู่มาจนป่านนี้ไม่ได้’
ถ้อยคำของอีกฝ่ายมีความนัย
ปูนปั้นกลับไปแล้ว แม่กับลูกชายก็คงถ้อยทีถ้อยเล่าสู่กันฟังโดยเฉพาะเรื่องที่หนุ่มนักสืบพาเขาไปถึงบ้านช่องห้องหับ
เพียงแต่ฉันเองที่กำชับทั้งแม่และลูก
‘อย่าคิดนะว่าเลศเล่ห์เหนือเมฆของคุณจะไม่มีใครตามทัน’
นางเจียมจิตก็เลยยกมือไหว้
‘ถึงไงก็ขอบคุณคุณหลายแล้วนาคะที่ยังกันฉันเอาไว้ ไม่ให้กลายเป็นเป้าพวกตำหยวด…กะนักเสียบ’
ฉันละก็อดขำยายป้าคนนี้ไม่ได้อยู่เรื่อยที่เข้าใจยั่วเย้าให้คนอารมณ์ดี
หากก็อดเอ็ดหัวเราะๆไม่ได้
‘พูดจาอะไรก็ระวังหน่อยนะคุณนาย…สายตรวจหมู่นี้เขาเดินกันให้ว่อน ไม่รู้เขารู้เรื่องแม่ลูกคู่ไหนหรือไม่’
ทันใดนั้น เจียมจิตก็หน้าซีดลงไป
‘คุณอย่าขู่ฉันบ่อยดีกว่า…ไม่งั้น คุณว่าอะไรฉันไม่ว่าตามคุณ เอาไหม’ นางก็เลยข่มกลับมา
แต่เมินเสียเถอะ ฉันน่ะรึจะกลัว ในเมื่อมีความลับของหญิงนี้อยู่ในโกดังเป็นกระบุงตะกร้า
ความลับที่ว่านั้นก็คือนางเคยคบหากับชายคนหนึ่งซึ่งฉันขนานนามเป็นตัวย่อว่า ‘มิสเตอร์พี’ นอกจากนายคนนี้ก็ยังมีอีกสองมิสเตอร์ที่เพียงแต่เอ่ยชื่อไว้เท่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่ามิใช่มีแค่รายเดียวที่แอบแฝงทำกิจกรรมประเภทนี้…ก็แล้วรายเดียวนี่เองที่เคยทอดสะพานเข้ามารู้จักกับแม่ของโจม โดยมักนำของโบราณที่งมได้ขุดได้หรือมิฉะนั้นก็โจรกรรมมาได้โดยคณะพรรคมหาโจรคอยย่องเบาเข้าไปปล้นวัตถุล้ำค่าดังเช่นพระพุทธรูปปางต่างๆจากวัดเก่าแก่แทบทุกจังหวัดยามเมื่อเจ้าหน้าที่เผลอไผลอย่างที่เคยยกทับหลังไปทั้งชิ้นยาว พาไปโผล่ ณ ที่ใดที่หนึ่งนอกประเทศ กว่าจะได้คืน เนื่องจากอีกฝ่ายเจตนาเชื่อมไมตรี ก็อาจถึงหลายสิบปีผ่านไป
เมื่อผู้กำกับรู้ไส้นางขนาดนี้ มีหรือที่เจียมจิตจะไม่ออมแรงเรื่องแผลงฤทธิ์ไว้ในหน้า
เพราะฉันก็ยังกุมความลับอีกเรื่องไว้ด้วย นั่นก็คือท้ายที่สุด นางก็ต้องตกเป็นเมียลับชายนั้น โดยที่เพียรเก็บงำมิให้ลูกชายล่วงรู้ เท่าที่รู้ก็เพียงแต่ในฐานะคนรู้จัก คอยหาของโบราณราคาย่อมเยามาให้นางทำกำไร
ครั้นแล้วจึงมาถึงคราวนี้ที่มิสเตอร์พีหวังจะได้ของล้ำค่าจากห้องพระของเศรษฐีพลัง โดยบังคับให้นางไปติดต่อกับดุรงค์ เลขานุการคนสนิทที่สุดของเจ้าของคฤหาสน์ เนื่องจากถ้าส่งขายต่างประเทศแล้วจะได้ราคาหลายล้านบาท
แต่เจียมจิตกำลังโกรธแกมอาฆาตเคียดแค้น เพราะบัดนี้นางมีวัยสูงเกินกว่ามิสเตอร์พีจะเก็บไว้บำเรอ จึงหันไปคบหาหญิงที่ใหม่กว่าเยาว์กว่า ยังความเจ็บปวดมาให้แม่ของโจมมิสร่างซา
จึงเมื่อมิสเตอร์พีมาใช้นางเป็นสะพานติดต่อกับดุรงค์ผู้ที่นางส่งสินค้าผ่านมือชายผู้นี้ไปยังเศรษฐีพลังมายาวนาน เพราะสืบรู้มาว่าเลขานุการชายที่นายจ้างสนิทชิดเชื้อเชื่อใจความซื่อสัตย์สุจริต บัดนี้ กลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นไปแล้วภายในบัดดล นั่นก็เนื่องด้วยคนเคยดีเกิดไปหลงไหลได้ปลื้มพริตตี้นางหนึ่ง ซึ่งติดการพนันออนไลน์งอมแงมจนกลายเป็นหนี้บานตะไท จึงพาเอากรรมอันหนักมาฝากไว้กับดุรงค์เป็นของขวัญสวรรค์บันดาล…จนแม้แต่เงินเลี้ยงเมีย 1 ลูก 1 ก็ไม่มี เพราะเทให้พริตตี้จนเกลี้ยงกระเป๋า
เอาละซี…ตานี้…
ผู้ชมก็คงแลเห็นแล้วว่า ที่บอกว่าเขียนคล่องเพราะฉันจัดร่องน้ำไว้เรียบร้อย พร้อมกับเอาใจตัวละครยิ่งกว่าบทตอนใดที่กำกับมา เนื่องด้วยกลัวเขาจะสไตรค์ไม่อยากแสดง ถ้าพี่แกเกิดแผลงฤทธิ์ขึ้นมา เรื่องตามหาของหายนี่ก็จะไปยาก เพราะราคาก็มิใช่น้อย มิหนำซ้ำยังอาจจะมีแค่ชิ้นเดียวในโลกก็ว่าได้
เมื่อกำกับได้สบายสบายขนาดนี้ ฉันก็ได้แต่ส่งเสียงวิ้วอยู่ ‘หลังม่าน’
ตัวละครที่กำลังยืนรอรับคำสั่ง ต่างก็หันมาทำตาขวางเกือบพร้อมกัน
ต่างก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อแลเห็นเจียมจิตกำลังเจรจาลับๆกับดุรงค์ให้เขาช่วยหยิบคชสีห์กับแหวนสองวงอันเป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภคของกษัตริย์ขอมสมัยกระโน้นมาขายให้นาง นางจะตอบแทนด้วยเงิน 2 ล้านบาท
ดุรงค์กำลังหน้ามืดจนตรอกก็ถึงแก่รับปาก
เจียมจิตหันมาทำตาลุกวาวใส่ฉันอย่างให้เห็นว่านางตีบทแตกเพียงไร
‘คุณเห็นไหมว่าคุณใส่ความแค้นไอ้พีให้ฉันได้ขนาดนี้’
‘ดีแล้วละ คุณนาย คุณแสดงได้เข้าฝักร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วละจ้า’ ฉันส่งเสียงจากหลังม่านผ่านไปถึงหน้าเวที
พบกับดุรงค์คราวนี้ เจียมจิตมีเงินใส่ถุงมาฝากอีกฝ่ายสองล้านบาท ครบถ้วนโดยไม่ต้องนับ
ดุรงค์ก็มอบของสามชิ้นให้นางอย่างมิสู้สบายในอุรา
แต่จะทำไงได้ ชายหลงหญิงซะอย่าง นอนอยู่กับกองไฟ ปล่อยให้แผดเผาทั้งชีวิต…ใครเลยจะช่วยได้
อันว่าด้วย ‘การพนัน’
ฉันละก็ไม่เคยคิดจะเข้าข้าง…หรือพาพระนางติดการพนันมาเข้าฉาก
ถ้าผู้ร้ายติดละก็ สาแก่ใจ ฉันคอยฟาดฟันจนบรรลัยตอนจบมาแล้ว
ตัวละครตาใสแจ๋วพวกนี้รู้ดี
ฉันจึงได้แค่เหลือบไปทางชายสองหญิงหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนรอจะเดินไปหน้าเวที เมื่อเจียมจิตแสดงการหักหลังมิสเตอร์พีจบสิ้น
นางเดินยิ้มกริ่มมาหาฉัน
‘ขอบคุณคุณมากเลยค่ะที่หาทางให้ฉันแก้แค้นไอ้พีสำเร็จ ต่อไปนี้ฉันตายก็นอนตาหลับแล้วละค่ะ…เดี๋ยวฉันจะเอาไปประกาศว่าคุณหัวไว คิดได้ไงขนาดนี้’
‘อย่ามัวแปลกใจไปเลยน่า คุณเจียม ขอเตือนเลยนะว่า ของสามชิ้นนี่ คุณต้องหาที่ทางให้ท่านอยู่อย่างสมเป็นของสูง’
‘รับรองค่ะ…ฉันจะหาที่ให้เนี้ยบเลยละ…ว่าแต่ว่า’ นางลดเสียงเบาลง พลางเหลียวแลไปมา ‘คุณอย่าไปปูดให้นักสืบกะแฟนรู้เป็นอันขาดเลยนะ’
ฟังแล้ว เกือบปล่อยก้ากออกมา
นางคงลืมไปแล้วกระมังว่า คนวางแผนเรื่องนี้คือใคร
แต่เอาเถอะ…ลืมก็ลืม…ฉันแอบยิ้มอยู่ในหน้า ไม่เอะอะให้นางรู้ตัวในฉากต่อไป
ปูนปั้นกับร้อยรัดก็กำลังรอคอย
ครั้นแล้วฉากอวสานของเจียมจิตก็มาถึง
ฉันจึงต้องพรรณาไว้ดังนี้
‘เจียมจิตกำลังดิ้นทุรนทุราย พลิกกายไปมาบนเตียงใหญ่ที่มีฟูกสูงใกล้ศอก หมอนสามสี่ใบวางเกลื่อนบนผ้านวมผืนฟูสีขาวนวล หญิงวัยห้าสิบกว่าในชุดแพรยาวถึงข้อเท้าผู้ทุกวัน เคยดำรงความสดสวยทันสมัยราวสาวใหญ่วัยแค่สามสิบต้นๆ ผมทรงสลวยหยิกฟูเป็นชั้นๆรับใบหน้าอยู่เสมอ บัดนี้ ราวเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ
ด้วยว่า กล้ามเนื้อบนดวงหน้ากลับคล้ำเครียด…ประหนึ่งลูกสักสิบคนตายอยู่ต่อหน้า แขนขาเกร็งค้าง หากก็ขวักไขว่โบกโบยไปมา เสมือนใครสักคนกำลังพ่ายแพ้แก่ศัตรู พลันฮึดสู้ความเจ็บปวดจนเนื้อตัวราวลวดที่บิดได้’
“แม่ครับแม่” โดยพลัน โจมก็โผเข้าไป…พลางร่ำไห้ ช้อนร่างมารดาขึ้นไว้แนบอก
หากเธอกลับเรียก ‘คุณพี’ เสียงโหยหวนชวนประหวั่น…
ฉันเอง แม้จะเป็นผู้วางแผนเอง ก็ยังมิวายใจหายใจคว่ำ
แต่เจียมจิตก็แสดงได้แนบเนียนเกินคำชมเชยใดๆ จนกระทั่งรถพยาบาลมารับไปเข้าห้องไอซียู
ผู้กำกับก็เลยโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กะให้เจ้าตัวนอนอยู่ที่นั่นจนจบเรื่อง
จะได้ไม่ออกมาทำยุ่งยากให้ฉันลำบากมากกว่านี้
ใครว่ากำกับการแสดงนี่ดี…โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับนักสืบ…สืบเรื่องใครฆ่า เรื่องใครโจรกรรม…แค่สองเรื่องนี่ก็แทบกระอักโลหิตแล้ว ถ้าไม่ชอบอาชีพนี้ชนิดถึงไหนถึงกันละก็นะ…จะไม่มีวันทำได้ดีจนได้ขึ้นบัญชีผู้กำกับมือทองโดยเด็ดขาด
หากสำหรับฉัน…ต้องบอกว่ารักชอบอาชีพนี้ถึงขั้นแม้แต่นอนก็ฝันถึง…เหนื่อยเหงื่อหยดเพียงใด ตื่นขึ้นอีกเช้าหนึ่ง กลับพรักพร้อมเรี่ยวแรงแข็งขันหมั่นแต่จะสู้รบกับตัวละคร
ต่อไปนี้จึงมาถึงฉากของโจมกลับเข้าบ้านเลยถูกคนของมิสเตอร์ซ้อมแทบน่วม
ขณะที่นักสืบชายหญิงยังคงวิ่ง จยย ไปด้วยกัน
หญิงเพิ่งตามโจมไปโรงพยาบาล เยี่ยมอาการเจียมจิตโดยปูนปั้นขอให้เข้าไปเป็นไส้ศึกแบบประชิดเหตุการณ์ กะล้วงไส้ล้วงตับเอาของแท้ของจริงมาตีแผ่ พาไปสู่สมบัติอมตะที่แม้บัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าของทั้งสามชิ้นอยู่ที่ใด
ไม่มีตัวละครหนักใจไปกับบท เนื่องด้วยฉันแจกแจงไว้ก่อนหน้า
‘ว่าแต่ว่า คุณคิดจะผูกเรื่องแบบนี้อีกป่าว ถ้าผูกเมื่อไหร่ละก็มาจ้างผมนะ’ ปูนปั้นชักจะติดใจ
ท่าทางเขาชอบอาชีพนี้เอามากๆ ไม่มีเหน็ดเหนื่อยหรือหันมาต่อล้อต่อเถียงกับฉันแม้แต่หนึ่งคำ พอกับนางเอกของเขาราวจับวาง
สมแล้วที่ฉันเลือกเขากับหล่อนมาคู่กัน แอบจู๋จี๋กันลับหลังโจมตลอดมา
ยิ่งฉันเกณฑ์ให้โจมถูกสมุนมิสเตอร์พีมาแอบซ้อมถึงบ้าน ก็ยิ่งสงสารแทบแย่
แต่จะทำอย่างไรได้ แม่เขาเองแท้ๆก่อเหตุเภทภัยให้ตัวเอง เลยลุกลามมาถึงลูกชายผู้ตกอยู่ใต้อำนาจมารดา
ท้ายที่สุด โจมก็ถูกพาตัวไปกักขังไว้ ณ ตึกแถวแห่งใดแห่งหนึ่ง เตรียมถูกซ้อมถึงสลบหากไม่บอกที่ซ่อนของมีค่าที่คณะโจรใคร่ได้
ต่อจากนั้น โจมก็ถูกพาตัวขึ้นรถออกจากกรุงเทพฯพร้อมอาการหนักหนาสาหัส แม้ไม่ถึงตายก็ใกล้เข้าไป
ข้างปูนปั้นจึงต้องกลายเป็นผู้แจ้งความแทนเศรษฐีผู้บัดนี้ไม่มีดุรงค์ เนื่องด้วยเลขานุการด่วนลาพัก อ้างว่าขอไปเยี่ยมบิดาผู้กำลังเจ็บป่วยที่โคราช พ้องกันได้พอดีกับปูนปั้นขอให้ตำรวจออกหมายค้นเข้าไปค้นบ้านเจียมจิต
เข้าไปตรวจตราทรัพย์สินที่คนร้ายรื้อลุยไว้กระจุยกระจาย…
ฉันเขียนเรื่องเหล่านี้ได้เพราะมีหนังสือพิมพ์รายวันให้อ่านไม่ขาดสาย ได้รายละเอียดเกี่ยวกับตำรวจผู้ร้ายตลอดมา อยากเขียนเมื่อไรก็เขียนได้เมื่อนั้นตามที่เคยอ่านคำบรรยายโดยผู้สื่อข่าว ราวกับเห็นด้วยตาตนเอง
ถ้าให้อ่านบนออนไลน์ สายตาฉันไม่ทานทนขนาดนั้น
ปูนปั้นกับตำรวจจึงต้องนอนค้างเพื่อเก็บข้อมูลที่ต้องสะสาง หากแต่สางยังไม่จบ มีนายตำรวจชั้นนายพลมาคอยสมทบตอนกลางวัน ต้องจดรายการทรัพย์สินเอนกอนันต์ของเจียมจิตกับลูกชายที่ถูกคนร้ายรื้อค้น
ปนกันไปกับสืบด้วยตนเอง
นั่นก็คือ…คืนนั้น ทั้งผู้หมวดและผู้หมู่ผู้รับหน้าที่มาตรวจสอบเหตุการณ์ ต่างก็แข่งกันกรนดังสนั่น เหลือปูนปั้นเพียงลำพังกับความสงสัยที่กำลังแล่นพล่าน
สองแม่ลูกไม่น่าจะมีที่ใดสำหรับซ่อนของได้เนื่องด้วยป้าพิศวาทบอกว่าไม่ฝากไว้ที่เซฟธนาคารแน่นอน
ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่แคล้วอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะที่ร้านเจนไนไม่มีที่เก็บ รวมทั้งเจียมจิตก็คงไม่ไว้ใจให้ผู้ใดมาข้องเกี่ยว
ตัวละครที่บัดนี้ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญสักเท่าใด ต่างก็กำลังอยู่ในอารมณ์เสียวไส้ทุกถ้วนหน้า
แต่เจียมจิตกับโจมถูกซ้อมไปแล้วแทบปางตาย คนที่เหลือก็เลยยืนออใจหายใจคว่ำ มองหน้าผู้กำกับพลางทำตาปริบๆ
ถึงบ้านที่โคราชแล้ว พวกมันก็ยังซ้อมโจมซ้ำอีก หวังให้บอกที่ซ่อน
ฉันละก็…ห่วงตัวละครขึ้นมาทันใด หากท้ายที่สุดก็โล่งอกเพราะนึกขึ้นได้ว่า…ซ้อมแกล้งๆมิได้ซ้อมจริงเหมือนเกิดอารมณ์ในยามอ่าน
คืออ่านกับแสดงนี่ต่างกันไกล
อ่านคือความจริง แต่แสดงคือแกล้งทำ แต่แกล้งอย่างสมจริง
ถ้าเช่นนั้นก็หมดเรื่องไปที
ครั้นแล้วจึงมาถึงตอนที่ปูนปั้นก้าวเข้าสู่ห้องนอนของเจียมจิต โดยเขียนไว้เช่นนี้
‘ปูนปั้นก็เลยลงมือถ่ายภาพห้องน้ำรวมทั้งที่ตั้งอ่างยาว ห้องกระจกชักโครก ตู้เก็บผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดมือ ผนังปิดกระดาษลายวินเทจทุกด้าน ไปจนถึงพื้นห้องที่เป็นชิ้นไม้แดงเข้าลิ้น…
ไหนๆโจมก็เคยหลุดปากถามพ่อแม่เขาเรื่องอุโมงค์หรือช่องลับมาแล้ว…จึงลองนำคำของหนุ่มนั้นที่ตนเองเผลอเก็บไว้ในคลังสมองออกมาใช้
สมมุติว่า มีอุโมงค์และช่องลับอยู่บนเส้นทางของโจมและมารดา มันควรจะอยู่ตรงไหนในบ้านนี้
แต่ขณะที่ยังหาไม่พบ ก็จำต้องตั้งคำถามไปพลาง
ขณะถอยไปนั่งที่ขอบอ่าง พร้อมกับเหลียวไปรอบๆท่ามกลางความเงียบสงัดยามเลยเที่ยงคืน
ครั้นแล้ว จู่ๆฉันก็บอกให้เขาทำท่าขนลุกซู่ขึ้นมา เนื่องจากบัดนี้ ‘ถึงเวลา’ ของเขาแล้ว
พร้อมกับสั่งให้เขาพนมมือบอกกล่าว
“หลวงปู่ขอรับ กระผมปูนปั้นนะขอรับ กำลังตามหาของขลังของหลวงปู่ที่ลง ‘นะชาลีติ’ ไว้ด้วยน่ะขอรับ”
ทั้งๆเขาเองก็ไม่เคยยึดติดกับไสยศาสตร์หรือมนตร์ดำใดๆ
แต่ในยามที่กำลังคับขันด้วยความรับผิดชอบ แต่ยังไม่แลเห็นแม้ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ก็ยิ่งเหมือนคนสิ้นปัญญา
ท้ายที่สุด พระเอกก็เลยหาที่ว่างหน้าตู้เก็บผ้าเช็ดตัว ก้มลงกราบสามครั้ง
พลันสายตาก็แลไปพบขาตู้มีลูกล้อเลื่อนได้
เขาจึงลองเลื่อนดู
เพียงแต่ตู้เลื่อนตามมือออกมา ก็แลเห็นบานประตูมีรอยแบ่งจากกระดาษปิดผนัง
หากจะถามผู้กำกับว่า เคยเห็นจากที่ไหนจึงสร้างภาพได้เช่นนี้
ถ้าฉันตอบก็ไม่ทราบว่าผู้ชมจะเชื่อหรือไม่ว่า
ทุกชั่วโมงนาทีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในบ้านนี้ เกิดจากจินตนาการของผู้กำกับล้วนๆ
ต่อจากนั้น ฉันก็ได้แต่เชิญชวนทุกท่าน รวมทั้งตัวละครให้เพลินชมของสามสิ่ง…ที่บัดนี้ พระเอกของฉันเป็นผู้พบ จึงมีสิทธิ์สวมสร้อยร้อยสมบัติล้ำค่าไว้กับคอของเขา
แต่ห้ามบอกใครก่อนถึงเวลา แม้แต่หญิงที่เขาเสน่หาที่สุด หนึ่งในผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้ลู่ทางเอาคืนทรัพย์อมตะประสบความสำเร็จดังปรารถนา
ทั้งคู่จึงได้ลงเอยอย่างมีความสุข
พร้อมความตระหนักรู้ถึง ‘พลังงานลึกลับ’ ที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
นั่นก็คือ ‘รสอมฤต’ อันเป็นหนึ่งในกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์
- READ "หลังลับแล" เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด...เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง
- READ ประจิมและอรอินทรา จาก "พฤกษาสวาท"
- READ รู้จักกับ 'เทียนธารา' ให้มากขึ้นใน "ควันเทียน"
- READ "รัด" จาก พญาไร้ใบ
- READ ไฟพ่าย..."พิจิกา" ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว
- READ ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
- READ "วิมานไฟ" ความคั่งแค้นในใจ 'ภุมเรศ'
- READ วิมวิริยา แห่ง "วิหคโสภา"
- READ "อุโมงค์เวลา" สำปันนีและแคว
- READ "รอบรวงข้าว" ก่องและอัญชัน
- READ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" เจ้าหญิงโสคนเทียและสู
- READ "จันทร์ยาตรา" ปั้นหยาและลุ่มน้ำ
- READ "ไฟทะเล" เรื่องของ 'ชับ' และ 'สิชล'
- READ 'มัลลิกา' มารดายืนหนึ่งใน "กิ่งมัลลิกา"
- READ เรื่องราวของ "ศศิน" ใน "เงาจันทร์"
- READ "ทองลงยา" นางเอกของฉันจาก "กระจกขอบทอง"
- READ ข้ามเมฆา และนางเอก ‘บ้านๆ’ นาม "สีทับทิม"
- READ รสรักปักอุรา "มฤคีและอุบากอง"
- READ ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
- READ ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร
- READ 'บนฟ้า' และ 'สมุทรไท' ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ
- READ เมื่อ "ขอบน้ำจรดขอบฟ้า" บนฟ้าและสมุทรไท
- READ ข้ามมหาสาคร 'ดูรา' และ 'กันตัง'
- READ 'ระย้า' เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย
- READ "รสอมฤต" การสืบสวนที่พา 'ปูนปั้น' และ 'ร้อยรัด' มาพบกัน
- READ ‘ตวง’ ตัวละครวัยเยาว์ใน 'เมรัยสีกุหลาบ'
- READ "รำนำ" ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’