“รัด” จาก พญาไร้ใบ

“รัด” จาก พญาไร้ใบ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

ในจำนวนนวนิยายที่แทรกซึมความกำสรดเศร้าเคล้าน้ำตาและน้ำใจหยดใหญ่นับร้อยนับพันหยดของตัวละครเอกในเรื่องนี้คือผู้มีนามว่า ‘รัด’ นั้น ไม่มีวันที่จะทำให้ฉันลืมหลงตัวอักษรแทบทุกบรรทัดของ ‘พญาไร้ใบ’ ลงได้ นับแต่แรกเริ่มที่จรดปากการ่ายยาวถึงการมาบรรจบพบเจอกันระหว่างสาวใหญ่วัย 40 กับเด็กชายแรกคลอดผู้ถูกห่อผ้าวางมาในถาดสังกะสีเคลือบทรงกลมมีดอกดวงอย่างปาฏิหารย์ตอนเช้ามืดวันหนึ่ง

นับแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์ต่างๆภายในที่ดินของสกุลชาวสวนนามว่า ‘สร้างสม’ ก็ระงมไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนนานาของสตรีทั้งสาม นามว่า พิกุล พิกัน และพู่กลิ่นผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 9 ไร่กว่าที่แบ่งสรรปันแล้วเท่าๆกัน มีดอกเบี้ย ค่าเช่าสวน ค่าเช่าตึกแถวทางฝั่งพระนครไว้เก็บกินโดยมิต้องดิ้นรนแต่อย่างใด

แม้จะมีบริวารมากมายหลายหมู่เหล่า ตั้งแต่คนรับใช้เก่าแก่ที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ ออกลูกออกหลานให้มาสืบต่อหน้าที่ที่ถ่ายทอดกันมายาวนาน ทั้งทำอาหารคาวหวาน ประดิษฐดอกไม้ ทำน้ำปรุง ยาดม การฝีมือทุกประเภทของกุลสตรี แต่ด้วยความขยันขันแข็งของพี่สาวใหญ่และน้องคนรอง จึงมิว่างานจะมากมายเพียงไร แต่ทุกนางก็จะแจกงานให้บริวารทำอย่างทั่วถึง จึงไม่มีใครแม้แต่หนึ่งคนนั่งว่างๆ

มีกระดาษแผ่นน้อยเสียบมากับห่อผ้าเด็กอ่อน ความว่า

‘เลี้ยงมันไว้ด้วยเถอะค่ะ นึกว่าทำบุญลูกนกลูกกา พ่อมันทิ้งผ่อง ผ่องเองก็กำลังจะตาย’

แท้จริงแล้ว ทารกนี้ก็คือลูกของสาวใช้คนสนิทที่คุณพู่กลิ่นยังเคยเตือนทันทีที่รู้ว่าผ่องกับชายนั้นกำลังคบหากัน ‘ก็ไอ้ดื่นมันเจ้าชู้ แถมยังเป็นนักเล่น มันก็กุ๊ยเราดีๆนี่เอง’

เมื่อไปได้กับกุ๊ย มันก็ต้องลงเอยแบบนี้ คุณพู่กลิ่นนึกในใจ

หากก็ฝากทารกไปกินนมนางรับใช้หลังเรือน เพราะนางนั้นก็เพิ่งคลอดลูก มีน้ำนมล้นเหลือมาเผื่อแผ่ลูกของผ่อง

ครั้นครบหนึ่งเดือน หลวงอา-ภิกษุวัยห้าสิบเศษ ตำแหน่งพระครูใบฎีกา จำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้ๆ พายเรือมากับพระลูกวัด มารับบาตรจากคุณพู่กลิ่นเป็นประจำทุกเช้าตรู่ จึงได้รับนิมนต์มาโกนผมไฟให้เด็กชายผู้แม้หลวงอาจะไม่รู้เวลาตกฟากแน่นอน หากก็พอจะนึกย้อนเวลาเองได้ ตกลงใจให้เด็กชายเกิดวันอังคาร ราวหกโมงถึงเจ็ดโมง

ต่อจากนั้นก็ตั้งชื่อให้ว่า ‘รัด’ สั้นๆง่ายๆ เด็กชายจึงกลายเป็นขวัญใจของคุณพู่กลิ่นจนคนทั้งบ้านนินทาลับหลังด้วยความหมั่นไส้ เมื่อได้ยินเสียงเธอคุยอ้อแอ้กับทารกขณะโอบอุ้มเดินเล่นไปมา พร้อมจูบกอดดังฟอดๆให้คนทั้งหลายได้ยินถ้วนหน้ากัน

คนที่หมั่นไส้มากที่สุด ก็คือคุณพิกุลผู้มักจะยืนหวีผมอยู่ตรงหน้าต่าง มองลงมาเห็นน้องสาวคนกลางไม่เป็นอันทำสิ่งอื่น นอกจากพูดคุยกับเด็ก เปล่งเสียงออกมาเป็นความสุขที่คุณพิกุลไม่เคยได้ยิน ทั้งมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าน้องสาวโสดเช่นน้องเธอผู้นี้ จะสามารถจูบกอดเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายตีนได้สนิทใจ

บางครั้ง เธออดรนทนไม่ไหวก็ถึงแก่ตะโกนลงไปอย่างขวางเต็มทน

“เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ซื้อขนมให้หมากิน”

คุณพู่กลิ่นได้ยินถนัด จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นยิ้มแย้มอย่างไม่ถือสา

พี่สาวแก่กว่าเธอถึง 8 ปี แม่มีลูกชายอีกสองคนถัดมา ก็ตายเสียตั้งแต่ยังเล็ก

ดังนั้น พ่อแม่จึงสอนสั่งสม่ำเสมอ

‘ให้รู้จักรักกัน พี่รักน้อง น้องนับถือพี่ แม้มีเขยเข้ามาแทรกก็อย่าได้หวั่นไหว อย่าให้แตกร้าวกัน โดยเฉพาะเรื่องชิงมรดก ดังเช่นที่มีตัวอย่างให้ได้รู้ได้เห็นจนเกิดอาการเวทนา’

คุณพู่กลิ่นจึงสุขใจได้เพียงนี้…ไม่ถือสาพี่สาว หากหันไปอืออากับทารก พร้อมคะนึงนึก

‘แม่ขอบใจรัดมากเลยนะ ขอบใจมากที่ทำให้แม่สดชื่นได้ขนาดนี้’

นับจากวันที่ได้รัดมา คุณพู่กลิ่นก็ราวได้น้ำอมฤตมาประพรม รู้สึกแต่ว่าตนเองเปลี่ยนไป จากสาวโสด คู่รักตาย กลายเป็นคนมีลูก และลูกของเธอกำลังโตวันโตคืน

แต่ก็นั่นแหละนะท่านผู้อ่านและท่านผู้ชม

ขึ้นชื่อว่า ‘ชีวิต’ ไหนเลยจะได้ชื่นใจแต่ความสุขเพียงหนึ่งเดียว

ทุกข์ที่เกี่ยวร้อยตามหลังมา ก็มีพลังมหาศาลเช่นกัน

ที่เรือนคุณพิกุล พี่คนโต ยังมีโซ่อีกหลายเส้นคล้องอยู่ ได้แก่ส่งศรี น้องสาวของสามีผู้วายชนม์กับโปรดผู้สามี เปรยลูกชาย รวมทั้งล่าเตียง ลูกสาวเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงฝากฝังล่าเตียงไว้กับคุณพิกุล ตั้งแต่ยังเล็กจนโตเป็นสาว มีสามีนามว่า สมปัก เป็นชายผู้ติดการพนัน มาอยู่กินกับล่าเตียงคล้ายเร้นลับ

ฝ่ายคุณพิกุลผู้เป็นม่ายเช่นกัน มีเรือนส่วนตนถัดออกไป สามีเสียชีวิตไปแล้วก็ได้แต่เงียบเหงา ครั้นแล้วขณะนี้ ล่าเตียงก็แอบมาส่งข่าวให้พี่สาวคนโตรู้ว่า บัดนี้ ‘คุณน้ากัน’ มีผู้ชายมายืนรอรับ ณ ท่าเรือข้ามฟาก

คุณพิกุลก็ได้แต่ตกอกตกใจ

“เป็นใครก็ไม่รู้ หัวนอนปลายตีนเป็นยังไงก็ไม่รู้อีก น่าห่วงนะ ยิ่งแอบไปพบกันยังงี้ ยิ่งน่าห่วง”

“แต่คุณน้าอย่าไปถามคุณน้ากันเลยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าหนูช่างคาบ”

คุณพู่กลิ่นนั่งอยู่ด้วย เนื่องจากพารัดมาให้พี่สาวได้อุ้มบ้าง แม้จะอย่างจำเป็นจำใจ แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อได้ฟังล่าเตียงเล่าเช่นนั้น ก็ได้แต่นึกในใจ

“แล้วช่างคาบจริงไหมล่ะ”

ฉันยืนอยู่ ‘หลังม่าน’ ขณะนี้ มีหน้าที่ค่อยๆส่งตัวละครออกมาแสดงจนแจ้งชัดว่าใครเป็นอย่างไร นิสัยดีไม่ดีเพียงไหน ท่านผู้อ่านและผู้ชมจะได้ผสมปมต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะยังมีระยะทางอีกยาวไกลที่ ‘รัด’ จะต้องผจญกับมวลหมู่ทั้งผู้ร้ายผู้ดีสืบไปอีกนานแสนนาน

จำเป็นจะต้องซาบซ่านกับพิษภัยหลายประการ อันหลั่งไหลเรื่อยๆเข้ามาเป็นระยะจนเกือบจะตลอดชีวิตวัยเยาว์ของเขา…เด็กกำพร้าผู้ถูกวางมาในถาด ณ เช้าตรู่วันหนึ่ง

ด้วยว่า ภายในบ้านสามหลังดังกล่าวมามิได้มีเพียงสามพี่น้องกับเด็กชาย

แต่ยังมีคนต่างสายเลือดอื่นๆทั้งสุกและดิบห้อมล้อม

 

ดังนั้น เมื่อถึงวันใดวันหนึ่ง คุณพิกันก็บอกกล่าวให้พี่สาวรับรู้

“หนูจะแต่งงานใหม่กับคุณอุทิศค่ะพี่กุล แล้วจะพาเขามาอยู่ที่นี่ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบ ก็จะไปหาซื้อบ้านใหม่ บ้านนี้ก็จะกั้นรั้ว”

คุณพิกุลก็เลยแดกดัน

“ให้มันได้ยังงี้ซีน่า แม่คุณ ให้มันได้ยังงี้ ถึงจะสมเป็นเธอ หวังว่า นายคนที่เธอเก็บมาเลี้ยงนี่น่ะ ดั้งเดิมไม่ได้อยู่ใต้สะพานพุทธนะ”

ตายเลย…คุณพิกุลเจ้าขา

อย่าลืมเป็นอันขาดเลยนะว่า ศิลปินดังทะลุฟ้าคนหนึ่งเคยเป็นเด็กเข็นสามล้อขึ้นสะพานมาแล้วนะจ๊ะ จะพูดจะจาว่ากระไรก็ขอให้ระวังระไวไว้ด้วย…

“อย่าประมาทกันให้มากนัก” คุณพิกันก็เลยแว๊ดเข้าให้ “เขาจบปริญญาโทเมืองนอกนะ…จะด่าว่าอะไรก็ระวังมั่ง…ที่จริงจะไม่บอกก็ได้ หนูจะแต่งกับใคร เมื่อไหร่ก็ได้ กั้นรั้วแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป”

คุณพิกันนั้น บัดนี้ราวกับพลุที่ถูกจุดนั่นทีเดียว ย้อนฉอดๆไม่เว้นวรรค

“พี่กุลรู้ได้ไงว่าหนูจะหมดตัว รู้จักเขาแล้วหรือ ก็เปล่าทั้งเพ ดีแต่ชอบเดาไปทางร้าย ทุกอย่างสำหรับพี่ร้ายหมด แต่ตัวพี่เอง พี่กลับว่าดีหมด ถูกหมด”

จริงจ้าจริง…ผู้กำกับมือไม่นิ่งทำท่าเหมือนเชียร์น้องคนเล็ก กะจะให้เขาตะลุมบอนกันแค่นั้น

แต่คุณพิกุลเหลือบแว้บมาทันใด จ้องฉันตาเขียวปัด…ผู้กำกับก็เลยหลบวูบ ปล่อยล่าเตียงหญิงช่างยุแหย่ออกจากฉาก ไปทำให้เรื่องที่มากอยู่แล้วมากยิ่งขึ้น หลังจากคุณพิกุลเล่าให้ฟังถึงข่าวใหม่

“หนูนึกแล้ว” สาวนักเสี้ยมลากเสียง หากก็แกมเยาะ “อีกหน่อยบ้านนี้เห็นจะเปิดเป็นบ้านสงเคราะห์ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ได้แล้วมังคะ”

ว่าเข้านั่น ฉันเองยุเองยังขัดหูเลยนี่นา

คุณพิกุลกำลังอารมณ์เสียก็เลยแหว

“แหม…ก็แค่ที่เลี้ยงอยู่นี่ ยังไม่สงเคราะห์อีกหรือยะ มีแต่คนอื่นทั้งนั้น”

โอย…ทีนี้ละ ล่าเตียงสะเทือนใจขึ้นมาฉับพลัน

หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่คุณพิกุลมักพลั้งปากลำเลิก…เอ้อ…ก็ฉันเองนี่แหละที่นำเอาถ้อยคำไม่น่ารักมาใส่ให้…คือว่า…คือว้าา…ทันทีที่ใครสักคนลำเลิกเบิกความถึงบุญคุณที่ตนเองทำแล้วแก่ผู้อื่น…บุคลิกของคนผู้นั้นก็จะชัดเจนแจ่มแจ๋วให้สามารถรู้ได้ถึงก้นบึ้งในนิสัยทันใดทันที ไม่จำเป็นต้องร่ายยาวนี่นั่นให้เปลืองเวลา

ดังนั้น เพียงแต่เธอจี้จุดอ่อนของล่าเตียงด้วยวิธีนี้

จึงทำให้สายเลือดอื่นที่มาจากหลายสารทิศ ซึ่งล้วนมีประวัติขาดวิ่น ล้วนเดินดินอย่างเจ็บปวด ครั้นพลัดหลงมาตกลงที่บ้านนี้ โดยคุณพิกุลไม่ซึ้งไม่ลึก ไม่ตรึกตรองก่อนพูด จึงกลับกลายเป็นขุดคุ้ยความเจ็บปวดให้กลายเป็นเจ็บใจ

 

ครั้นแล้ว วันคืนก็ผ่านไปอย่างอับเฉา

แต่เด็กชายรัดเท่านั้นที่ได้รับการฟูมฟักรักล้นจากหญิงโสดอย่างวิเศษจนเกิดการแตกแยกร้าวรานระหว่างคนในบ้านกับคุณพู่กลิ่นซึ่งยิ่งทวีความไม่ชอบหน้ากันในที จนกระทั่งส่งศรีคลอดลูกคนเล็ก นามว่า สุมทองออกมาอีกหนึ่งคน

หากวันดีคืนดี คุณพู่กลิ่นก็ต้องลงเรือไปหารือกับหลวงอาว่ากำลังกลุ้มใจเรื่องรัด อยากขอให้ท่านดูดวงเด็กชายผู้เป็นลูกบุญธรรมให้สักนิดว่า ต่อไปภายหน้าจะเป็นเช่นไร

ในที่สุด หลวงอาก็เอ่ย

“คุณโยมเลี้ยงเด็กไม่เสมอภาคละมัง” ท่านพระครูพูดตรงเผ็ง หากก็มิได้บอกว่ารู้จากใคร ทั้งๆในความเป็นไป ยังมีบริวารในบ้านบางคนนำเรื่องราวไปฟ้องหลวงอา

‘คุณกลิ่นเดี๋ยวนี้แย่เลยครับ หลงไอ้เด็กนั่นจนไม่ลืมหูลืมตา จนจะเป็นเทวดาอยู่รอมร่อ’

หลวงอาก็เลยกล่าวต่อไป

“ความไม่เสมอภาคทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม ความไม่ยุติธรรมทำให้เกิดความแตกร้าว เมื่อเจ้ารัดโตไปวันหน้า มันจะทำยังไงกับสภาพที่มันจำเป็นต้องอยู่ต้องรับ”

“แต่หนูก็มีความสุขมากจากการมีรัด หนูตั้งใจเลี้ยงเขาอย่างดี อย่างลูกอย่างเลือดเนื้อเชื้อไขของสร้างสม”

“อาตมาเข้าใจคุณโยมกลิ่นทุกอย่าง” ท่านพระครูพยักหน้า “เข้าใจความเป็นไปในบ้าน รู้นิสัยทุกคน คุณโยมพิกุลเป็นคนแข็งแล้วก็ต้องเป็นใหญ่ แต่ใหญ่ด้วยหูเบาด้วย คุณโยมกันก็แข็งอีก แล้วก็ห่ามกว่าใครทุกคน”

เมื่อนึกถึงคำว่า ‘ห่าม’ ฉันก็ได้แต่ปิดปากหัวเราะกั้กกั้ก วิ่งเข้าไปข้างหลัง

ก็ฉันเอง…ฉันแกล้งใส่คำนี้ไว้กับปากของตัวละครที่แสดงเป็นพระสงฆ์

แต่ก่อนเข้าฉาก เขาเข้ามากระซิบเบาๆ

‘ผมชอบนะ คำนี้ อยากให้บางคนได้ยิน’

ว่าเข้านั่น

ครั้นแล้ว คุณพู่กลิ่นก็ปรึกษาหลวงอาว่า เธอจะจดทะเบียนรับรัดเป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่ เพราะอยากทำให้รัดถูกกฎหมายตอนเด็กชายจบอนุบาลขึ้นชั้นประถมปีที่ 1 ซึ่งหลวงอาก็เห็นว่าดี แต่ขอให้เห็นแก่เด็กอื่นอันเป็นลูกหลานบริวารในบ้านบ้าง คุณพู่กลิ่นก็รับคำพร้อมด้วยสัญญา

“หนูจะแบ่งมรดกให้การกุศลด้วยค่ะ”

 

คุณพู่กลิ่นนั้นมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งนามว่ามาลินี เมื่อเธอทำพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาฝากไว้กับเพื่อนผู้นี้ มาลินีมีบิดามารดานามว่ามนูกับวรี ทันทีที่เห็นรัดที่คุณพู่กลิ่นจูงไปด้วย ก็ได้แต่วาดภาพ ‘เด็กในถาด’ คราเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นชายหนุ่ม ก็มิรู้ว่าจะโตขึ้นมาอย่างดิบดีขนาดไหน มีนิสัยเอาการเอางานหรือเกเร

คุณพู่กลิ่นเองก็เพิ่งรู้ว่างานเลี้ยงเด็กนั้นยากยุ่ง เพราะมิใช่สักแต่ว่าเลี้ยงหรือสักแต่ป้อนข้าวเพื่อให้โตขึ้นแล้วพูดได้ แต่ต้องการอีกสารพัดในงานการกุศลที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นเขา

‘ความเป็นเขา’…นอกจากฉลาดเฉลียวแล้ว ยังต้องเป็น ‘คนของโลก’ อย่างภาคภูมินั้นมิใช่ง่าย ยามใดเธอเผลอตัว อยากตามใจเด็กชายรัดด้วยอารมณ์ ก็มักจะหวนคิดถึงคำของมารดาทุกครั้งไป

‘เวลาเราเลี้ยงลูกหรือเลี้ยงเด็ก เราต้องเลี้ยงให้คนอื่นรักได้ด้วย ไม่ใช่เรารักอยู่คนเดียว…แต่ยังไงก็ตามที รู้ไว้แล้วกันว่า ที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย คือ ‘สันดาน’

แต่ในบริเวณอันกว้างใหญ่นี้ ก็ยังมีผู้คนอีกหลายชีวิตที่ฉันนั่นเอง จะต้องดึงแต่ละนิสัยใจจริงออกมาเพื่อตีแผ่ให้รู้กันแน่ๆอย่างครบถ้วนถึงจำนวนผู้ใหญ่ และเด็กที่ทำอย่างไรก็แก้ ‘ความเป็นพวกเขา’ ให้หายไปไม่ได้

เริ่มจากคุณพิกุล พิกัน โปรด เปรย ล่าเตียง ซึ่งฉันกันเอาไว้ว่าคือฝ่ายมาร ส่วนคุณพู่กลิ่น ส่งศรี รัด สุมทอง เป็นฝ่ายเทพ

ครั้นแล้วจึงข้ามไปยังบ้านมาลินีผู้บัดนี้ มณีวรรณ น้องสาวคนเดียวของเธอแต่งงานกับวิบูลย์ ปลัดอำเภอหนุ่ม ต้องย้ายตามสามีไปประจำ ณ ต่างจังหวัด คลอดลูกสาวออกมาหนึ่งคน นามว่า มะเดหวี อ่อนกว่าสุมทองไม่มาก

นางเอกของฉันทั้งหมดมี 3 นาง ทั้งสุมทอง มะเดหวี ฝ่ายข้าวใหม่ซึ่งพบกันที่พาราณสี ประเทศอินเดียมาช้าที่สุด หลังจากความรักยืนยาวแนบนานได้จุดประกายความลึกล้ำช้ำชอกไว้ที่หญิงคนที่สองจนสิ้นแล้ว

แต่มาเร็วหรือมาช้า หากก็มาเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็สามารถดูดดึงวิญญาณรักให้กลับมาอีกจนได้

แม้ผู้กำกับจะเหนื่อยยากมากมายในการเดินทางไกลของเด็กชายกำพร้าผู้หนึ่ง แต่ด้วยนิสัยสู้ไม่ถอย จึงช่วยให้สอยเอาความสำเร็จมากอดไว้จนได้

นั่นก็คือ เขียน ‘พญาไร้ใบ’ จนจบ ต่อด้วย ‘บันไดไม้รัก’ อันเป็นภาคหลังที่นำมาแสดงเพื่อตกแต่งพลังแห่งรักมอบให้ ‘รัด’ ล้วนๆ

ชดเชยที่ชีวิตวัยเยาว์ของเขาต้องถูกรบกวนด้วยการกลุ้มรุมทำร้ายจนหัวใจเล็กๆหดหู่อับเฉา แทบจะสู้โลกแห่งความพิลึกพิลั่นไม่ไหว

ก็จะไม่พิลึกลือเลื่องอย่างไรได้ในเมื่อในที่สุด ทั้งคุณพิกันและล่าเตียงต่างก็แอบดอดไปคบหากับ ‘ยมบุตร’ ผู้เป็น ‘คนทรง’ เลยตกเป็นเมียนายนั่นซะง่ายๆงั้นเอง

เรื่องราวที่ต้องบรรเลงก็เลยบานปลายออกไป…กว่าจะดึงกลับมาได้ คุณพิกันก็ต้องเสียที่ดินผืนสำคัญ…สาเหตุคับขันของคุณพิกันที่ต้องอาศัยการเข้าทรง ก็คือ อุทิศ สามีใหม่ผู้ขนเอาญาติของเขามาอยู่เต็มบ้าน

หากแต่ ชายผิวดำ ตาคม คิ้วเข้ม หนวดเคราดกครึ้ม เรือนร่างสูงใหญ่ ผู้มีความดึงดูดใจเพศตรงข้ามอย่างลึกลับผู้นี้นั่นเอง ที่ทำให้เธอยินยอมยินดีตกเป็นทาสทางกายของเขา

ฝ่ายล่าเตียงนั้นไม่ต้องพูดถึง ในที่สุด ก็เลือนหายจากบ้านคุณพิกุล กลายเป็นคนรับใช้ยมบุตรอย่างถาวร

ส่วนที่ชวนพิศวงเป็นที่สุดก็คือคุณพิกุล ก็ตามน้องสาวและล่าเตียงไปเป็นเหยื่อยมบุตรอย่างพร้อมเพรียง

อาจเป็นเพราะสมัยนั้นเรื่องราวของผู้มีอาชีพเกี่ยวกับเวทมนตร์คุณไสยยังเป็นที่นิยม ฉันเองก็เคยไปสัมผัสขั้นบันไดบ้านคนทรงที่ร่ำลือกันขณะนั้นว่า ภริยาหลวงของชายตำแหน่งใหญ่ มีเมียน้อยไม่ขาดสายจนท้ายที่สุดเลยไหลหลงเมียคนสุดท้ายจนลืมตาไม่ขึ้น เมียหลวงก็เลยตามไปถึงต้นตอที่รู้ว่าเมียน้อยมาขอของขลังไปจากที่นั่น

ฉันจึงจำเป็นต้องตามไปถึงที่ เนื่องด้วยงานเขียนต้องมีเหตุผลที่มาที่ไป คนเขียนจะต้องโยงใยใดใดอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับเนื้อหา

เพราะก็เคยมีเรื่องจริงของดาราหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งท้ายที่สุดก็เลยไปอยู่กินกับคนทรงอย่างถาวร…จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์สืบไปหรืออย่างไร ฉันไม่ถึงกับตามล้วงตามรู้

 

ครั้นแล้ว 12 ปีก็ผ่านไป

ทั้งหลวงอาและคุณพู่กลิ่นเสียชีวิตไปแล้วตามๆกัน หลังจากนั้น ทั้งเชษฐ์และชวาลา บิดากับบุตรเจ้าของสำนักงานทนายความประจำตระกูลสร้างสมจึงเปิดพินัยกรรม ความในนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากคุณพู่กลิ่นยกทรัพย์สินที่ดิน รายได้ผลประโยชน์ทุกที่ทุกแห่งทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นของเด็กชายหรือบัดนี้คือ นายรัด สร้างสมแต่เพียงผู้เดียว

ตอนเปิดพินัยกรรม คุณพิกุลก็แกล้งเปรย

‘อยากฟ้องเหมือนกันแหละ แต่ขี้เกียจ กินขี้หมาดีกว่า’

ชวาลา ลูกชายของเชษฐ์ทนายความอาวุโสเป็นคนไปรอรับเขาที่สนามบิน

กลับมาคราวนี้ ชวาลาคงยังไม่รู้ว่าชีวิตยาวนานของเขา ณ ต่างแดน ช่วยสิ่งใดรัดได้บ้าง

ช่วยสิ ช่วยให้เขาเรียนรู้ ลองดู พร้อมด้วยเข้าถึงอย่างไรเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธี ‘จัดตัวเองให้เข้ากับพวกผู้ดีมีเงิน’ ได้เมื่อจำเป็น แม้แท้จริงจะ ‘จำใจ’ เป็นอันมาก

“น้ามาลินีว่าจะมาด้วยเหมือนกัน แต่เผอิญน้าวิบูลย์กับน้ามณีวรรณติดงานวันเกิดผู้ว่าฯ” ชวาลาบอกกล่าวขณะพารถออกจากลานจอด

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่เป็นไรจริงๆ” ชายหนุ่มผู้บัดนี้มิใช่เด็กชายวัยสิบสี่ที่ชวาลาพบครั้งสุดท้าย เมื่อวันไปศาลหลังการประกาศมรดกเสร็จสิ้นโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน…อีกต่อไป

หากแต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง จมูกโด่ง ริมฝีปากเม้มสนิท รูปศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมดำเป็นมัน ได้สัดส่วนเหมาะสม จนชวาลาอดนึกในใจมิได้ว่า ‘หมอนี่มันช้างเผือกมาเกิด’

ดูเป็นชายผู้ดี มีการศึกษาสูง สมกับที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเล่าเรียนวิชาที่เขาไม่เคยคิดอยากจะเรียน… ‘ปรัชญา จิตวิทยา ยากตายชัก’

หากแต่บัดนี้ ชายผู้นั่งมาในรถก็เอ่ยกับเขา

“คุณพ่อสเตฟาโนเห็นว่าผมควรจะได้ใช้ประโยชน์จากเงินทองของคุณแม่มากที่สุด”

เขาหมายถึงบาทหลวงผู้เป็นอาจารย์ในโรงเรียนต่างจังหวัดที่วิบูลย์เป็นปลัดอำเภอแล้วเลื่อนขึ้นเป็นนายอำเภอ ณ ที่นั้น คือบิดาของเด็กหญิงเล็กๆ นามว่า มะเดหวี บุตรีหนึ่งเดียวของวิบูลย์ ผู้ที่รัดได้พบครั้งแรกเมื่อเขาอายุแปดขวบ มะเดหวีนอนดูดนมอยู่บนตักของมณีวรรณ ก็พลอยต้องติดตามบิดามารดาไปใช้ชีวิตด้วยกัน พร้อมกับพารัดไปด้วย ในสมัยที่เขาช่วยหาโรงเรียนให้รัดเรียนต่อ จนกระทั่งได้พบเจอครูผู้ประเสริฐดังเช่นบาทหลวงผู้นั้นซึ่งหลังจากรัดจบ ม.ศ.3 แล้ว จึงได้ติดตามคุณพ่อสเตฟาโนไปเรียนศิลปะ ณ สถาบันศิลปะ กรุงมิลาน แต่ ณ เมืองนั้นนั่นเอง คุณพ่อก็ด่วนวายชนม์ลงอย่างกะทันหัน เขาจึงตัดสินใจข้ามมาเรียนเตรียมอุดมที่สาธารณรัฐอินเดีย สำเร็จปริญญาตรีวิชาปรัชญาจากมหาวิทยาลัยเดลี…ต่อจากนั้นจึงข้ามไปเรียนปริญญาโทสาขาจิตวิทยาที่สหรัฐอเมริกาจนกลับมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมความเติบใหญ่ทั้งใจและกาย ในนาม นายรัด สร้างสม

“คุณต้องขอบคุณตัวเองที่อดทน ไม่เก็บเอาสิ่งที่คุณต้องทนมาเป็นหนอนด้วงคอยเจาะไชใจคุณ”

“แต่การเป็นอะไรได้หรือไม่ได้นี่ยากนะครับ…สำหรับผม ถ้าเป็นได้ก็ต้องได้จริงๆ ได้แท้ๆ ไม่ใช่คิดว่าน่าจะเป็นหรือควรจะเป็น หรือปลอมแปลงว่าเป็น”

หมอนี่คงดื้อพอดู ชวาลาได้แต่นึกในใจ

ดื้อสิ…ถึงอย่างไรก็ต้องดื้อในเมื่อคือคำสั่งของผู้กำกับ

นับแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ยอมให้พระเอกก้มหัวให้ใครที่ไม่สมควรก้มเป็นอันขาด

“พวกญาติๆคุณก็เปลี่ยนไปตามๆกัน…สุม…”

“ประทานโทษเถอะครับ…ผมไม่มีนะ…ญาติ ผมเป็นคนไม่มีญาติ” เขาขัดจังหวะขึ้นทันใด

ฉันก็แทบจะร้องไชโยอยู่ ‘หลังม่าน’ เลยนะตอนนั้น

 

“รัด” ชวาลาก็เลยเรียกเขาเบาๆเชิงเตือนสติ

“จริงๆครับ ผมไม่บังอาจจัดตัวเองเป็นญาติกับใคร ไม่บังอาจหรอกครับ คุณชวาลา”

“แต่คุณจะต้องเป็นผู้ปกครองพวกเขา” ทนายความหนุ่มใหญ่ตวัดปลายเสียงอย่างรำคาญนิดหนึ่ง “ใช่ไหมล่ะ…คุณจะต้องเป็นผู้ปกครอง ฉะนั้น คุณก็จะต้องพยายามสลัดความเจ็บปวดเก่าๆที่เคยมี…เมตตาเขาให้ได้”

ชายหนุ่มผู้นี้น่ะหรือจะตอบในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจ

ชวาลาจึงได้แต่เหลือบตามอง

“คุณป้ากุลกับคุณน้ากัน ทั้งคู่นั่นก็น่าสงสาร เอาเถอะ แล้วคุณก็คงรู้เองแหละว่าน่าสงสารยังไง”

แต่อีกฝ่ายกลับย้อนถาม

“น้าศรีคงสบายดีมังครับ”

“ก็กลัวลูกเหมือนกัน” เขาหมายถึงส่งศรีกลัวเปรย

“แล้วน้าเตียง”

“ทีสองคนนี่ทำไมคุณนับญาติ”

“ผมไม่กล้าเป็นอะไรกับผู้สูงส่ง”

“แต่คุณ ‘ต้องเป็น’” ชวาลาเน้นคำ

หากรัดก็ไม่หยุดฟัง

ยังคงยืนหยัดเป็นตัวเขาใจเขา

ยืนหยัดเป็นเลือดนอกทำเนียบอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

“น้าศรีกับน้าเตียง จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับผม…เขาคือคนที่พลัดหลงเข้ามา ที่สำคัญก็คือ เขาไม่เคยทำร้ายเด็กกำพร้า…ไม่เคย…” ปลายเสียงของชายหนุ่มขาดหายคล้ายลำคอตีบตื้น “โดยเฉพาะน้าศรี เธอดีกับผมสม่ำเสมอ จุดอ่อนมีนิดเดียวคือกลัวสามี เกรงใจลูก นั่นคือหญิงไทยสมัยคุณแม่ที่ผมไม่คิดว่าเป็นความบกพร่อง”

“ใจคอรัดจะไม่ถามถึงลูกเขาเลยหรือ”

“คนไหนครับ” พระเอกของฉันทำเสียงชาเย็น ไม่เต็มใจจะเอ่ยถึง

จะเอ่ยได้อย่างไร ในเมื่อภาพของเปรยยามพาเพื่อนทโมนมาคอยชกต่อยรุมกระทืบ แล้วสุมทองอ้อน พี่ชายห้าม ‘สุมทอง น้องมาคบกะไอ้เด็กกองขยะทำไม ทีหลังถ้าเห็นไปยุ่งกะไอ้เด็กเก็บตกนั่นอีกละก็ จะตีให้ตายเลย’ ยังคงกึกก้องอยู่ในความทรงจำไม่มีวันคลาย

ครั้นแล้ว ชวาลาก็พาเขามาถึงเรือนใหญ่ของคุณพู่กลิ่น แลเห็นเรือนไม้ทรงปั้นหยายังคงสวยงาม เพิ่งทาสีขาวอมเทาเรื่อ อวดลายฉลุของขอบประตูหน้าต่างและชายคา กระจกสีที่กรุตามแนวช่องลมยังคงยืนยงสลับแสงยามเมื่อกระทบแดดแรงเต็มที่

รัดก้าวลงจากรถแล้วพบบริวารดั้งเดิม จึงทักถามด้วยไมตรี

สิบสองปีผ่านไป

ชายหนุ่มคิดพลางลงนั่งบนโซฟาตัวเก่า

ใครคนหนึ่งก้าวขึ้นบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมพนมมือไหว้อย่างนิ่มนวล

แสงจากกระจกสีจับต้องดวงหน้าหญิงสาวเต็มตาเขา เป็นดวงหน้าของนวลนางผู้ยังไม่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัย แม้ว่าบัดนี้จะย่างเข้า พ.ศ.2531 แล้วก็ตาม ด้วยว่านัยน์ตานั้นแสนสงบ กิริยาแสนเสงี่ยม เสื้อกระโปรงที่สวมใส่ดูเรียบๆ หากก็เหมาะกับบุคลิก

“สุมเขาก็คอยดูแลเวลาผมมาเปิดบ้าน” ชวาลาเองก็อึดอัด

“แม่กำลังทำกับข้าว ต้อนรับพี่รัด” สุมทองทำไม่รู้ไม่ชี้ในความเย็นชา เนื่องด้วยรู้จักเขาดีทุกด้าน

ฉันเองต่างหากที่แสนสงสาร ด้วยล่วงรู้ ‘อนาคต’ ของสุมทองเป็นอย่างดี

“ถ้างั้นผมไปหาน้าศรีดีกว่า”

ผู้กำกับก็เลยทำสัญญาณให้สาวสวยเป็นคนเกริ่นให้รู้ว่าคู่อริทั้งสามไม่อยู่บ้าน

“พ่อกับพี่เปรยคงกลับค่ำ คุณป้าไปค้างสระบุรีหลายคืน น้าเตียงก็เหมือนกัน”

แต่อีกฝ่ายก็ยังเฉยเมย เดินเลยไปพนมมือไหว้ส่งศรีอย่างนอบน้อม

แม้จะไม่เคยเลือนลืมความหลังครั้งยังเป็นเด็ก หากก็จำเพาะเจาะจงแต่กับคนที่ร้ายกับเขาเท่านั้น แต่คนที่ดีด้วยใจจริงดังเช่นมารดาของเปรยและสุมทองผู้นี้ ชายหนุ่มก็ไม่มีวันลืมเช่นกัน

ครั้นเดินกลับจากบ้านส่งศรี ก็ยังได้พบสมปัก ท่ามกลางความมืดของฟ้าเดือนแรมที่มีแต่จุดเพชรพราวพร้อย สมปักที่ผู้คนนินทา ‘ผัวไอ้เตียงนี่มันแปลก มาเงียบอยู่เงียบ ไม่ค่อยได้เห็นหน้า’ จนกระทั่งวันใดวันหนึ่ง เขาก็กลับมาเป็นลูกมือทำขนมทำยาดมส่งขาย…ฝ่ายล่าเตียงนั้นหายไป

คนในบ้านนี้มีพฤติกรรมพิลึกพิลั่นกันทุกคน…ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งอวสาน

เหยียบเข้าบ้านวันแรก รัดจึงคล้ายถูกบังคับให้ต้องยอมรับคนเหล่านี้ คนซึ่งคล้ายติดมากับที่ดิน ติดมากับมรดกและความเป็นทายาท ‘ไอ้เจ้าสมปักนี่มันเป็นนักพนัน ตอนนี้มาสนิทกับตาเปรย เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่หรอก’ เขายังจำคำของคุณพู่กลิ่นได้จนวันนี้

เขาก็เลยทักทายสมปักตามมารยาท

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องพระ จุดธูปเทียนบูชาคุณพระรัตนตรัย พร้อมกับคารวะดวงวิญญาณบรรพบุรุษและคุณพู่กลิ่น พลางบอกกล่าว

‘ผมจะพยายามทำหลายอย่างให้ดีที่สุด แต่บางอย่างก็อาจไม่ดีที่สุด แล้วบางอย่างก็อาจจะถึงกับเลว’

 

นายทองแก่น คนทรงวัยเกือบหกสิบ คือตัวละครสำคัญอีกหนึ่งซึ่งมาช่วยทำให้ ‘พญาไร้ใบ’ คล้ายอยู่ในสาย ‘มูเตลู’ ค่อนข้างมาก แม้ไม่อยากเขียนถึง แต่ก็เลี่ยงมิได้ เนื่องใน ‘ชีวิตจริง’ ที่ฉันล่วงรู้มา ก็แสนที่จะยืนยันความเป็นไปได้และมีอยู่จริงในชีวิตบางตอนของหญิงหลายนาง นั่นก็คือ คนทรงที่ยังดูหนุ่มแน่น แต่แก่กร้านประสบการณ์เข้าทรงมานานหลายปี มีทั้งเงิน ธุรกิจ บริวาร รวมทั้งผู้คนที่ไหลเข้ามาหลงปลื้มจนลืมตัวลืมตน ส่วนใหญ่จะเป็นคุณนายบางคน สาวน้อยสาวใหญ่ผู้หมดอาลัยในชีวิต ผู้ผิดหวังในโชคชะตา ต่างก็ถูกดูดดึงเข้ามาเป็น ‘อาหาร’ จานใหญ่ให้ยมบุตรหรือนายทองแก่นได้รีดเลือดเนื้อรีดอารมณ์มาบัดพลีสังเวยต่างวาระต่างสถานที่อย่างลี้ลับเหลือเฟือ

จึงเมื่อวันเดือนปีผ่านไป เขายิ่งกลับแข็งแกร่ง แรงด้วยฤทธิ์มหัศจรรย์ ไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักเหี่ยว ดุจปีศาจ แดร็กคิวล่ายามลิ้มรสสดคาว

สาวเอาทรัพย์สินของคุณพิกุลไปเป็นของตนจนวันใดวันหนึ่ง เธอก็ถึงแก่บากหน้าไปเอ่ยปากขอยืมเงินรัดสักก้อนมาลบตัวแดงในธนาคารจำนวนหลายล้าน

ณ บัดนี้ ทุกคนที่เขาเคยรู้จักทั้งคนร้ายและคนดีมีวิถีทางที่เปลี่ยนไป

ผู้ที่เคยสิ้นไร้ไมตรีจิตดังเช่น มาลินีพี่สาว มณีวรรณก็ยังเอ่ยกับเขาว่า

‘น้าดีใจด้วยที่รัดตั้งใจเรียนจนสำเร็จปริญญาโทกลับมา…วิญญาณพี่กลิ่นคงปลาบปลื้มมากที่เธอสามารถรับช่วงทรัพย์มรดกอย่างสมเกียรติ ท้ายที่สุดก็ความดีนั่นเองที่ชนะทุกอย่าง’

แต่ชายหนุ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้ปรัชญาอันว่าด้วยกรรมของมนุษย์จะยืนยันความจริงข้อนี้โดยไม่มีทางปฏิเสธ แต่ความงามความดีใดๆที่ว่าดีว่างาม ก็ผันแปรไปได้เพราะการพลิกแพลงเพทุบายของมนุษย์ด้วยกันจริงหรือไม่ ถ้าจริง ความดีที่ว่าดี ย่อมไม่อาจลอยตัวอยู่โดดๆ โดยไม่อาศัยมนุษย์ด้วยกันส่งเสริมหรือลิดรอน

การเดินทางของความดีจึงมักมีอุปสรรคอยู่เสมอ

เมื่อพบปะกับครูนิยมและครูชมชื่น แล้วคนทั้งคู่ถามถึงอาชีพในอนาคตของเขา รัดจึงตอบด้วยน้ำจิตน้ำใจที่กลั่นออกมา

“ผมอยากทำเรื่องเด็กมากครับ โดยเฉพาะเด็กกำพร้า…ครูก็ทราบแล้ว…ผมเป็นเด็กกำพร้าที่คุณแม่เก็บมาเลี้ยง…เมื่อได้มรดกมาเป็นของตัวเองครึ่งหนึ่ง…อีกครึ่ง…ก็อยากสบายใจว่าจะมอบให้เป็นสมบัติของส่วนรวม”

ครูนิยมฟังแล้วก็ได้แต่ดีใจ เห็นด้วยพร้อมกับชื่นชม

“ตามปกติแล้ว ทรัพย์มรดกที่เราได้มาเปล่าๆโดยที่เราไม่ต้องออกแรง ส่วนหนึ่งก็ควรจะนำไปทำบุญให้ทานช่วยเหลือคนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนเจ็บป่วย พิการ ถ้าใครหวงมรดกไว้ ไม่เจียดจ่ายช่วยเหลือใคร ท้ายที่สุด ก็จะถูกทวงคืนไม่ว่าทางไหนก็ทางหนึ่งละรัด”

“ผมก็คิดจะคืนอยู่เรื่อยละครับครู” รัดตอบหนักแน่นด้วยแววตาประหลาด

อดนึกถึงคืนที่เขาพบเปรยและนายฝันลูกนางฝามิได้ บัดนี้บริวารในบ้านต่างก็เติบโตเป็นชายและหญิงที่ต่างก็ถือหางนายคนละคน

ดังที่ชวาลาเคยจดหมายไปบอกเล่า

‘ขโมยขึ้นบ้าน งัดตู้ถ้วยชามเบญจรงค์ขนไปหมด…เลยไปแจ้งความ ตำรวจก็เพียงแต่มาตรวจสถานที่เกิดเหตุ สอบปากคำคนในบ้าน แล้วก็เงียบหาย ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรคืบหน้า’

เขาก็ไม่ว่ากระไร ไม่เดือดร้อน เสียดายนั้นเสียดายแน่เพราะเป็นของรักของหวงของคุณพู่กลิ่น เป็นมรดกตกทอดมาจากการแบ่งสันปันส่วนระหว่างพี่สาวน้องสาวซึ่งเขาเองก็ตั้งใจว่าจะรักษาของคุณแม่ไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ชวาลาและมาลินีจะมาที่นี่พรุ่งนี้ มาส่งมอบข้าวของอีกจำนวนหนึ่งซึ่งจะต้องสอบให้ตรงกันกับบัญชี มีผู้ใดบ้างที่ได้รับการตอบแทนจากคุณพู่กลิ่น

คุณแม่เคยสั่งสอนอยู่เสมอ…แรงงานคนที่รับใช้นั้นมีค่า ฉะนั้น การตอบแทนน้ำใจให้พวกเขาจึงควรทำเพราะสำคัญ

รัดเห็นด้วย แม้คุณแม่จะไม่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่เขานี่แหละจะแบ่งสันปันส่วนให้คนเหล่านี้ถ้วนหน้า

มีกระดาษแผ่นน้อยความว่า

‘เลี้ยงมันไว้ด้วยเถอะค่ะ นึกว่าทำบุญลูกนกลูกกา พ่อมันทิ้งผ่อง ผ่องเองก็กำลังจะตาย’

สอดมาด้วยกับผ้าห่อทารกเมื่อยี่สิบแปดปีก่อน เป็นมรดกชิ้นสำคัญที่เขาควรรับมอบมาเสียด้วย

ขณะที่เขียนจนมาถึงกำกับในฉากนี้ น้ำตาฉันแล่นขึ้นมาเต็มตา เกือบจะหยดเอาทีเดียว…ต้องเหนี่ยวข้างม่านไว้แน่น…ด้วยความมืดหม่นโทมนัสจนแทบพยุงตัวไว้มิได้

มีลายมือคุณพู่กลิ่นเขียนกำกับ

‘แม่ของลูกเป็นคนดี เขาชื่อผ่อง เคยดูแลแม่อยู่พักหนึ่ง ขอให้ลูกจงภูมิใจว่า แม่ของลูกเป็นคนดี’

น่าแปลกที่ข้อความเพียงสองบรรทัดตรงหน้า สามารถเรียกความตื้นตัน ความพองบาน สว่างไสวให้สาดแสงเข้าสู่ดวงใจพระเอกของฉันได้มากมายอย่างที่ตัวเขาก็ยังนึกอัศจรรย์

ความมืดที่เกาะนิ่งอยู่กลางอกเขาตลอดวัน เวลาที่จำความได้และรู้คิด…อาการร้อน หนาว ว้าเหว่ ตะครั่น ตะครอ เจ็บปวด หวาดระแวง คล้ายลดราลงกว่าครึ่ง

ความมืดมนอันเกิดจากความไม่รู้ว่าพ่อแม่ตนคือใคร ดีเลวเพียงไหน จึงนำลูกใส่ถาดมาวางไว้ที่ศาลาท่าน้ำ คือรอยกดกรีดของโลหะมีคมอันบาดลึกอยู่ภายใน เป็นรอยแผลฉกรรจ์ที่หมดทางเยียวยา…แม้จะข้ามน้ำข้ามฟ้าข้ามมหาสมุทรไปเล่าเรียน ประสบความสำเร็จกลับมาแล้ว รอยนั้นก็ไม่มีวันจางหาย

แต่บัดนี้ จดหมายสั้นๆของคุณพู่กลิ่นก็ประดุจใบรับรองอันประเสริฐที่ช่วยยืนยันความมั่นใจได้ว่า อย่างน้อยแม่เขาก็เป็นคนดี

ช่วยให้ฉันเองนึกขึ้นมาได้ว่า

บางเวลาในชีวิตของคนเรา ก็สามารถหลุดจากกรงเล็บที่โง่เขลาออกมาได้เพียงแค่ข้อความสองสามประโยคหรือสองสามบรรทัด

เช่นเดียวกับกุญแจตู้ที่เขาไขแล้วพบเจอถาดใบหนึ่งกับถุงกระดาษสีน้ำตาลที่มีผืนผ้าซักแล้ว ลายพร้อย เนื้อนุ่ม หากก็มีกลิ่นอับเพราะเก่าเก็บ

ฉันนั่นเอง…เป็นคนเย็บความหลังทั้งหมดทั้งสิ้นติดไว้กับชีวิตเด็กกำพร้า เพื่อพาเขาไปสู่สัจธรรม

รัดจะต้องยอมรับความจริงของเขาให้ได้ด้วยดวงใจอันสงบ

มิฉะนั้น เขาก็จะไม่มีวันพานพบความสุขได้อีกจนวันตาย

ฉันบอกให้เขาขอบคุณประเทศอินเดียที่ช่วยให้การใช้ชีวิตที่นี่ง่ายขึ้น

ความดีคงจมหาย หากไม่มีความร้ายมาเปรียบเทียบ ความสบายคงแลเห็นได้ หากก็คงไม่เด่น ถ้าไม่มีความลำเค็ญมาเข้าคู่

 

ฉันคงต้องเว้นรายละเอียดเรื่องยมบุตรย่างก้าวเข้ามาปอกลอกจนคุณพิกันกับคุณพิกุลหมดตัวไปตามกัน จนกระทั่งดึงเอารัดไปสู่วงจรอันเป็นบทบาทของชายคนทรง…ไปสู่ความรู้สึกส่วนตนอันฝังอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ

นั่นก็คือ เมื่อได้กลับมาพบหน้ามะเดหวี ยามเป็นสาวน้อยผมยาว นัยน์ตาดำอีกครั้ง พร้อมกับออกอาการหยิ่งนิดๆใส่เขา โดยไม่ทิ้งเค้าดั้งเดิม จึงเริ่มหวนระลึกถึงความเจ็บปวดก่อนเก่าที่พบหล่อนตอนนอนดูดนมขวดพลางดึงหัวแม่เท้าตนเองเล่น

เพราะ…เมื่อมาถึงวันนี้ หล่อนก็ยิ่งทวีความทะนงตน…พร้อมกับมองเขาเหมือนเหยียดหยามว่าเขาก้าวเข้ามาชุบมือเปิบ ฮุบสมบัติที่ตนไม่มีสิทธิ์

ในที่สุดก็บอกกล่าวข่าวใหม่กับพ่อแม่ป้าว่าหล่อนจะแต่งงานกับผู้ชายชื่อปูน เป็นลูกชายหนึ่งเดียวของพ่อแม่ ส่งเสียจนเรียนจบศิลปะจากฝรั่งเศส เป็นชายผู้ตามใจตนเอง แต่มะเดหวีก็หลงรักเขาถึงขั้นแต่งงาน โดยจะตามเขาไปอยู่กินเป็นสามีภรรยาบนตึกชั้นสามที่ชั้นล่างเป็นห้องภาพขายรูปเขียนฝีมือจิตรกรมีชื่อเสียงของไทย ซึ่งนับเป็นข่าวใหญ่ชวนสะเทือนสะท้านจนวิบูลย์ต้องรีบรุดไปเล่าเรื่องลูกสาวคนเดียวให้รัดฟัง

เขาจึงหวนกลับมาคะนึงถึงเด็กหญิงเล็กๆผู้บัดนี้เติบใหญ่ หลงใหลได้ปลื้มชายคนหนึ่งที่วิบูลย์ไม่พึงใจตลอดมา จนถึงแก่หอบผ้าตามเขาไปอยู่กินโดยไม่ต้องมีพิธี

“รัด…น้าน่ะอยากให้รัดช่วยจังเลย ถ้าเป็นไปได้…ก็อยากให้ช่วย ‘ดึง’ ยายเดกลับมา”

เสียงขอความช่วยเหลือในเย็นวันนั้นจึงพาเขาไปสู่แกลเลอรี่แสดงภาพของปูนในวันถัดมา…ขอขึ้นไปดูถึงชั้นที่สามที่มีข่าวว่าจะใช้เป็น ‘เรือนหอ’ ของหล่อนและชายนั้น

พบเจ้าของร้านหนุ่มพอดิบพอดี

ปูนก็เลยพารัดชมภาพทุกภาพและทุกชั้น

แต่แท้จริงนั้น มาวันนี้เพียงเพื่อจะมาดูหน้าชายชื่อปูนแค่นั้น

ขณะที่กำลังพูดจากันเกี่ยวกับราคาภาพบางภาพ มะเดหวีก็มาถึง

หล่อนตื่นตะลึงไปเหมือนกันเมื่อจำต้องแนะนำว่า รัดคือใคร

“ตั้งใจจะมาซื้อรูป” ชายหนุ่มจึงบอกกล่าว “รูปเล็กๆไม่แพงมาก แต่ฝีมือดี ของใครก็ได้ที่ดูแล้วชอบ เหมาะจะติดบนฝาว่างที่เรือน…ที่ผมอยู่”

เขายังคงเลี่ยงคำว่า ‘บ้านผม’ ทุกครั้ง

ผู้กำกับเองก็ยังต้องหดหู่หมองไหม้แทนเขาทุกคราวไป

“ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปของศิลปินมีชื่อเสียง ราคาเป็นล้าน ผมคงไม่มีเงินจ่าย”

แต่คราวนี้ มะเดหวีส่งเสียงแหลม…โดยพลัน…ก็หวังอย่างง่ายๆด้วยแรงรักผู้ชายของหล่อน

“โธ่เอ๋ย ใครเชื่อคุณรัดก็แย่แล้ว เธอเป็นมหาเศรษฐีนะพี่ปูน เป็นทายาทคนเดียวของสร้างสม”

เฮ้อ…คำคำนี้มาพร้อมความระทมทุกข์ของทั้งพระเอกและของผู้กำกับอย่างแท้จริง

นั่นก็เพราะปลายเสียงของหญิงสาวเริ่มแปร่งปร่า แววนัยน์ตาก็เปลี่ยนแปลกกระเดียดเย้ยนิดๆหยันหน่อยๆ

แต่รัดเองก็จับได้

ตอนที่ฉันกำลังร่ายเวทย์ตัวอักษร จำได้ว่าทุกขั้นทุกตอนระหว่างหนุ่ม-สาวในเรื่องนี้ ช่วยให้มีพละกำลังมากล้นจนแทบจะพรรณนามิได้

ด้วยว่าอาบชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาที่คอยแต่จะไหลลงมาบทต่อบทเลยทีเดียว

ทันทีที่เขาจับหางเสียงเฉี่ยวเฉี่ยวของหล่อนได้ เขาก็เลยเปลี่ยนเสียงบ้าง

“แล้วผมจะมาใหม่” รัดตัดบททันควัน สีหน้ามะเดหวีจึงสลดลง

“ทำไมจะรีบกลับล่ะคะ”

สมน้ำหน้า ชายหนุ่มนึกในใจ

โส-น้า-หน้า ผู้กำกับก็นึกเหมือนกัน แต่ยังไม่กล้าตบมือ

รู้หรือไม่ล่ะ มะเดหวี…ว่า อีกฝ่ายเขาเจ็บแค้นแน่นอึดอัดเพราะทนสายตาที่เธอเยาะหยามเขาไม่ได้อย่างไรล่ะ

โดยพลัน มะเดหวีก็รู้สึกตัว พยายามดึงเขาไว้

“คุณรัดคะ รูปเล็กๆที่นี่ก็มีแยะเหมือนกัน…เขียนโดยคนเขียนรุ่นใหม่ เป็นรูปที่ดีมากเลย จะไม่ลองเลือกไปติดบ้านสัก…สองสามรูปหรือคะ…หรือจะให้เดไปดูก่อน…ดูว่าเหมาะกับผนังตรงไหน”

รัดชะงักพลางนิ่งคิด ขณะหมุนตัวกลับ นัยนตาดำคมเป็นประกายด้วยแสงประหลาด

“ก็ดีเหมือนกัน คุณสองคนลองไปดูแล้วผมจะตัดสินใจอีกที”

แต่มะเดหวีก็เร็วทันใจทันกาลเช่นกัน

รีบขอตามเขากลับบ้าน ไปดูผนังที่ว่ารัดอยากติดรูปเขียนไว้บนนั้น

“สำหรับผม ไม่จำเป็นต้องติดรูปศิลปินที่ตายไปแล้ว ผมชอบซื้อรูปศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยจะได้มีส่วนช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ได้มีเงินทองเลี้ยงชีพเพื่อทำงานที่มีค่าต่อไป…ผมไม่ช่วยคนเป็นที่หากินบนสมบัติของคนตาย อยากช่วยแต่คนเป็นที่ยังเป็นๆที่ลำบากยากแค้น”

ปูนก็เลยนิ่งไป อ้ำอึ้งตะลึงตะไลด้วยวาจาเสียดสีเย้ยเยาะทั้งๆสีหน้าเรียบสนิท

รับรองสองร้อยเปอร์เซ็นว่า นวนิยายเรื่องนี้ทำให้หัวใจบิดเป็นเกลียวแทบทั้งเรื่อง

เนื่องด้วย ฉันต้องหยิบเอาตัวละครมาชวนผู้อ่านผู้ชมประเทืองปัญญาและอารมณ์จนจมอยู่ในวงเวียนกรรมอันน่าค้นหาจนถึงวาระสุดท้ายไปด้วยกัน

เมื่อเขาคือเด็กน้อยในถาดที่มีผู้นำมาวางไว้ที่ท่าน้ำในเช้าตรู่วันหนึ่ง ครั้นเติบใหญ่ขึ้นมา เขาจำเป็นต้องลึกซึ้งในเรื่องใดบ้าง ฉันก็จำเป็นต้องวางแปลนแผนผังไว้ทั้งหมดเช่นกัน

แม้ฝังใจรักหญิงสักคนก็ยังแสนรันทดเวทนา…

 

ดังนั้น ในวันใดวันหนึ่งที่โอกาสมาถึง เขาจึงแลกเปลี่ยนกับหล่อนเรื่องจ่ายเงินค่ารูปกับสัมภาษณ์ล่าเตียงที่บัดนี้ไปเป็นหนึ่งในภรรยาคนทรง ไปดูแลการเข้าทรง ที่เขาคิดว่า น่าสนใจพอๆกับวิชาการแขนงอื่นเหมือนกัน

‘เพราะอย่างน้อย เขาก็เป็นตัวแทนความกลัว เป็นตัวแทนชีวิตส่วนหนึ่งที่ล้มเหลว เลยพยายามสร้างชีวิตส่วนอื่นขึ้นมาเพื่อให้สังคมยอมรับ เพื่อปลอบใจตนเอง’

มะเดหวีทำงานเป็นนักข่าว ‘หน้าสตรี’ ของหนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง ก่อนหน้านี้…ก็มีนโยบายออกใหม่ให้เน้นหนักไปในทางสร้างสรรค์ ไม่มอมเมาคนอ่านให้หลงไหลในวัตถุ ชวนแต่เรื่องฟุ้งเฟ้อ หรือเข้าใจความจริงของชีวิตผิดไป

“ความเหลวไหลบางอย่างก็สอนคน มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอ” รัดบอกหญิงสาว “ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทุกคอลัมน์จะเสนอแต่วิชาการหรือกิจกรรมดีๆ เพราะชีวิตมีทั้งดีและชั่ว ถ้าไม่รู้จักความชั่ว ก็จะไม่มีวันรู้ว่าความดีมีคุณค่าแค่ไหน”

แต่ขณะนี้ มะเดหวีกำลังคุยไม่รู้เรื่อง นั่นก็เพราะกำลังร้อนรุ่ม เป็นกังวลเรื่องปูนผู้บัดนี้แปลงเปลี่ยนไป เป็นเหตุให้ต้องรีบกลับ ขับรถไปเที่ยวตามหา แท้ๆแล้ว เขากำลังกินอาหารอยู่กับหญิงอื่น

ฉันก็เลยยิ้มแย้มผ่านหลังม่านเข้าไปปลอบใจ

แต่นางสะบัดหน้า

ให้มันได้ยังงั้นซีแม่คุณ…ฉันก็เลยทั้งนึกขันและสงสาร

นี่แน่ะจ้ะ เธอจ๋า…มีคนเขารักเธอจะเป็นจะตายมาตั้งแต่ทศตวรรษที่แล้วแล้วนะจ๊ะ อุตส่าห์เก็บงำหาทางทำความเข้าใจกับตัวเองตั้งกี่สิบกี่ร้อยหน เธอก็ยังไม่เข้ามาปนปรุงให้รักของเขาลงตัวได้สักที

ฉันจะบอกรัดว่า ไม่มีหวังอย่าได้คอย มีแต่จะคอยแล้วคอยเก้อ ก็ยังไม่อยากเผลอไผลให้ไฟเกิดลามทุ่งไปถึงเช่นนั้น

เอาเป็นอันว่า ปล่อยให้สุมทองหลงรักรัด แต่รัดมาหลงรักเธอ แล้วเธอหลงรักปูน…เป็นทอดๆไปแบบนี้ ก็ทรมานดีเหมือนกันใช่ไหม

ไม่ต้องเอ่ยถึงคนพาลอีกสองราย คือคุณพิกุลกับเปรยเลยก็ได้ว่า จะเข้ามาเอาเรื่องกับทายาทคนใหม่ขนาดไหน

ขนาดกะคว่ำให้ได้ไงล่ะ

หมัดหนึ่งกระแทกใต้ตา อีกหมัดเต็มแรงตรงยอดอก พร้อมวาจาเพียงสั้นๆ แต่ชัดเจน

“นี่คือบทเรียนที่จะบอกให้รู้ว่า อย่าล้ำเส้น”

โธ่เอ๊ย…เข้าไปเป็นทายาทของคุณพู่กลิ่นที่แวดล้อมด้วยเสือหิวก็แบบนี้อยู่แล้วไง

แต่เขาก็ยังว่างอยู่ดีเมื่อนึกถึงมะเดหวีกับสัมภาษณ์ยมบุตร

ครั้นแล้ว จึงขับรถไปรับหล่อนผู้ที่วันนี้ไม่มีอาการงอนหรือเย็นชา

เฮ้อ…ดีกันได้ ผู้กำกับก็สบายใจขึ้นเป็นกอง รู้ไหม

มะเดหวีก็ดีใจที่ได้มาทำงานให้เขาในวันนี้

แท้จริง หล่อนเองก็ชอบ…ชอบดู ชอบศึกษา ‘เรือนปั้นหยาสามหลัง’  อันเป็นประวัติศาสตร์ริมคลองใหญ่ แตกลูกแตกดอกออกไปจนกระทั่งกลายเป็นนิยายที่เหลือจะเชื่อได้ว่า มีจริงอยู่แล้ว

“ความเหงาความว้าเหว่นี่มันก็คือธรรมชาติของคนเราส่วนหนึ่งซึ่งผมคุ้นเคยกับมันมาก คุ้นมาก แล้วก็รักมันมาก…เพราะการอยู่คนเดียว บางทีก็ช่วยให้เราคิดอะไรได้มากกว่าอยู่หลายคน…แล้วหนังสือก็สอนผมมาก สอนให้ผมสอนตัวเอง สอนให้ผมคิดเห็นไตร่ตรอง รวมทั้งคิดกันให้ได้ว่า ‘ภูมิปัญญาไทยๆ’ นี่มันคืออะไรกันแน่ ดีหรือไม่ดี วัฒนธรรมบางส่วนถึงได้ดูเหมือนกดขี่ กลั่นแกล้ง ริษยา บางส่วนจูงให้คนงมงายหลงเชื่อ เพื่อจะกลายเป็นคนอ่อนแอไปในที่สุด”

ครั้นแล้ว มะเดหวีก็ได้สัมภาษณ์ล่าเตียง ได้รายละเอียดเกี่ยวกับนายทองแก่นมามากพอ

จนต้องถูกคนทรงไล่ตะเพิดออกจากที่นั่น

ต่อจากนั้นก็ต้องกลับมาพบปูนผู้ส่งความชาเย็นมาให้ แม้ว่ารัดจะซื้อรูปของศิลปินรุ่นใหม่ในราคาย่อมเยา มะเดหวีก็อดพกเอาความเศร้ากลับมามิได้

หล่อนตกหลุมรักปูนอย่างรุนแรง ครั้นแล้วบัดนี้จึงผิดหวัง

ผู้กำกับเองก็เหนื่อยยากจนต้องทรุดตัวลงนั่ง ‘หลังม่าน’ พลางคำนึงนึก

นี่ก็กำกับเรื่อยมาจนยาวนับไม่ถ้วนฉาก…พักไว้ก่อนดีไหม ดีหรือไม่ดี ดีหรือไม่ดี

ในที่สุดก็ได้คำตอบสุดท้ายว่า ‘ดี’

เมื่อรัดบอกมะเดหวี

“ผมดีใจที่เดมีความรัก รู้จักรัก”

ขณะที่อยากร้องไห้ อยากตะโกนหรือไม่ก็ดึงหล่อนเข้ามากอดแล้วผลักออกไปเมื่อได้ล่วงรู้ถึงความในใจอันไร้จริตของหญิงสาว

 

– จบ –

 

 

Don`t copy text!