ชมา 5 ชีวิต บทที่ 10.1 : คู่แข่งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 10.1 : คู่แข่งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

ภารกิจยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวที่เป้คาด ทำท่าว่าจะเป็นจริงขึ้นมาในอีกหลายวันต่อมา

เย็นนั้นเป้และโตซดเบียร์ไปคนละสองกระป๋องอยู่ริมสระน้ำ บริเวณนั้นเป็นโซนที่ใช้ปลูกมะพร้าวน้ำหอมต้นเตี้ย นอกจากรองเท้าบูตเลอะโคลนของพวกเขากองอยู่มุมหนึ่ง ยังมีมะพร้าวอีกสองลูกที่ถูกกินไปแล้วกองอยู่ตรงนั้นด้วย

โตลงนอนแผ่หลา เสื้อของพวกเขาขะมุกขะมอม วันนี้ผมไม่ได้ตามพวกเขาไปในสวน แต่ก็ได้ยินมาว่าจะมีคนมารับซื้อปลาชนิดต่างๆ ที่ปล่อยเอาไว้ในสระและคลองไส้ไก่ ถึงผมจะเป็นแมวแต่สัตว์ที่ดูจะห่างไกลจากความสนใจของผมมากที่สุดคือพวกปลา ยกเว้นแต่มันจะถูกจัดใส่จานเอาไว้แล้วเท่านั้น ดังนั้นการจับปลาในพื้นที่เปียกๆ จึงไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจหรือคาดว่าจะสนใจในอนาคต ซึ่งความมอมแมมเหมือนเด็กในโฆษณาที่ว่ายิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ของโตและเป้ คงจะได้มาด้วยกิจกรรมนี้

ที่นี่เลี้ยงสัตว์เอาไว้หลายชนิด อาหารแทบจะไม่ต้องซื้อ แม้แต่น้ำปลาพวกเขาก็หมักเอง

ผมเข้าไปสำรวจพวกเขา ได้กลิ่นคาวปลาตามเสื้อผ้า เป้ส่งกระป๋องเบียร์ให้ผมดม เมื่อเห็นผมสนใจ เขาก็เทเบียร์ที่เหลือก้นกระป๋องลงบนนิ้วมือตัวเอง แล้วเอานิ้วนั้นป้ายจมูกผม

ผมเลียจมูกตามสัญชาตญาณ แล้วจามออกมาสามรอบ ชายทั้งสองหัวเราะเสียงดังลั่น

ฮึ เจ้าพวกนี้…ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย

“เดี๋ยววันนี้เราไปกินปลาหมอเผากับบุญรอกันไหม” โตชวน

“แล้วอาโอล่ะครับ”

“วันนี้อาหลานเขาเข้าเมืองกัน เห็นว่าไปปรึกษาหมอเบญเรื่องเทกฮอร์โมนของต้า น่าจะอยู่กินข้าวเย็นกับหมอเบญเลยละมั้ง”

“นี่อาโตตัดสินใจให้มันเป็นแบบนี้จริงๆ หรือครับ”

โตลุกขึ้นนั่ง “เฮ้อ…” เขาถอนหายใจ

“อาก็ไม่รู้หรอกเป้ หมอเบญก็ดูจะไม่เห็นด้วยเท่าไร เหมือนอยากจะให้ต้ามันโตกว่านี้ เพราะเดี๋ยวนี้… เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ ที่ไม่ใช่กะเทย”

“แอลจีบีทีคิวครับ”

“นั่นแหละๆ หมอเบญเขาว่า มีพวกเปลี่ยนใจเอาหน้าอกที่เสริมออกเพราะอยากแต่งตัวอย่างผู้ชายก็หลายเคส ตัวโอเอง ก่อนหน้านี้ก็เอาคลิปที่กะเทยเปลี่ยนใจกลับมาเป็นผู้ชายมาให้อาดู คนนึงนอนกับผู้หญิงครั้งแรกแล้วเกิดเปลี่ยนใจกลับมาเป็นผู้ชาย อีกคนหัวกระแทกพื้นนอนหลับไปเป็นปี ฟื้นขึ้นมาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นกะเทย เลยกลับมาเป็นผู้ชายไปซะเฉยๆ อาไม่ได้คิดว่าต้ามันจะมาเป็นผู้ชายแบบที่ชอบผู้หญิงได้หรอกนะ แต่คิดว่าเดี๋ยวนี้มันมีหลายประเภท อาเลี้ยงของอามาตั้งแต่เด็ก อาว่าต้ามันก็ยังไม่ได้ชัดเจนว่าจะเป็นผู้หญิงขนาดนั้น”

“นั่นสิครับ” เป้เสริม

“แต่พูดไปก็เหมือนน้ำเชี่ยวเอาเรือไปขวาง เราพูดมากก็กลายเป็นไอ้แก่ใจแคบ หัวโบราณไปซะงั้น” โตหัวเราะ เขาไม่ได้เอ่ยชื่อพาดพิงใคร แต่เป้รู้ว่าโตหมายถึงใครบ้าง

“แล้วอาโตจะทำยังไงครับ”

โตมองท้องฟ้า ถอนหายใจยาว

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ กรรมใครกรรมมัน เมื่อก่อนอาหัวเราะเยาะยายจันทร์จะตาย แต่เชื่อไหม” เขาหันมาส่งยิ้มอย่างขำตัวเอง “พออายุเข้าเลขห้า อาก็กลับมาคิดเหมือนยายจันทร์นั่นแหละ”

เป้พยักหน้ารับ ดูเหมือนเขาจะไม่แปลกในใจข้อนี้

“คิดอย่างนั้นมันง่ายดี” โตเสริมคำพูดตัวเองแล้วยิ้มกว้าง เป้ถามด้วยความอยากรู้

“ง่าย…ยังไงล่ะครับ”

โตผ่อนลมหายใจยาวอีกรอบหนึ่ง แล้วเล่าเลยไปถึงชีวิตวัยเด็ก ความคิดเรื่องกรรมของเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากคนแก่อย่างยายจันทร์เท่านั้น แต่เสี้ยวหนึ่งในวัยเยาว์ โตก็ได้รับคำสั่งสอนพวกนี้มาจากยายทวดของเขาแล้วเช่นกัน

ผมจำยายทวดของโตได้ นางคือหญิงชราผมขาว ฟันดำ หนังเหี่ยวเหมือนถุงชงกาแฟ นางไม่ค่อยเคลื่อนไหว เลยต้องพักอยู่ในห้องใต้ถุนบ้านของโต ตกกลางคืนยายทวดมักมีนิทานปรำปรา เรื่องผีป่า ผีกองกอย ผีกะ มาเล่าให้ลูกหลานฟัง

กลิ่นตัวของยายทวดนั้นหอมประหลาด และมีกล่องใส่ของคบเคี้ยวกลิ่นแปลกๆ ที่เรียกว่าเชี่ยนหมากติดตัวตลอดเวลา

โตเล่าให้เป้ฟังว่า สมัยโตเป็นเด็กที่ยังชอบยิงนกตกปลา นอกจากยายทวดจะสอนเรื่องบาปบุญ ซึ่งเข้าหูซ้ายวนในสมองของเด็กชายโตสิบสามวินาทีก่อนจะวิ่งทะลุออกทางหูขวา อีกสิ่งหนึ่งที่ยายทวดสอนโตเสมอก็คือเรื่อง ‘กฎสองประการ’

กฎสองประการที่ว่านั้น คือกฎแห่งการใช้ชีวิต ถ้าสิ่งที่จะทำหรือคิดจะทำมีครบทั้งสองประการ ยายทวดถึงจะทำสิ่งนั้น แต่ถ้าไม่ครบมีเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ยายทวดก็จะไม่ทำ

กฎประการแรกคือสิ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ดี ประการที่สองคือสิ่งนั้นต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น เช่นการเลี้ยงดูพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากหาเงินมาด้วยการโกงคนอื่น ค้ายาเสพติด หรือมาจากการเล่นการพนัน ก็นับว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่น การเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยวิธีนั้นไม่อยู่ในกฎสองประการ จึงแปลว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

“ทวดบอกอาว่าการใช้ชีวิตด้วยวิธีนี้เราจะไม่หลงทาง และจะทำให้เรามีความสุขเสมอ”

เป้พยักหน้า

“สวรรค์ในอก นรกในใจ เคยได้ยินใช่ไหม…คนเรานั้นถ้าใจเราสุข อยู่ที่ไหนๆ เราก็สุข แต่ถ้าใจเราทุกข์ แม้จะมีเงินสร้างหอคอยงาช้าง ไปอยู่ใกล้สวรรค์ชั้นฟ้า เราก็หนีความทุกข์ไม่พ้น ยายทวดชอบพูดคำนี้…เทศน์ซะเลย” โตหัวเราะร่วน เขาแซวตัวเองเมื่อพูดจบ เป้พลอยหัวเราะไปด้วย

“แล้วถ้ามีคนถามว่า ถ้าเราอยากได้บ้าน อยากได้รถ อยากได้นาฬิกาแพงๆ แล้วเราจะแก้ที่หัวใจของเราได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อมันอยากได้จะตายอยู่แล้ว และถ้าไม่มีเงินมันก็ซื้อพวกนี้ไม่ได้ ถึงจะทำดีแต่มันก็ต้องทุกข์เพราะความอยากได้อยู่ดี”

“เป็นคำถามที่ดี” โตชี้นิ้วทำท่าเรียนแบบพิธีกรรายการเกมส์โชว์ “ถ้าเป็นยายทวดของอาก็จะบอกว่า รอชาติหน้าสิไอ้หลาน” โตหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเป้เหมือนอยากสบถ แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงออกมา โตว่าต่อ

“ถ้าชาตินี้ยังไม่ได้ก็รอชาติหน้า เราก็แค่ใจเย็นๆ อดเปรี้ยวเอาไว้กินหวาน หมั่นทำความดีเยอะๆ อะไรที่เรายังไม่ได้ชาตินี้ รอไปอีกนิด ชาติหน้าก็จะได้เอง อย่างตอนที่ทวดอยากจะกินอ้อยใจจะขาด แต่ฟันมันไม่มีแล้ว ทวดก็คิดว่า รอชาติหน้าก็ได้วะ อีกไม่นานซะหน่อย เดี๋ยวก็ได้กินอ้อยแล้ว”

เป้ทำหน้าเหยเก ในที่สุดเขาก็เอ่ยว่า “ชาติหน้า…ต้องรอนานขนาดนั้นเลยหรือครับ”

“หน้าแบบนี้แหละ” โตชี้หน้าเป้ “ตอนเด็กๆ อาก็คิดแบบนี้แล้วทำหน้าแบบนี้แหละ แต่ลองมาอายุเท่าอาสิ จะรู้ว่ามันไม่นานหรอก…ยังรู้สึกสิบห้าอยู่เมื่อวาน ตอนนี้ห้าสิบซะแล้ว ไม่ได้ล้อเล่นนะ เวลามันผ่านไปไว ไวจนบางครั้งก็ตกใจเหมือนกัน”

“นี่อาโตก็ใช้วิธีนี้บอกตัวเองเวลาอยากได้ของที่ไม่ควรจะได้หรือครับ”

โตหัวเราะ ทำท่านึก “ก็อาจจะใช่นะ” เขามองซ้ายมองขวา แล้วกระซิบ “อย่างเวลาเจอผู้หญิงสวยๆ ตรงสเป็ก แต่เราดันมีเมียอยู่แล้ว เราก็บอกตัวเองว่า เจอกันชาติหน้านะหนู เจอกันก่อนพี่จะมีเมีย”

เป้ทำตาโต “อาโตพูดกับเขาแบบนั้นจริงๆ หรือครับ”

“พูดในใจสิวะ ขืนพูดออกมาเขาจะได้ตบหน้าเอา ไอ้นี่นี่…”

“อ้อ…” เป้พยักหน้า “ผมก็นึกว่าอาโตจะเป็นพวกไม่ว่อกแว่กซะอีก”

“ผู้ชาย…” โตชี้ตัวเอง “มนุษย์….” เขาชี้ตัวเองอีกรอบ “มันจะต่างจากสัตว์ก็ตรงที่มีความยับยั้งชั่งใจนี่แหละ แล้วไอ้ความยับยั้งชั่งใจมันไม่ได้อยู่แค่เรื่องนี้” เขาชี้เป้ากางเกงตัวเอง “แต่มันนี่” โตจิ้มไปที่หน้าอกของเป้

“นม” เป้ว่า

“หัวใจ” โตมองอย่างรู้ทันว่าเป้กำลังยั่วเขา “วอนซะแล้วไอ้นี่”

“ขอโทษครับ ต่อๆๆ” เป้หงายมือ ขยับขึ้นๆ ลงๆ

“ยับยั้งชั่งใจมันใช้ได้กับทุกๆ เรื่องนั่นแหละ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ถ้าใจมันยั้งได้เราก็จะสามารถเป็นคนที่ยังมีความเป็นคนต่อไปได้ ไม่อายฟ้า ไม่อายดิน ไม่อายตัวเอง”

“อาโตจะบอกว่า ไอ้การคิดว่าทำชาติหน้าเอาก็ได้ ช่วยให้เรายับยั้งได้ง่าย แบบนั้นใช่ไหมครับ ยายทวดนี่เก่งจริงๆ” ประโยคหลังเป้พึมพำกับตัวเอง

“พระ” โตว่า “ยายทวดไม่ได้คิดเอง แต่จำเอามาจากพระ แล้วก็ปฏิบัติได้ ตายไปก็ตายอย่างคนเต็มคน”

“นี่ถ้าคนเรารู้จักรอ ชีวิตก็คงจะสงบ ไม่ต้องดิ้นรน ผมน่าจะคิดเรื่องชาติหน้าได้ก่อนหน้านี้”

“เฮ้ยๆๆ มันเอาไว้ดับกิเลส ไม่ได้เอาไว้ขี้เกียจ คนเรามันก็ต้องเป็นไปตามวัย มาคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก โลกก็ไม่ไปไหนสิวะ” พูดถึงตรงนี้โตก็แหงนมองฟ้า ถอนหายใจยาว เหมือนนึกย้อนไปไกลแสนไกล

เขาล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าอีกรอบ

“ตอนที่ทวดตายคนมาเต็มบ้าน งานศพคนก็มาช่วยกันจัดอย่างใหญ่โต ตอนอายังเด็ก ทวดก็แก่มากแล้ว อาเห็นทวดได้แต่นั่งเล่านิทานให้หลานๆ ฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน อาไม่เคยรู้มาก่อนว่าแกช่วยคนเอาไว้เยอะ พอตาย คนที่รักและนับถือแกมาจากทั่วสารทิศ ทั้งๆ ที่เป็นคนแก่ธรรมดา ไม่ได้มีประวัติยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่คนก็เอาของมาช่วยงานเต็มไปหมด”

“แล้วคนยิ่งใหญ่ในความคิดอาโตเป็นยังไงครับ คนที่ยอมตายเพื่อแรงปราถนาอันแรงกล้าของตัวเอง อาโตว่ายิ่งใหญ่ไหมครับ” เป้ถามแปลกๆ สีหน้าเขาจริงจังจนผมรู้สึกไม่สนุกที่จะฟังสองคนนี่คุยกันเสียแล้ว

โตกะพริบตาปริบๆ เขาชันตัวลุกนั่งตัวตรง เล่าว่าโอเพิ่งจะหว่านล้อมเขาเรื่องแฟนต้าด้วยการเล่าเรื่องลิลี กะเทยคนแรกที่ตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศทั้งๆ ที่ต้องรู้ว่าเสี่ยงและต้องตาย แต่เป็นการตายที่แสนจะกล้าหาญ โตถามเป้ว่า เป้คงไม่ได้ถามขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม

ตอนที่โตพูดนั้นผมแทบจะร้อง อ๋อ เพราะนึกถึงเรื่องที่ฟ้าใสเถียงกับเป้คราวก่อนได้

เป้พยักหน้า โตยกมือตบไหล่เป้สีหน้าเห็นอกเห็นใจ

“โดนผู้หญิงต้อนจนจนมุม เถียงไม่ออกมาละสิ” โตคาดเดา

“ครับ”

“ถ้ารักเขาก็ยอมๆ ไปเถอะ ของอย่างนี้มันไม่มีอะไรผิดหรือถูกหรอก”

“ไอ้คนง่ายๆ อย่างเรามันกระจอกมากเลยใช่ไหมอาโต คนเราถ้าจะสง่างาม หรือยิ่งใหญ่ได้ มันต้องยอมตายเพื่อแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรืออาโต”

“แล้วแต่มุมมอง อย่าคิดอะไรมาก จะตายแบบกระจอกๆ แบบผู้ชายอย่างเรา หรือจะตายแบบไหน ขอให้แค่ก่อนตายเราได้ทำอะไรเพื่อแผ่นดินที่เราเกิดเอาไว้บ้าง เราภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาภาคภูมิใจอะไรกับเราหรอก ถามตัวเองในแต่ละวันว่ามีความสุขไหม รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองไหม แค่นี้ก็พอแล้ว”

“ครับ”

พวกเขายิ้มให้กัน

ก่อนหน้านี้ผมเห็นโตเป็นไอ้หนุ่มใสซื่ออายุห้าสิบ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาอาจจะเหมือนสมัยเด็กอยู่มาก แต่เขาก็โตขึ้นมาก เวลาเล่นเขาก็เล่น เวลาเอาจริงเขาก็ทำตัวได้น่านับถือ

ตอนนี้ผมสงสัยว่า คนที่ถูกโตเลี้ยงดูมาอย่างแฟนต้าจะมีความคิดเรื่องนี้อย่างไรบ้างนะ

 



Don`t copy text!