ชมา 5 ชีวิต บทที่ 9.2 : แรงปรารถนา

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 9.2 : แรงปรารถนา

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

หลังจากเล่นกับสายไฟที่ไม่มีวันจับได้จนเหนื่อย ผมก็ก้มลงล้างหน้าแล้วออกวิ่งหาเป้ตามความตั้งใจมาตั้งแต่แรก แต่การมองหาใครสักคนของแมว มันไม่ได้ล็อคเป้าแบบพวกหมา ผมก็แค่เดินไปตามทาง แวะทำธุระส่วนตัวอย่างเช่นไล่จับตั๊กแตน ปีนขึ้นไปดูรังนกบนต้นไม้ และอาจจะเผลอเดินออกนอกเส้นทางเพราะดันได้กลิ่นหนูหรือสัตว์เล็กๆ บางอย่าง    แต่ในที่สุดผมก็ไปเจอเป้กำลังสาธิตการทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง ให้นักท่องเที่ยวที่มาศึกษาดูงานฟังอยู่ มีไอ้โฟกัสนอนหมอบลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ ไม่มีคนอื่นอย่างเช่นบุญรออยู่ในนั้นด้วยเหมือนทุกครั้ง

ใต้เพิงเตี้ยมุงใบตองตึง ซึ่งใช้เป็นที่กองปุ๋ยหมัก เป้สวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเอี๊ยมยีนตัวเก่ง มือหนึ่งจับคราดอันโต อีกมือหนึ่งโบกไปมา อธิบายวิธีการทำปุ๋ยหมักด้วยท่าทีเกือบจะสบาย คือถ้าโตมีความเป็นกันเองหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เป้ก็กำลังพยายามและทำได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของโตแล้ว

“เราจะทำกลางแจ้งก็ได้ หรือจะทำใต้ชายคาก็ได้ แต่ใต้ชายคามีข้อดีคือไม่ต้องรดน้ำบ่อย”

เขาอธิบายว่าพื้นที่ใต้ชายคานั้นช่วยเก็บความชื้นให้กองปุ๋ยหมักได้ดีกว่ากลางแจ้ง พร้อมอธิบายต่อไปว่าการที่หลังคาของที่นี่ใช้ใบตองตึงเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นของที่หาได้ในพื้นที่

“เราไม่ต้องขนส่ง ไม่ต้องลงทุน เป็นของที่ได้มาฟรีๆ แค่เก็บเอามาเท่านั้น” เป้ชี้ไปที่ต้นพลวงซึ่งคนท้องถิ่นเรียกต้นตองตึง มันมีใบใหญ่ยักษ์เหมือนใบสัก คลุมแมวได้ทั้งตัว

เขาว่าต่อ “ถ้าพื้นที่ของเรามีหญ้าคาก็ใช้หญ้าคา หรือรื้อบ้านแล้วมีสังกะสีหรือกระเบื้องเก่าใช้ก็เอามามุงหลังคาได้นะครับ ไม่ได้มีผลต่อกองปุ๋ย”

“แล้วมีผลต่อใจไหมคะอาจารย์” สาวคนหนึ่งตะโกนถามไอ้โหดเป้ หล่อนช่างกล้า…

“ไม่มีหรอก” หญิงร่างหนา ดูทรงภูมิและสูงวัยกว่าทุกคนมองลอดแว่นกรอบสีแดงไปยังต้นเสียงที่ตะโกนแซว

“แต่อาจจะมีผลต่อเกรด ถ้าไม่ตั้งใจฟัง” ประโยคเข้มๆ นั่นสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็กหนุ่มสาวที่ล้อมอยู่ครืนใหญ่

ผมมองหาฟ้าใส แรกทีเดียวผมคิดว่าพวกเขาอาจจะงอนกันอยู่ และฟ้าใสไม่น่าจะอยู่ในบริเวณนั้น แต่ผมก็คิดผิด สองสามนาทีต่อมาฟ้าใสในเชิ้ตสีอ่อน กางเกงยีนส์ สวมบูตสูงถึงเข่า ก็เดินถือกรรไกรและจอบเข้ามาช่วยเป้ทลายกองปุ๋ยในวงตาข่าย

การปรากฏตัวของเธอนอกจากจะทำให้เป้ตาโตขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ทำให้เกิดเสียงซุบๆ ซิบๆ ขึ้นในหมู่สาวๆ ภาพที่พวกเขาเห็นคงไม่ต่างจากแมวสายพันธุ์เดียวกับเป้ทว่าเป็นตัวเมียปรากฏกายขึ้น

หลังจากยืนเงอะงะเล็กน้อย เป้ก็ย่อตัวลงข้างกองปุ๋ยที่ฟ้าใสเอาตาข่ายพลาสติกออกแล้ว เขาจับปุ๋ยหมักขึ้นมาด้วยมือเปล่าแล้วขยี้เบาๆ

“ปุ๋ยกองนี้ไม่มีความร้อนแล้ว ตาข่ายพลาสติกช่วยระบายอากาศ และทำให้เราสามารถรดน้ำได้ง่ายขึ้น จนไม่ต้องกลับกองปุ๋ย ทำแค่เดือนเดียวเราก็สามารถเอาไปใช้กับพืชได้แล้ว” เป้ว่าพลางดมปุ๋ยในมือ มีเสียงสาวๆ ร้องด้วยความลุ้นมากกว่ารังเกียจ

เป้ว่าต่อ “มันไม่มีกลิ่นเหม็นแล้ว ตอนนี้กลิ่นมันคล้ายดิน มาครับ ลองมาจับดู”

เขาเชิญชวน หญิงสูงวัยกว่าผู้อื่นเดินเข้าไปจับและดมเป็นคนแรก แล้วตามด้วยเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ

ตอนนี้เป็นช่วงท้ายของรายการศึกษาดูงานเพราะเย็นมากแล้ว ผมดูพวกเขาอยู่ได้ไม่นาน ทุกอย่างก็จบลง

เป้เดินไปส่งแขก บอกลาคณะที่มาดูงาน ผมเดาว่าคนที่เป้คุยอยู่ด้วยน่าจะเป็นพวกอาจารย์ ส่วนวงนอกเป็นนักศึกษา พวกเขาใส่เสื้อยืดเหมือนๆ กัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ใกล้เคียงกัน

พวกอาจารย์บอกกับเป้ว่า ไม่คิดว่าการทำเกษตรจะง่ายอย่างนี้ แม้แต่หญ้าก็มีประโยชน์ เพราะช่วยรักษาความชื้นของดินได้

ระหว่างการร่ำลาผมเดินเฉียดเข้าไปกลางวง เป้ฉวยผมขึ้นมาหนีบเอาไว้ พวกนักศึกษาสาวๆ กรี๊ดกร๊าดเบาๆ ว่าแมวน่ารัก ไม่รู้ไอ้โฟกัสมันเข้าใจคำพูดพวกนั้นหรือเปล่า มันเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการกระโดดใส่เป้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งมันจริงๆ สาบานได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณ ผมซึ่งโดนหนีบอยู่ข้างเอวเป้ เลยเผลอกางเล็บตะปบบนจมูกมันไปทีหนึ่ง ไอ้โฟกัสร้องลั่นเหมือนโดนเชือดคอ

ฟ้าใสเข้าไปโอ๋มัน รวมถึงกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงพวกนั้นด้วย

 

เมื่อส่งแขกจนกลับไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงเป้และฟ้าใส พวกเขาจะแกล้งลืมเรื่องที่เถียงกันเมื่อวานก็ได้ แต่ฟ้าใสก็เหมือนเดิม เธอมองโลกเป็นสองโทน คือขาวและดำ ถ้าเธอยังมีเรื่องค้างคาใจฟ้าใสจึงไม่เคยปล่อยผ่าน

ฟ้าใส่เริ่มบทสนทนาครั้งนี้ขึ้นมาก่อน

“ไม่ว่ายังไงเราก็จะช่วยแฟนต้าต่อไปนะ” เธอพูดขึ้น ก้มหน้ามองพื้น น้ำเสียงไม่ได้แข็งกร้าว ผมว่าคล้ายเป็นคำขออนุญาตเสียมากกว่า

“ฮือ…” เป้ส่งเสียงรับ “เธอเองก็รู้ทุกเรื่องแล้วนี่…” เป้ขมวดคิ้วพูด ตอนนี้เขาวางผมลงบนพื้นแล้ว

“เป้…” ฟ้าใสถอนหายใจ “บางทีนะ พวกเราอาจจะคิดมากกันไปเอง พี่โอก็แค่ขอเวลาเท่านั้น ก่อนหน้านี้เป้ก็เห็นนี่ พี่โอรักพี่โตจะตายไป แล้วกับหมอเบญพวกเขาก็สนิทใจกัน เป็นเพื่อนกัน เรื่องมันอาจจะไม่ได้น่ากังวลขนาดนั้นก็ได้”

ผมตั้งใจฟัง ดูเหมือนเรื่องที่ฟ้าใสกำลังพูดจะเป็นประเด็นใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลงหรือไม่แปลงเพศของแฟนต้าเสียแล้ว

“เชื่อแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“ถ้าฉันบอกว่ายินดีจะเชื่อล่ะ”

ทั้งคู่จ้องตากันพักใหญ่ ก่อนที่เป้จะพยักหน้ายอมแพ้ ฟ้าใสใช้โอกาสนั้นประชิดตัวเขาพูดอย่างปลอบโยน

“ถ้าไม่สบายใจ พวกเรามาช่วยพี่โตกันไหมล่ะ”

เป้มองหน้าขอคำตอบ

“เวลาที่พี่โอพาแฟนต้าไปหาหมอฉันจะไปเป็นเพื่อนทุกครั้ง หรือถ้าเป็นไปได้ฉันจะอาสาไปเป็นเพื่อนแฟนต้าเอง”

“อาโอไม่ยอมหรอก”

“ทำไมถึงจะไม่ยอมล่ะ”

“เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ แม่ที่ไหนจะปล่อยให้เธอไปตามลำพังกับลูกเขา สำหรับอาโอ ถึงต้าจะไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก”

“นั่นแหละคำตอบ” ฟ้าใสยิ้มกริ่ม “เพราะคนเป็นแม่ไม่มีวันหาผลประโยชน์จากลูก ดังนั้นที่อาโอสนับสนุนแฟนต้าก็เพราะต้องการดูแลอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ทำไปเพราะหวังว่าจะได้ออกไปหาอาเบญของเป้หรอก”

“แล้วถ้ามันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้ประโยชน์ทั้งสองทางล่ะ” เป้ว่า…ฟ้าใสหน้าเจื่อน

ดูเหมือนเธอจะไม่เคยคิดประเด็นนี้มาก่อนหน้านี้

 



Don`t copy text!