คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 7 : เดบิ้วต์แล้วก็ต้องไปต่อให้สุดสิเจ้าคะ

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 7 : เดบิ้วต์แล้วก็ต้องไปต่อให้สุดสิเจ้าคะ

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!\

ขุ่นพระ !

ดาราเรศยกมือขึ้นทาบอก พยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้สามีเห็น ที่ลงทุนไปประกาศตัวกลางพระนครได้ผลแล้ว อย่างน้อยๆตอนนี้ออกญาผู้มีชื่อที่จำได้ยาก…เจ้านายของคุณหลวงเข้มก็รู้เรื่องที่เขาแต่งงาน แถมยังสั่งให้ออกหลวงหนุ่มพาหล่อนไปพบอีกด้วย

เวิร์คอะ !

เอาละ ขั้นตอนต่อไปก็คือเตรียมตัวให้พร้อม

First impression หรือความประทับใจแรกพบเป็นเรื่องสำคัญ พรุ่งนี้เธอจะต้องดูดีเป็นที่น่าประทับใจ และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อที่ออกหลวงกำแหงฤทธิรณจะได้ไม่เสียหน้าด้วย

ดังนั้น ตลอดทั้งวัน แม่หญิงดาราจึงเตรียมความพร้อมด้วยการอบผิวด้วยสมุนไพร น้ำผึ้งและเกสรดอกไม้หอม รวมถึงทำครีมบำรุงแบบง่ายๆจากมวลดอกไม้ที่มีอยู่ในสวน แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าว ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาสงสัยของเรือนใหญ่ไปได้

คุณหญิงแป้นส่งนังเจียมมาด้อมๆมองๆ หากทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าคาบข่าวกลับไปรายงาน

สืบหล่อนได้ หล่อนก็สืบพวกเรือนใหญ่ได้เช่นกัน ดาราเรศให้แหวนไปสอดแนมจนรู้ว่า นอกจากแม่ใจและแม่บัวแล้ว ที่เรือนหลังใหญ่วันนี้ยังมีแม่แก้วอยู่อีกคน งานศพคุณหญิงกลอยผ่านไปเรียบร้อยแล้ว แม่แก้วมีเวลาเลยแวะมาหาคุณหญิงแป้นเพื่อเอาอกเอาใจ รวมถึงมาหยั่งเชิงว่าเรื่องราวระหว่างคุณหลวงเข้มและเมียแต่งของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เดี๋ยวก่อน…ฝากไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง ขอฉันเคลียร์เรื่องเร่งด่วนอื่นๆให้เรียบร้อยเสียก่อน ค่อยมาเช็คบิลพวกหล่อนทีหลัง

การอบตัวให้ผิวพรรณงดงามสดชื่นนั้นต้องใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากเจ้าของร่างเดิมของเธอไม่เคยบำรุงอะไรเลย ผิวพรรณผมเผ้าจึงออกจะหยาบกร้าน ดวงหน้าสวยหวานเริ่มจะมีริ้วรอยทั้งที่อายุยังไม่มาก  นับเป็นโชคดีที่ดาราเรศกับเพื่อนกำลังเตรียมจะเปิดคลินิกเสริมความงามด้วยกัน เลยค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรไทยเพื่อนำความรู้มาใช้ องค์ความรู้ที่เธอและแพทย์หญิงศศิกานต์ศึกษามานั้น มีมากพอที่ดาราเรศจะหยิบฉวยเอามาใช้ในยามจำเป็น

เธอสั่งให้พวกบ่าวสร้างกระโจมสำหรับอบไอน้ำขึ้นมาที่ชานด้านหลังเรือน ระหว่างที่รอให้ละอองไอน้ำซึมซาบเข้าไปในผิว ดาราเรศไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ เธอสั่งให้แหวนไปหาซื้อขาหมู และนำไปเคี่ยวเตรียมทำขาหมูพะโล้ เพื่อจะนำไปฝากออกญานคเรศฤๅไชยกับคุณหญิงกระต่ายให้กินเป็นอาหารค่ำวันนี้

ตอนที่ออกหลวงหนุ่มกลับมาบ้าน กลิ่นหอมของมวลดอกไม้และกลิ่นของขาหมูพะโล้ตีกันอีรุงตุงนัง หอมทั้งดอกไม้ หอมทั้งอาหาร ออกหลวงกำแหงฤทธิรณทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ได้กลิ่นอาหารหอมๆทำให้รูสึกหิวจนท้องร้องจ็อก แม่หญิงดาราเหมือนรู้ใจ เธอสั่งให้แหวนเตรียมข้าวและขาหมูไว้รอท่า ตอนแรกเขาก็ไม่กล้ากิน เพราะอาหารที่เมียของทำหน้าตาดูแปลกประหลาด แต่ครั้นพอได้ชิมเข้าไปคำหนึ่งก็กลับหยุดไม่ได้ ต้องตักกินจนหมดชามโดยไม่รู้ตัว

“แม่หญิงสั่งให้พอก่อนเจ้าค่ะ” แหวนส่ายหน้า เมื่อคุณหลวงร้องขอเติมข้าวเพิ่มอีกหนึ่งชาม “ประเดี๋ยวไปเรือนท่านเจ้าคุณ คุณหลวงจะอิ่มจนกินอะไรไม่ลง จะดูไม่งามนะเจ้าคะ”

“ขาหมูพะโล้ของแม่ดาราอร่อยมาก” เขาพึมพำ

“แม่หญิงเตรียมเอาไปฝากท่านเจ้าคุณด้วยเจ้าค่ะ” แหวนรีบรายงาน “คุณหลวงไปกินต่อที่เรือนโน้นก็ได้”

“แล้วแม่ดาราไปไหนเสียล่ะ…ไม่ได้คิดถึงอะไรหรอกนะ ฉันกลัวว่าจะไปช้าต่างหาก” ออกหลวงหนุ่มรีบออกตัว

“แต่งตัวอยู่บนเรือนเจ้าค่ะ” แหวนบอก “โน่นไงเจ้าคะ…มาโน่นแล้ว”

กลิ่นหอมบนเรือนกายของแม่หญิงดาราลอยมาก่อนตัว เมื่อออกหลวงกำแหงฤทธิรณหันไปก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง

แม่หญิงดาราวันนี้นุ่งซิ่นสีเรียบยาวกรอมเท้า ห่มสไบสีกลีบบัว เกล้าผมมุ่นไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นลำคอระหง เครื่องประดับกายมีเพียงปิ่นทองคำปักมวยผมแค่อันเดียว

เรียบง่าย แต่สง่างาม !

…ตะลึงไปเลยสิเจ้าคะคุณหลวง…ดาราเรศแอบคิดในใจ…

แหงละ ก็หล่อนเคยเห็นในละครพีเรียด ที่นางเอกแต่งตัวเว่อร์วัง ประโคมใส่เครื่องประดับจนเต็มตัวราวกับจะไปเล่นลิเก เห็นแค่นั้นก็รู้แล้วว่านั่นคือความผิดพลาดอย่างแรง คนสวยไม่สมควรประโคมเครื่องประดับมากจนเกินไป แสงวิบวับของอัญมณีและทองหยองนอกจากจะแย่งความสนใจของผู้คนแล้ว ยังกลบความงามตามธรรมชาติของผู้สวมใส่อีกด้วย สู้แต่งกายเรียบๆ ใช้เครื่องประดับน้อยชิ้นแบบนี้จะดีกว่า แล้วสีหน้าตกตะลึงของออกหลวงหนุ่มก็เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง

“มะ…แม่ดารา…” เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก “พร้อมจะไปกันหรือยัง”

“พร้อมเจ้าค่ะ” ดารายิ้มอ่อนโยนให้สามี อยุธยาคิ้วต์บอยยังจ้องมองหล่อนไม่ละสายตา “ว่าแต่คุณพี่เพิ่งกลับเรือน จะไม่ผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่เสียก่อนหรือเจ้าคะ”

“อ้อ…ใช่ ลืมไปเลย” ออกหลวงหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะด้วยท่าทางขัดเขิน “แม่ดารารอประเดี๋ยว…ฉันขออาบน้ำผลัดเสื้อผ้าก่อน”

เขานิ่วหน้าด้วยความขัดใจ ไม่รู้ว่าสองสามวันนี้ตัวเองเป็นอะไรไป เหตุใดเวลาที่อยู่ต่อหน้าแม่ดาราแล้วได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสนอกสนใจ อยากพูดอยากเอ่ยอะไร ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ พูดไม่ออกสักที

เมื่อออกหลวงหนุ่มกลับออกมาอีกครั้งหนึ่งนั้น ถึงคราวที่ดาราเรศจะเป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง ด้วยเขาสวมเสื้อผ้าป่านสีขาวคอกลมดูน่าสบาย นุ่งโจงสีเข้มเช่นเดียกันกับเธอ ที่กล้ามแขนนั่นสิ ดูแข็งแกร่ง เข้ากันดีกับกล้ามอกหนั่นหนา และดวงหน้าคร้ามคมสัน แม้ดาราเรศจะเคยเห็นผู้ชายหล่อๆมามากต่อมาก สำหรับอยุธยาคิ้วต์บอยคนนี้เธอยกให้ชนะเลิศหนุ่มหล่อทุกคนที่เธอเคยรู้จัก !

“ฮะแอ้ม” ออกหลวงกระแอม “ไปกันหรือยัง”

“ไปเจ้าค่ะ” แม่หญิงดาราสะดุ้ง มือของเธอถือหม้อดินเผาใบใหญ่ ภายในบรรจุขาหมูพะโล้ที่เคี่ยวจนได้ที่ นำติดตัวไปด้วย

เรือนของออกญานคเรศฤๅไชยอยู่แถวหัวรอ คุณหลวงพายเรือจากเรือนของตัวเอง พาแม่ดาราเลี้ยวลัดเลาะไปด้วยความชำนาญ เนื่องจากเป็นการไปพบกับเจ้านายเป็นการส่วนตัว เขาจึงเลือกที่จะพายเรือพาเมียไปเอง ไม่ได้ใช้ทนายหน้าหอเป็นคนพายให้เหมือนทุกครั้ง แต่เพื่อความไม่ประมาท ออกหลวงเข้มจึงถือดาบประจำกายติดตัวไปด้วย

ตะวันใกล้พลบ บ้านเรือนสองข้างฝั่งคลองจุดไฟสว่างวอมแวม ดาราเรศกวาดสายตามองไปรอบๆกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ พอจะจำบทเรียนประวัติศาสตร์ได้นิดหน่อยว่าอยุธยาใช้ลำคลองเป็นเส้นทางสัญจรหลัก  บ้านเรือนส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นเรือนแพ ก็มักปลูกเป็นเรือนไทยใต้ถุนสูงอยู่ริมน้ำ อยุธยามีลำคลองน้ำใสมากมายจนฝรั่งให้สมญานามว่าเป็นเวนิสตะวันออก ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ พาให้ตื่นตาตื่นใจ และรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย

จังหวะที่จะเลี้ยวจากคลองสาขาออกสู่คลองใหญ่นั่นเอง มีเรือลำหนึ่งพายสวนมาอย่างรวดเร็ว ปาดหน้าเรือของเธอที่กำลังจะพุ่งออกไป ออกหลวงหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบวาดท้ายเรือหลบด้วยความชำนาญ เรือเอียงวูบและดาราเรศตกใจจนเกือบทำหม้อดินในมือตก

“เป็นอะไรหรือเปล่าแม่ดารา” ออกหลวงหนุ่มร้องถามด้วยความเป้นห่วง เขาหันไปทางเรือลำดังกล่าวและตวาดว่า “พายประสาอะไรวะ…ไม่เห็นเรือคนอื่นหรืออย่างไร”

“เอ้ก-คุส-เซีย-ทู-เมจ – Excuseert u mij” คนบนเรือลำนั้นตะโกนตอบมา พ้อมกับยกมือขึ้นสูงเป็นทำนองขอโทษ

“อุ๊ย” เธอเบิกตากว้าง จ้องมองคนบนเรือที่สวนมาด้วยความสนใจ “คนฮอลันดาหรือเจ้าคะ”

เธอรู้จักคำนั้น

Excuseert u mij คือคำขอโทษในภาษาฮอลันดา

ที่รู้เพราะตอนอยู่ชั้นม.หก ดาราเรศเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนหนังสือที่อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเนเธอแลนด์เป็นเวลาหนึ่งปี แม้จะพูดภาษาดัตช์ได้ไม่คล่องเท่าเจ้าของภาษา แต่ก็สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี

“ฮอลันดาอะไร” ออกหลวงหนุ่มนิ่วหน้า “วิลันดาต่างหาก”

“วิลันดา” ดาราเรศฟังแล้วถึงกับหัวเราะคิก “เจ้าค่ะ…วิลันดาก็วิลันดา”

เธอยังชะเง้อมองฝรั่งหนุ่มหน้าตาเข้มคม ผมสีทอง ตาสีฟ้า หน้าสะอาดสะอ้านปราศจากหนวดเครา…หล่อเหมือนกันนะนั่น…

ฝรั่งคนนั้นก็คงจะห็นเธอเช่นกัน สายตาของเขาจึงมองมาด้วยความสนใจ จนออกหลวงหนุ่มไม่พอใจ

“มองอะไรอยู่ได้” เขาเอ็ด

“มองนกมองไม้เจ้าค่ะ” ดาราแก้ตัว

“มองวิลันดาก็ไม่ว่า” เขารู้ทัน

“มองแล้วทำไมเจ้าคะ” แม่หญิงดาราเลิกคิ้ว

“หล่อนเป็นหญิง ไปเที่ยวมองบุรุษแบบนั้นได้อย่างไร” เขานิ่วหน้า

“เค้าออกจะรูปงาม” ดาราเรศป้องปากหัวเราะ

“หน้าไม่อาย” เขาเอ้ด “หล่อนมีผัวแล้วนะแม่ดารา”

“ผัวอะไร” แม่หญิงดารายักไหล่ “คุณพี่รู้อยู่แก่ใจว่า ว่าเรายังไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงๆ สักหน่อย”

“ฉัน…เอ้อ…” หลายเป็นเขาที่หนาแดงเสียเอง

“ว่าแต่ที่อยุธยา มีพวกวิลันดาอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ” ดาราเรศรีบเปลี่ยนเรื่อง หล่อนอยากรู้จริงๆ การได้เห็นชาวฮอลันดาในแผ่นดินอยุธยาเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก

“มีสิ…พวกวิลันดามาติดต่อกับเราได้หลายปีแล้ว” เขาเรียกโปรตุเกสว่าพุทธเกศ อย่างที่คนอยุธยานิยม “เมืองของพวกนี้อยู่ไกลโพ้น ได้ยินว่าเมืองอยู่ริมทะเล แล่นเรือมาทำการค้ากับพ่ออยู่หัว แล้วเลยขอสวามิภักดิ์อยู่เป็นข้ารับใช้ พวกเขามีอาวุธทันสมัยเช่นปืนไฟ เมื่ออยุธยามีอาวุธพวกนั้นในกองทัพ ทำให้พวกเราไม่ต้องกลัวพวกพม่าอีกต่อไป”

“แล้วที่อยุธยา มีชาวต่างชาติอื่นๆอีกไหมเจ้าคะ” หล่อนถามต่อ

“มีสิ” คณหลวงเข้มพยักหน้า “พวกญี่ปุ่น”

“ญี่ปุ่น…โอว…” ชักสนุกละ มีคนอยู่กันหลายชาติหลายภาษาเหลือเกิน

“สองพวกนี้ไม่ถูกกันนักหรอกนะ” เขาว่า “เอาไว้วันหน้าจะเล่าให้ฟัง”

คุยถึงตรงนี้ ออกหลวงหนุ่มก็พาเธอมาถึงเรือนเจ้านายของเขาพอดี

เรือนของออกญานคเรศฤๅไชยตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก มีอาณาเขตใหญ่โตกว้างขวาง คุณหลวงเข้มวาดหัวเรือไปจอดที่ท่าน้ำ มีบ่าวของท่านเจ้าคุณรอรับอยู่แล้ว

“ท่านเจ้าคุณรออยู่บนเรือนแล้ว ตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ”

บ่าวสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินนำทางจากศาลาท่าน้ำมุ่งสู่เรือนหลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาอันร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่ ทางเดินจากศาลาปูด้วยอิฐเป็นระเบียบ สองข้างทางมีไต้ตามเอาไว้ให้แสงสว่าง เมื่อก้าวขึ้นไปบนเรือนดาราเรศก็ได้กลิ่นหอมที่เธอคุ้นจมูก

ท่านเจ้าคุณกับภริยานั่งรออยู่แล้ว ดวงตาของออกญานคเรศฤๅไชยที่มองตรงมานั้นดูเคร่งครัดเจ้าระเบียบ ขณะที่สายตาของคุณหญิงกระต่ายเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ และกรุ่นหอมที่อวลอยู่ในอณูอากาศนั้น ดาราเรศรู้แล้วว่าเป็นกลิ่นของน้ำปรุงที่เธอทำไปแจกที่ป่าผ้านั่นเอง

คุณหลวงเข้มก้มลงกราบผู้เป็นนายเพื่อแสดงความเคารพ ดาราเรศทำตามด้วยกิริยานอบน้อม เธอฝึกซ้อมกราบกับนังแหวนมาแล้วหลายเที่ยว เพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรผิดพลาดให้สามีขายหน้า

“ต๊าย…น่าเอ็นดู” คุณหญิงกระต่ายหลุดปากอุทาน เมื่อเห็นดวงหน้าของแม่หญิงดาราได้ถนัด “มีเมียสวยน่ารัก แถมยังเก่ง มีฝีมือทำน้ำปรุงดีขนาดนี้ ทำไมไม่พามาให้ฉันรู้จัก”

“คุณหญิงใช้นำปรุงของดิฉันด้วยหรือเจ้าคะ” ดวงตาของแม่ดาราเบิกกว้าง ขณะที่ออกหลวงหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าคุณหญิงกระต่ายกับเมียของเขากำลังพูดอะไรกัน

“ก็นังจำปีต้นห้องของฉันนะสิ เมื่อวานแวะไปซื้อของที่ป่าผ้ามา ก็เลยทันได้เห็นหล่อนกำลังประกาศตัวอยู่กลางป่าผ้าว่าเป็นเมียของพ่อเข้ม แล้วเลยได้น้ำปรุงที่หล่อนทำ ติดมือมาฝากฉันด้วยขวดนึง” ดูท่าทางแล้ว คุณหญิงกระต่ายเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาไม่ใช่น้อย “ว่าแต่เรื่องแต่งงานนี่…มันเป็นยังไงมายังไงกันแน่”

“นั่นสิ เจ้าแอบข้าไปแต่งงานตั้งแต่เมื่อไร…พ่อเข้ม” เจ้านายของเขาถามเสียงเข้ม หากดวงตาไม่ได้ดุดันเหมือนน้ำเสียง

“กระผม…เอ้อ…กระผมแต่งงานกับแม่ดาราได้เกือบปีแล้วขอรับ” เขาตอบเสียงอุบอิบในลำคอ

“เกือบปีแล้ว…อุบ๊ะ นี่เอ็งเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร จึงไม่บอกไม่กล่าวให้รู้บ้าง” ท่านเจ้าคุณว่า

“คือ…เอ้อ…” คุณหลวงเข้มอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร หากท่านเจ้าคุณไม่รอฟังคำตอบ เพราะท่านสั่งให้ดาราเงยหน้าขึ้นมาให้ดู พร้อมกับถามว่า “ไหน…เงยหน้าให้ข้าดูหน่อยสิ ได้ยินว่าเจ้าเป็นธิดาเจ้าคุณโชดึกใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ” ดาราตอบสั้นๆ

“อือม…ข้าเองก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเจ้าคุณโชดึกยังมีธิดาอยู่อีกคน…ที่แท้ก็คือเจ้า” ท่านเจ้าคุณนคเรศฯ หันไปทางคุณหญิงกระต่าย สายตาของผู้สูงวัยทั้งสองจ้องมองแม่หญิงดาราด้วยความเอ็นดู “ข้าเคยเห็นแต่แม่ดวงจันทร์กับแม่เดือน ว่าแต่…เจ้าชื่ออะไร”

“ชื่อดาราเจ้าค่ะ ส่วนแม่ดวงจันทร์และแม่เดือน…สองคนนั้นเป็นน้องสาวต่างมารดาของดิฉันเจ้าค่ะ” ดาราได้โอกาสเล่า

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็เป็นลูกสาวของแม่ช่วงสินะ มิน่าล่ะ หน้าตาจึงมีเค้าสวยงามเหมือนกัน” คุณหญิงกระต่ายนึกออก “ถึงแม้ว่าแม่ช่วงกับฉันจะเป็นข้าหลวงคนละตำหนักกัน แต่ก็พอจะเคยเห็นหน้ากันอยู่บ้าง แม่ช่วงลาออกมาแต่งงานก่อนฉัน ส่วนฉันอยู่รับใช้เจ้านายต่อมาอีกหลายปี ครั้นพอแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ก็ย้ายไปอยู่หัวเมืองเหนือ ย้ายกลับมาพระนครอีกทีก็รู้ข่าวว่าแม่ช่วงตายไปเสียแล้ว ส่วนเรื่องบุตรสาวนั้น ฉันไม่เคยรู้เลยว่าแม่ช่วงมีบุตรสาวกับเขาด้วย”

“เจ้าคุณพ่อยกดิฉันให้คุณแม่เนียนดูแลเจ้าค่ะ…คุณแม่เนียนคงจะยุ่งอยู่แต่กับน้องดวงจันทร์และน้องเดือน เลยไม่เคยอนุญาตให้ดิฉันออกจากเรือนไปไหน”

ดาราเรศแกล้งทำเสียงให้น่าสงสาร เธอรู้สึกถูกชะตากับคุณหญิงกระต่ายขึ้นมาทันใด หน้าตาคุณหญิงใจดีเหมือนแม่ของเธอ พอคิดไปถึงแม่…ดาราเรศอดน้ำตาไหลไม่ได้ ในภพปัจจุบันเธอถูกฆ่าตายเสียแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง

“โถ โถ” คุณหญิงกระต่ายเข้าใจไปอีกทาง “พูดถึงแม่เลยพานน้ำหูน้ำตาไหล…มา มา…ฉันไม่มีลูกสาว หล่อนมาเป็นลูกสาวฉันได้นะแม่ดารา”

คุณหญิงกระต่ายกวักมือเรียกให้ดาราเรศเข้ามาใกล้ๆ พอเธอขยับกายไปใกล้ คุณหญิงกระต่ายก็กอดเธออย่างรักใคร่

“ที่ไม่มีใครรู้เรื่องแต่งงาน คงเป็นแผนการของแม่เนียนสินะ” คุณหญิงกระต่ายพูดเองเออเอง แม่ดาราลอบสบตากับคุณหลวงเข้ม แล้วขยิบตาให้เขา เป็นทำนองให้ทำทีเป็นเออออไปตามน้ำ จะได้ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายท่านเจ้าคุณ “แม่เนียน…เมียใหม่ของเจ้าคุณโชดึกคงรังแครังคัดหล่อนใช่ไหม ลูกเมียเก่าแต่งงานทั้งที เลยไม่ยอมให้บอกกล่าวให้ผู้ใดรู้เลย…โถ โถ…”

“ท่านคุณโชดึกก็เหลือเกิน” ท่านเจ้าคุณนคเรศฯส่ายหน้า “ลูกสาวทั้งคน ทำเหมือนไม่มีตัวตน”

“ไม่เอาละ มัวคุยเรื่องนี้กันอยู่ทำไม คุยเรื่องอื่นดีกว่า” คุณหญิงกระต่ายเห็นสีหน้าหม่นเศร้าของแม่ดาราแล้วเลยชวนทุกคนให้เปลี่ยนเรื่องสนทนาเสียใหม่ “นั่นแม่เอาอะไรมาด้วยจ๊ะ”

“อ๋อ” ดารายิ้มกว้าง “ขาหมูพะโล้เจ้าค่ะ”

“ขาหมู” คุณหญิงกระต่ายทำหน้าประหลาดใจ “กินได้ด้วยหรือ”

“ได้เจ้าค่ะ” ดารารีบยืนยัน “อร่อยมากๆ…ดิฉันลองเอามาเคี่ยวทำพะโล้ แล้วเลยนำมาด้วย อยากให้คุณหญิงลองกินดูน่ะเจ้าค่ะ”

“ก็ได้ ถ้าหล่อนยืนยันเช่นนั้น…ฉันจะลองชิมดูสักหน่อย” คุณหญิงกระต่ายหันไปกวักมือเรียกบ่าวที่ยืนคอยรับทางด้านหลัง ให้นำอาหารของแม่ดาราไปจัดเข้าสำรับ

ตอนแรกคุณหญิงกระต่ายก็คิดว่าจะลองชิมเพื่อไม่ให้แม่ดาราเสียน้ำใจ แต่กลับกลายเป็นว่ารสชาติของขาหมูพะโล้อร่อยเสียจนเธอและท่านเจ้าคุณต้องเติมข้าวหลายจาน แม้แต่คุณหลวงเข้มที่รองท้องมาจากบ้านแล้วเมื่อตอนบ่ายยังอดไม่ไหว ต้องกินอีกสองจานจนรู้สึกอิ่มแปล้

“พ่อเข้ม” คุณหญิงกระต่ายหันไปทางชายหนุ่ม ออกคำสั่งราวกับเธอเป็นเจ้านายของเขา “รู้ตัวหรือเปล่าว่าพ่อโชคดีมากแค่ไหน มีเมียเก่งสารพัด ทั้งทำเครื่องหอม ทั้งปรุงอาหาร…ต่อจากนี้ไป พ่อต้องเอาใจใส่เมียให้มากกว่านี้เข้าใจไหม”

“เอ่อ…” เขาเหลือบตามองท่านเจ้าคุณนคเรศฯที่เป็นเจ้านายตัวจริง “ขอรับคุณหญิง”

“ดีมาก” คุณหญิงกระต่ายหัวเราะชอบใจ ก่อนจะสำทับเสียงเข้มว่า “บุรุษที่เชื่อฟังเมีย ย่อมเจริญในหน้าที่การงาน…ใช่ไหมเจ้าคะท่านเจ้าคุณ”

“เอ่อ…” ท่านคุณจะตอบอะไรได้ นอกจาก “จริงจ้ะแม่…”

 



Don`t copy text!