ฤทัยยักษ์ บทที่ 9 : พลพรรคยักษ์วัดโพธิ์

ฤทัยยักษ์ บทที่ 9 : พลพรรคยักษ์วัดโพธิ์

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

เที่ยวบินที่ลินินไปบินในวันนั้นเป็นเที่ยวบินภายในประเทศที่ใช้เวลาไม่นาน ทำให้แอร์โฮสเตสอย่างหล่อนสามารถกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งในช่วงเย็นของวันนั้น

พอลงมาถึงสนามบินปุ๊บ ลินินก็เดินลากกระเป๋า เตรียมตัวที่จะกลับไปคอนโดฯ แต่แล้วหญิงสาวก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงรูปปั้นยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณสนามบิน

หญิงสาวสะดุดตาเขาจากหน้าตาเป็นอันดับแรก ใบหน้าของเขาก็คมเข้มดูดีไม่ใช่เล่น แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนยิ่งแปลกใจก็คือเขาเหมือนกำลังยืนพูดอยู่กับรูปปั้นยักษ์

ผู้ชายคนนั้นคือ มัยราพณ์ เมื่อเขาและเพื่อนยังไม่สามารถตามหาแสงอาทิตย์ได้ จึงตัดสินใจแยกย้ายเพื่อลองไปสอบถามเบาะแสจาก ‘พรรคพวก’ ที่มีรอบๆ เมือง

ขรลองไปหายักษ์ที่ประจำอยู่ตามวัดต่างๆ สัทธาสูรแยกไปหายักษ์แบกเสาบนถนนใจกลางกรุงเทพฯ ก็ไม่มีใครเห็นแสงอาทิตย์

ส่วนมัยราพณ์ เขาลองมาตามที่สนามบิน เผื่อจะเจอเบาะแสว่าแสงอาทิตย์เดินทางไปที่ไหน

“พวกเจ้า…ไม่เห็นเลยเหรอ…ยักษ์ที่ชื่อแสงอาทิตย์”

บรรดารูปปั้นยักษ์ที่ยืนเรียงอยู่นั้นพากันส่ายหน้า มัยราพณ์ถอนหายใจ ท่าทางจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้วกระมัง

แอร์โฮสเตสสาวอย่างลินินตัดสินใจเดินไปหาเขา “ขอโทษนะคะ…คุณหาใครอยู่หรือเปล่าคะ”

มัยราพณ์ชะงัก แต่เมื่อผู้ที่ถามเป็นหญิงสาวสวยที่ท่าทางต้องการมาช่วยเหลืออย่างจริงใจ จึงทำให้เขาตอบไปว่า “ผมมาหาเพื่อน”

“เพื่อนคุณบินไฟลต์ไหนเหรอคะ เดี๋ยวฉันช่วยดูให้”

มัยราพณ์ท่าทางอึกอัก “เอ่อ…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“งั้น…ลองบอกชื่อเพื่อนคุณมาได้มั้ยคะ”

“เพื่อนผมชื่อแสงอาทิตย์”

ลินินมาสะดุดกับชื่อเพื่อนของชายหนุ่มในประโยคสุดท้าย “แสงอาทิตย์เหรอคะ เหมือนคนที่ฉันเพิ่งเจอเลย…ชื่อนี้ ไม่น่าจะมีคนใช้ซ้ำนะคะ”

มัยราพณ์ชะงัก ระงับความตื่นเต้นแทบไม่อยู่ “คนที่คุณว่า…อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

 

ฤทัยมาศมองแสงอาทิตย์อย่างระแวง ตลอดการพูดคุยที่ผ่านมา หล่อนคิดว่าเขาเป็นเพียงคนประหลาด แต่หากว่าเขาเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเธอจริงๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับหล่อนในห้องนี้ก็เป็นคนที่อันตรายอย่างที่สุด

แสงอาทิตย์เองก็ประหลาดใจที่ฤทัยมาศไม่ถามถึงเรื่องราวในอดีตของเขาต่อ เมื่อเห็นว่าหล่อนเงียบไปนาน เขาเองก็เลยรู้สึกว่าควรถึงเวลาที่จะต้องอำลาหล่อนเสียที

“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว…ผมคงต้องขอกลับก่อน”

“เดี๋ยวค่ะ” ฤทัยมาศพูดขึ้นทันใด “ฉันจะไปส่งคุณเอง”

ยักษ์หนุ่มส่ายหน้า หากจะให้หล่อนไปส่งที่วัดโพธิ์ หญิงสาวคงยิ่งสงสัยเขามากขึ้นไปอีก “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้…”

ฤทัยมาศหมดคำพูดที่จะรั้งเขาไว้อีก เมื่อชายหนุ่มกำลังที่จะออกไปจากห้อง ฤทัยมาศจึงตัดสินใจขั้นสุดท้ายไปยืนขวางเขาไว้ที่หน้าประตู

“อย่าเพิ่งไป!”

แสงอาทิตย์ชะงัก ยักษ์หนุ่มงงงันกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของหญิงสาว

“นั่งลงก่อน ฉันมีเรื่องที่ต้องถามคุณ”

แสงอาทิตย์นั่งลงที่เดิมในที่สุด ฤทัยมาศยังคงมองหน้าเขาอย่างหวาดระแวง “คุณบอกฉันว่าคุณไม่รู้เรื่องกับคดีที่เกิดขึ้น…แล้วทำไมถึงมีรูปที่คุณอยู่ที่ตึกของนายสัญชัย”

พญายักษ์ชะงัก จนฤทัยมาศเปิดคลิปในโทรศัพท์มือถือที่บันทึกภาพของเขาขณะที่เข้าไปในตึก แสงอาทิตย์จึงรู้ว่าเขาหมดข้อที่จะแก้ตัวกับฤทัยมาศ

“ใช่…คืนนั้น ผมเข้าไปที่นั่น…ผมเจอกับพ่อของคุณ แต่ผม… ผมไม่ใช่คนที่ฆ่าพ่อของคุณนะฤทัย คุณเชื่อผมเถอะ”

“จะให้ฉันเชื่อคุณงั้นเหรอ” ฤทัยมาศมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า โกรธยิ่งกว่าเดิมที่คำอธิบายของเขาไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นเลย “คุณนั่งอยู่กับฉันทั้งวัน แต่กลับไม่ยอมพูดความจริง บอกมา คุณเป็นใครกันแน่ แล้วคุณเกี่ยวอะไรกับคดีนี้”

แสงอาทิตย์ยังคงนิ่งเงียบ ฤทัยมาศอดทนต่อไปไม่ไหว ตำรวจสาวใช้วิธีการสุดท้าย หยิบปืนพกขึ้นมาเพื่อขู่ให้เขาพูด

“บอกมา! พูดออกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเป็นใคร!”

“ผมบอกคุณไปแล้วฤทัย…” เสียงของชายหนุ่มย้ำช้าชัด “ผมบอกคุณตั้งแต่แรก…ว่าผมชื่อแสงอาทิตย์ ที่ผมรู้ว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับยักษ์ก็เพราะ…ผมคือยักษ์ตนนั้น อาวุธที่ฆาตกรใช้เป็นอาวุธของผมที่ถูกขโมยไป แว่นแก้วสุรกานต์…”

ฤทัยมาศนิ่งอึ้ง แม้จะคิดอยู่บ้างว่าเขาอาจจะเลือกสารภาพเช่นนี้ แต่เรื่องราวทั้งหมดที่หล่อนได้ยินมาจากเขานั้นช่างบ้าบอสิ้นดี

“จะให้เชื่อจริงๆ งั้นเหรอว่าคุณไม่ใช่คน…แต่เป็นยักษ์”

“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อผมมั้ย แต่ผมไม่มีคำอธิบายอื่นนอกจากนี้แล้ว…”

“ได้” ฤทัยมาศยกปืนในกระชับแน่นในมือ อารมณ์ของความโกรธแค้นและเสียใจที่พ่อตายจากไปทำให้หล่อนเลือกที่ทำในสิ่งที่บ้าบอพอกัน “ถ้างั้นก็ลองดูแล้วกันว่าลูกกระสุนนี้จะเจาะทะลุร่างยักษ์อย่างคุณได้หรือเปล่า!”

แสงอาทิตย์ไม่ได้ปัดป้อง เมื่อตำรวจสาวเหนี่ยวไกปืนเล็งมาที่เขา

ก่อนที่เหตุร้ายใดจะเกิดขึ้น ประตูหน้าห้องก็เปิดออก ลินินโผล่หน้าเข้ามา แล้วก็ชะงัก ก่อนร้องกรี๊ดเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวของหล่อนกำลังเล็งปืนไปที่แสงอาทิตย์

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงกรีดร้อง แขกที่มาพร้อมกับลินินก็รีบวิ่งเข้ามา เขาใช้ฝ่ามือแตะเพียงเบาๆ ปืนในมือของหญิงสาวก็ร่วงหล่นไปที่พื้น

ฤทัยมาศหันมามองแขกแปลกหน้า สถานการณ์ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก เมื่อนอกจากแสงอาทิตย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของหล่อนแล้ว ยังมีมัยราพณ์ ขร และสัทธาสูรที่ตามเข้ามา

 

“เชื่อเพื่อนของผมเถอะ…เขาคือยักษ์แสงอาทิตย์จริงๆ”

มัยราพณ์พยายามพูดโน้มน้าวตำรวจสาว ซึ่งแม้ว่าจะเก็บปืนพกไปแล้ว แต่ก็ยังมองพวกเขาอย่างหวาดระแวง

“แล้วพวกคุณคือใคร…”

“ผม…มัยราพณ์ ส่วนนี่ขร พ่อของแสงอาทิตย์ แล้วนั่นก็สัทธาสูร” มัยราพณ์แนะนำยักษ์ทุกตนให้ฤทัยมาศรู้จัก เพื่อให้ตำรวจสาวเชื่อใจเขา “พวกเราทั้งหมดออกมาจากวัดโพธิ์ตามหาแสงอาทิตย์ที่นี่”

ฤทัยมาศนิ่งอึ้ง ลำพังมีผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นยักษ์เพียงคนเดียวก็ว่าประหลาดแล้ว แต่นี่มีคนมาอ้างตัวกับหล่อนว่าเป็นยักษ์ถึงสี่คน เอ้ย สี่ตน

“พวกคุณ…เป็นยักษ์หมดเลยงั้นเหรอ”

มัยราพณ์พยักหน้า สัทธาสูรรีบดึงตัวมัยราพณ์มากระซิบกระซาบอีกทาง “เจ้าคิดเยี่ยงไรถึงได้บอกความลับของเราออกไปแบบนี้”

“ถ้าเราจะสืบคดีในโลกมนุษย์ เราก็ต้องการมนุษย์ที่จะมาเป็นพันธมิตรนะพญาสัทธาสูร” มัยราพณ์อ้างเหตุผล

สัทธาสูรยังคงไม่พอใจ แต่สถานการณ์ก็บีบบังคับให้เขาทำอะไรไม่ได้นัก

ขณะที่ฤทัยมาศยังนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้ เพื่อนสนิทของหล่อนอย่างลินินกลับตื่นเต้นราวกับได้เจอกับคนดังระดับโลก

“ฉันก็ว่าแล้วว่าคุณไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป…เพราะแบบนี้ใช่มั้ย คุณถึงไปยืนคุยกับรูปปั้นยักษ์ที่สนามบินอยู่ตั้งนานสองนาน”

ฤทัยมาศหันมาหาเพื่อน “นี่แกเชื่อที่เขาเล่างั้นเหรอ”

“แก…เรื่องยักษ์ มันมีทั้งในนิทาน ในการ์ตูน ในหนัง แล้วไม่ได้ที่ไทยที่เดียวนะ ฝรั่งก็มี เกาหลี ญี่ปุ่นก็มี ฉันว่ามันก็น่าจะมีความจริงบ้างละ”

สาวจินตนาการสูงอย่างลินินดูจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักนิดกับการเผชิญหน้ากับยักษ์ ฤทัยมาศมองไปทางแสงอาทิตย์ ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขายกมือขึ้นกอดอก ตั้งใจที่จะไม่ยอมสบตามาทางหล่อน

แหม ยักษ์ก็ ‘งอน’ เป็นเหมือนกันนะ

ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมา เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนที่บอกให้คนในห้องออกมา

ยักษ์ทุกตนที่อยู่ในที่นั่นต่างชะงักเมื่อได้ยินเสียงตะโกนนั้น ฤทัยมาศสารภาพออกมาในที่สุด “ฉันเป็นคนบอกตำรวจเองว่าผู้ต้องสงสัยอยู่ที่นี่…เขามาเพื่อจับคุณ”

ประโยคหลัง หญิงสาวหันไปมองหน้าของแสงอาทิตย์ อสูรหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไปกับตำรวจไม่ได้ เรื่องจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ คุณคงไม่คิดว่าเขาจะเชื่อเรื่องที่ผมพูดหรอกใช่มั้ย”

“แล้วคุณจะหนีไปไหนได้” ฤทัยมาศท้วง “ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว…คุณหนีไปไม่ได้หรอก”

แสงอาทิตย์หนุ่มหันไปพยักหน้ากับมัยราพณ์ เพื่อนยักษ์เหมือนจะรู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร ยักษ์ทั้งสี่ตนยืนขึ้นอย่างเตรียมพร้อม ก่อนที่ตำรวจเกือบสิบนายจะพังประตูเข้ามา

หลังจากนั้น ก็เกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ เมื่อตำรวจยกปืนขึ้นมา ยักษ์เฒ่าอย่างขรก็หยิบศรจักรพาลพังขึ้นมาก่อนเล็งศรยิงไปโดนที่แขนของตำรวจคนนั้นจนต้องปล่อยอาวุธให้ร่วงหล่น ขณะที่สัทธาสูรใช้เวทพรหมเรียกอาวุธ ปลดอาวุธที่มีในมือของตำรวจสามสี่คนให้มาลอยมาอยู่ในมือของเขาแทน

ขณะที่ฝ่ายตำรวจกำลังสับสนว่าตนเองต่อสู้กับอะไรกันแน่ มัยราพณ์ก็ใช้กล้องเป่ายาสะกดทัพจนตำรวจเกือบทั้งหมดที่บุกเข้ามาหลับใหลไปในที่สุด ส่วนพวกที่ยังเหลืออยู่ ก็โดนแสงอาทิตย์เสกไฟไปโดนที่เสื้อผ้า จนต้องวิ่งหนีหาที่ดับจนจ้าละหวั่น

ฤทัยมาศมองการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย คงไม่ต้องถามแล้วว่าหล่อนเชื่อหรือไม่ว่าคนทั้งสี่คน หรือเรียกให้ถูกคือ ยักษ์ทั้งสี่ตนเป็นยักษ์จริงๆ หรือไม่ ในเมื่อสิ่งที่แสงอาทิตย์และพรรคพวกทำไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาหน้าไหนจะทำได้

“โอ๊ย นี่มันยิ่งกว่าหนังมาร์เวลอีกนะแก! กัปตันอเมริกาชิดซ้าย ไอรอนแมนชิดขวา” ลินินพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

แสงอาทิตย์หันมามองหน้าหล่อนก่อนเอ่ยปาก “เราต้องไปกันแล้ว…”

“เรางั้นเหรอ” ฤทัยมาศทวนคำอย่างงงัน

“ไปเถอะ” แสงอาทิตย์กล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ผมจะช่วยสืบว่าคนร้ายที่ฆ่าพ่อของคุณคือใคร”

คำพูดนั้นทำให้ฤทัยมาศตัดสินใจที่จะตามบรรดายักษ์ไปในที่สุด ลินินเพื่อนหล่อนร่ำร้องขอตามไปด้วย แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธว่าไม่อยากให้เพื่อนมาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตราย

“แกอยู่ที่นี่แหละ แล้วฉันจะติดต่อมาเอง แล้วฝากแกไปบอกแม่ของฉันด้วยนะว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”

ฤทัยมาศร่ำลาเพื่อนเพียงแค่นั้น ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถเป็นสารถีขับพาบรรดายักษ์ทั้งหลายให้หายลับไปในความมืดของคืนนั้น

 

เมื่อคนหนึ่งคนกับยักษ์สี่ตนต้องมาร่วมกันสืบคดี อะไรๆ ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

บรรดายักษ์ไม่ได้รู้เรื่องราวของโลกภายนอกมากนัก ฤทัยมาศจึงเป็นคนที่เสนอความคิดว่าควรเริ่มจากการไปติดตาม รมณ หรือ เรมี่ แฟนสาวของสัญชัย ซึ่งตอนนี้น่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งในพัทยา

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ไหน” แสงอาทิตย์ถามขึ้น

ฤทัยมาศเองก็จนในคำตอบเหมือนกัน หล่อนยังเป็นแค่มือสมัครเล่นในการสืบสวน มัยราพณ์ที่นิ่งฟังมาตลอดเสนอความคิดขึ้นมา

“ข้าว่ามาร์โคโปโลต้องรู้ เราน่าจะลองไปถามดู”

“เดี๋ยวนะ…มาร์โคโปโลนี่คือใคร ยักษ์อีกตัวงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ยักษ์ เป็นตุ๊กตาหินที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู” แสงอาทิตย์ตอบคำถามหล่อน

“ตุ๊กตาหิน” ฤทัยมาศนิ่งอึ้ง “อยู่กับพวกคุณนี่ ฉันต้องเจออีกกี่เผ่าพันธุ์กัน ฤๅษีดัดตนจะตามมาด้วยมั้ย”

“พวกนั้นก็เป็นเพื่อนผมหมด ถ้าคุณอยากให้พวกฤๅษี หรือสิงโตหินช่วย ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

ฤทัยมาศส่ายหน้าทันที “อย่าดีกว่า กลัวพูดกันไม่รู้เรื่อง”

แสงอาทิตย์ยิ้มขัน “เมื่อก่อน…ไม่เห็นคุณจะกลัวเลย”

“เมื่อก่อนไหนกัน”

แสงอาทิตย์ชะงัก หยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนเปลี่ยนเรื่องไปอีกทาง “เรารีบไปหามาร์โคโปโลกันเถอะ”

 



Don`t copy text!