ฤทัยยักษ์ บทที่ 6.2 : ผู้รอบรู้แห่งท่าเตียน

ฤทัยยักษ์ บทที่ 6.2 : ผู้รอบรู้แห่งท่าเตียน

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่ต้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

วันรุ่งขึ้น เมื่อลินิน เพื่อนของหล่อนกลับมาจากการทำงานบนเครื่องบิน ฤทัยมาศก็มีโอกาสได้บอกเรื่องที่เธอพาผู้ชายมาอยู่ที่ห้องเช่าของลินินเป็นการชั่วคราว

ลินินตั้งท่าจะบ่นว่าเพื่อนพาใครก็ไม่รู้มาอยู่ในห้อง แต่ทันทีที่เห็นหน้าตาคมเข้มของแสงอาทิตย์ หญิงสาวก็ดึงเพื่อนหลบมุมไปคุยกันแค่สองคน พร้อมยิงคำถามอย่างรัวๆ “บอกมา…นี่แกไปเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหน เขาเป็นกิ๊กแกใช่มั้ย!”

“โอ๊ย กิ๊กบ้าอะไร ไม่ใช่!”

ลินินพูดแซงขึ้นมาทันที “ไม่ใช่อะไรล่ะ หน้าตาหล่อขนาดนี้ แล้วอยู่ๆแกก็เอื้อเฟื้อให้เขามาอยู่ห้องในคอนโดฉัน จะให้ฉันเชื่อเหรอว่าแกใจดีมีเมตตา บอกมาตรงๆ แกไปเจอเขาที่ไหนกันแน่”

ฤทัยมาศเลยต้องเล่าให้ลินินฟังถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดที่หล่อนเจอระหว่างที่กำลังตามสืบคดี โดยที่มีแสงอาทิตย์ ผู้ชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาช่วยหล่อนเอาไว้ได้

“สรุปคือนายแสงอาทิตย์นี่เขาเป็นคนช่วยแกให้รอดตายงั้นเหรอ”

“ใช่…แล้วฉันก็สงสัยด้วยว่าเขาน่าจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคดีของพ่อฉัน เผลอๆ อาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”

“ไม่มั้ง…ฉันว่าหน้าตาแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคนร้ายหรอกนะ”

“นี่…คนดีหรือคนร้ายมันดูได้จากหน้าตาเหรอยะ” ฤทัยมาศดักคอเพื่อนสนิท ลินินได้แต่อมยิ้มไม่ยอมตอบ แต่ถามหล่อนกลับว่า

“แล้วแกจะจัดการยังไงกับเขาต่อ”

“ฉันจะพยายามเค้นว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้าง แล้วก็ถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนอยู่ที่นี่เลย”

“โธ่ น่าสงสารจัง แกจะให้เขาอยู่ที่นี่ต่อก็ได้นะ” ลินินสรุปอย่างง่ายๆ

“นี่…แกไว้ใจคนง่ายเกินไปไหม”

“แหม ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว ฉันว่าเขาไม่น่าใช่คนร้ายหรอก แต่อาจจะ…เป็นคนรักก็ได้นะ” ลินินพูดสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนทำมือเป็นรูปหัวใจและหันไปชะโงกหน้ายิ้มหวานให้กับแสงอาทิตย์

ฤทัยมาศถอนหายใจ ชักกลุ้มที่เพื่อนดูจะเข้ากันกับชายแปลกหน้าที่หล่อนพามาอย่างดีเกินคาด

 

อีกคนหรืออีกตนที่กำลังกลุ้มใจไม่แพ้กันก็คือมัยราพณ์ เมื่อเพื่อนยักษ์ที่ยืนอยู่คู่กันหายตัวไป ลำพังจะปิดเรื่องนี้จากมนุษย์ที่มาท่องเที่ยวในวัดโพธิ์นั้นเป็นเรื่องง่าย เพราะสายตามนุษย์ก็ยังคงเห็นรูปปั้นของแสงอาทิตย์ตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม แต่ยักษ์ด้วยกันอย่างขรและสัทธาสูรนั้นมองออกว่ารูปปั้นนั้นว่างเปล่า ไม่มีจิตและกายของแสงอาทิตย์แฝงอยู่

มัยราพณ์ปิดเรื่องนี้จากขรและสัทธาสูรได้ในคืนแรกที่แสงอาทิตย์หายตัวไป แต่เมื่อเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วแสงอาทิตย์ยังไม่กลับมา ยักษ์ทั้งสองตนก็รู้ความจริงเข้าจนได้

“นี่เจ้าปล่อยให้แสงอาทิตย์ออกไปข้างนอกได้อย่างไร เดี๋ยวก็เกิดเรื่องวุ่นวายแบบคราวนั้นอีกหรอก!” สัทธาสูรโวยวายต่อว่าต่อขานอีกฝ่าย

“ฟังก่อนพญาสัทธาสูร ที่แสงอาทิตย์ออกไปคราวนี้…มันมีเหตุผล”

คำพูดของยักษ์หนุ่มทำให้ทั้งพญายักษ์ทั้งสองต่างสงสัย “เหตุผลอะไรกัน”

มัยราพณ์ตัดสินใจเล่าให้สัทธาสูรและขรฟังถึงเรื่องคดีประหลาดที่เกิดขึ้น และข้อสันนิษฐานว่ามีใครบางคนได้นำแว่นแก้วสุรกานต์ อาวุธของแสงอาทิตย์ไปใช้ในการฆ่าคน แสงอาทิตย์จึงออกจากวัดโพธิ์ไปเพื่อตามสืบเรื่องนี้

“งั้นข้าก็จะตามไปช่วยแสงอาทิตย์ด้วย” ขรตัดสินใจในทันทีด้วยความเป็นห่วงลูก

แต่สัทธาสูรขัดขึ้น “แล้วเจ้าจะไปตามหาได้อย่างไร พวกเราอยู่ในนี้มาหลายร้อยปีแล้ว โลกข้างนอกเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่เคยรู้ เกิดหลงทางกลับไม่ถูกขึ้นมา มิยิ่งแย่หรือ”

“แล้วเจ้าจะให้ข้ารอ โดยที่ไม่รู้ว่าลูกข้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรงั้นหรือ”

ระหว่างที่พญายักษ์ทั้งสองตนกำลังโต้เถียงกันนั้น มัยราพณ์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ข้าว่า…ข้ารู้แล้วว่าเราจะให้ใครมาช่วยตามหาแสงอาทิตย์”

 



Don`t copy text!