พลิกรักทำนายใจ บทที่ 19.2 : พระราชาถือเหรียญคนนั้น

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 19.2 : พระราชาถือเหรียญคนนั้น

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ในค่ำคืนดึกสงัดและเงียบสงบ ดวงศิริพลิกกายกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ทบทวนเรื่องราวอันยาวนานหลายปีระหว่างเธอกับภูริส และช่วงเวลาตื่นเต้นสนุกสนานของเธอกับเทพทัตที่เกิดในทุกๆ วัน

สีหน้าโกรธๆ ของอริสาซ้อนทับบนหน้าคมคายของเทพทัต ไม่บ่อยเลยที่หม่าม้าผู้อบอุ่นของเพื่อนๆ จะมีน้ำโหเช่นนี้ ดวงศิริมีเพื่อนสนิทไม่มาก เมื่อโดนใบเตือนจึงต้องยกให้เป็นงานใหญ่ที่ควรตรึกตรองให้ดี

ล่วงเข้าตีหนึ่งก็ยังคิดไม่ตก หญิงสาวพลิกกายลงจากเตียงมาทางฝั่งมุมมหาเวท เปิดไฟโทนอุ่นพอสลัวแล้วเริ่มเข้าสมาธิ

ดูดวงให้คนอื่นมาเยอะแล้ว คราวนี้ถึงคิวที่ต้องดูดวงให้ตัวเองสักที

คำถามแรกเป็นคำถามสุดคลาสสิกที่ขาดไม่ได้

“พี่มิ่งจ๋า คุณทัตเขารู้สึกยังไงกับหวานเหรอจ๊ะ”

พลิกเปิดไพ่สามใบ ได้หนึ่งเหรียญ ห้าไม้เท้า และเดอะเมจิกเชียน

พี่มิ่งมงคลตอบตรงกับที่เธอรู้สึก คุณทัตชื่นชอบ ชื่นชม และมองว่าเธอเป็นโอกาสดีๆ ในการเริ่มต้นความรักครั้งใหม่

“แล้วพี่ภูล่ะ รู้สึกยังไงกับหวาน”

เลือกไพ่มาสามใบเท่ากัน วางเรียงตรงหน้า มือบอบบางเอื้อมไปแตะหลังไพ่แต่กลับชะงักอยู่เช่นนั้น

เธอไม่กล้าเปิด เธอกลัวคำตอบ

เหมือนตอนถามพี่มิ่งมงคลเรื่องอาชีพเสริมว่าจะทำอะไรดี ใบที่เป็นคำตอบของอาชีพนักกีฬาอีสปอร์ตนั้น เธอก็ไม่กล้าเปิด

ไม่กล้าเปิดเพราะกลัวผิดหวัง กลัวผิดหวังเพราะชอบที่สุด

แต่ในกรณีของภูริส ดวงศิริไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร

เธอรวบไพ่ทั้งหมดเก็บเข้ากองแล้วสับเร็วๆ

“อ้ะ งั้นหวานควรจะเลือกใครดี”

ดวงศิริเลือกไพ่สามใบสำหรับเทพทัต และอีกสามใบเป็นของภูริส

ฝั่งเทพทัตได้ เดอะชาร์ริออท สามถ้วย และห้าเหรียญ

แปลว่าเลือกคนนี้แล้วชีวิตสนุกสนาน ปาร์ตี้ โลดโผน ได้เดินทาง เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ให้ระวังเรื่องเงินด้วย

ส่วนไพ่ฝั่งภูริสออกมาเป็นเดอะสตาร์ แปดเหรียญ และสี่ไม้เท้า

เลือกคนนี้แล้วชีวิตสุข สงบ สโลว์ไลฟ์ เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโต ค่อยเป็นค่อยไป

ออกมาดีทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ หญิงสาวชักลำบากใจ สับไพ่ในมือเรียกสมาธิใหม่แล้วถามอีกทีว่า

“ขอชัดๆ เลยพี่มิ่ง หวานควรเลือกใครดี ใบเดียว จัดไป”

ไพ่ใบหนึ่งกระเด็นลงมาตอนสับไพ่ กรณีแบบนี้เรียกว่าไพ่ช็อตหรือไพ่ให้คำตอบเอง หญิงสาวพลิกเปิดผัวะกลางผ้าสักหลาดดำ

พระราชาถือเหรียญ

“เลือกคนที่ร่ำรวย ดูดีมีชาติตระกูลงั้นเหรอ”

ดวงตาหญิงสาวเป็นประกายวาบ พี่มิ่งชี้เป้าไปที่เทพทัตอย่างไม่ต้องสงสัย

พี่ภูของเธอใช่ว่าจะด้อยกว่า แต่หากตีกรอบเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้ว หนุ่มอินเตอร์หลานชายเจ้าของบริษัทออกแบบ ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจบิลต์อินและเฟอร์นิเจอร์อย่างเทพทัตย่อมร่ำรวยกว่าอย่างมิอาจทัดเทียม

หญิงสาวหยิบไพ่พระราชาถือเหรียญขึ้นมาดู ครึ้มอกครึ้มใจ หน้านิ่งๆ ของพระราชาเหมือนจะเปลี่ยนเป็นหน้าคมๆ ของเทพทัต มุมปากยกยิ้มส่งมาให้

หมอดูสาวยิ้มกว้างตอบ จุ๊บแก้มพระราชาหนึ่งที

เธอนึกได้อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนดูดวงให้ภูริสได้ปรากฏไพ่พี่สะใภ้ของเธอขึ้น

ราชินีถือเหรียญที่จะบุกมารักพี่ภู ดวงศิริแน่ใจ ไม่ใช่เธอแน่ๆ ตัวตนของเธอไม่ใกล้เคียงกับราชินีถือเหรียญสักเท่าไร ถ้าจะให้ยกตัวอย่างมาสักคนละก็ ต้องบอกว่าคล้ายมนชิดาเป็นต้น จะว่าไป…ตอนเปิดไพ่ให้สาวคู่ปรับ ไพ่คาแรกเตอร์ของเธอก็ขึ้นราชินีถือเหรียญจริงๆ

ส่วนราชินีถือเหรียญของพี่ภู ไม่รู้เขาได้เจอหรือยัง แต่อย่างน้อยก็แปลว่า พี่ชายจะได้มีความสุขกับคู่ของเขาเช่นกัน

หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อได้คำตอบ โดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้านอนหลับไปกับไพ่พระราชาถือเหรียญของเธอใบนั้น

 

วันธรรมดาที่แสนพิเศษ ดวงศิริไปดินเนอร์กับเทพทัตเช่นเคย ครั้งนี้เลือกลิ้มรสอาหารไฟน์ไดนิงสไตล์ไทยผสมผสานฝรั่งเศสสุดสร้างสรรค์ ตอนกลางคืนได้คุยวิดีโอคอลกับชายหนุ่มอีกพักใหญ่ ส่งกันและกันเข้านอนอย่างอบอุ่น

เตรียมปิดไฟนอน แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องโครกขึ้นมา ไฟน์ไดนิงคำเล็กหรูหราไม่เคยพอยากระเพาะเธอสักที

ในตู้เย็นมีน้ำแข็งกับน้ำเปล่า ผักเหี่ยวเฉา ผลไม้เน่าไปครึ่งลูก มีแกงมัสมั่นโบราณอยู่ถุงหนึ่ง ไม่ใช่สูตรโบราณแต่เพราะแช่อยู่นานร่วมสัปดาห์ ไม่ต้องเปิดดมก็รู้ว่าคงสิ้นอายุขัยไปนานแล้ว

ดวงศิรินึกถึงภูริสขึ้นมา สามทุ่มอย่างนี้เขาคงนั่งประกอบเอฟเฟกต์กีตาร์อยู่เหมือนเคย

ลงบันไดเลื่อน ลอดอุโมงค์ไปขึ้นฝั่งตรงข้าม เดินไปจนถึงหน้าบ้านของภูริส หญิงสาวยืนหน้าประตูครู่ใหญ่ น่าแปลกว่าทั้งที่มาบ่อยแต่หนนี้กลับรู้สึกอ้างว้างแปลกๆ

เหมือนว่าลาจากไปนาน หรือไม่ก็มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หญิงสาวส่ายหน้าไล่ความฟุ้งซ่านไม่มีที่มาที่ไป เคาะประตูเป็นจังหวะที่รู้กันแค่เฉพาะเขากับเธอ

ครู่เดียวภูริสก็มาเปิดประตูให้

“ว่าไงเรา ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาเลย”

ดวงศิริอยากจะยิ้มกว้าง แต่ยังวางฟอร์มทำแก้มป่องแสนงอน

“ก็วันนั้นหวานจะมาหาแล้ว แต่พี่ภูไม่ต้อนรับนี่”

“หือ วันไหน มีวันที่พี่ไม่ต้อนรับหวานด้วยเหรอ”

“ก็วันที่พี่ภูรื้อของไปบริจาคไง”

เขาร้องอ๋อ ถอนใจยาว ยิ้มอ่อนใจ

“ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับ พี่แค่บอกเฉยๆ ว่าบ้านรกมาก ถ้ามาก็ลำบากหาที่นั่งหน่อย”

ดวงศิริยิ้มร่า ได้คำตอบแค่นี้ก็พอใจแล้ว หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจรอบๆ

“จัดบ้านใหม่ด้วยหรือเปล่านะพี่ภู รู้สึกแปลกตาไป”

คนเดินตามมาพยักหน้าโดยที่เธอไม่เห็น

“นิดหนึ่ง จำได้ไหมว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง”

“โห จะไปจำหมดได้ยังไง รู้แค่พี่ภูเก็บของที่ไม่ได้ใช้ไปบริจาคแค่นั้นแหละ”

ภูริสนึกขบขัน มองร่างสูงโปร่งในชุดนอนเสื้อกับกางเกงขายาวสีม่วงลายยูนิคอร์นเข้าออกห้องโน้นห้องนี้ตามอำเภอใจ น้องสาวตัวแสบจำไม่ได้กระทั่งว่าสีผนัง สีเพดานที่คุณเธอเคยคะยั้นคะยอให้เขาทาได้เปลี่ยนใหม่

เขาชวนเธอไปที่โต๊ะกินข้าว

“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวพี่หาอะไรให้กิน”

ช็อตนี้แหละที่เธอต้องการ ดวงศิรินั่งเรียบร้อยเอี้ยมเฟี้ยมอยู่บนเก้าอี้ประจำ เคาะนิ้วกับแผ่นรองจานลายหินอ่อนเล่นๆ ไม่นานซุปเห็ดต้มยำก็ส่งกลิ่นหอมลอยมาจากครัว เสิร์ฟเคียงกันด้วยสลัดอกไก่

ดวงศิริอ้อนอยากได้เบคอนกรอบๆ ด้วย คลุกกับน้ำสลัดครีมเป็นอะไรที่อร่อยเหาะ ผลคือพ่อครัวหนุ่มส่ายหน้า อดกินทั้งเบคอนทั้งน้ำสลัดครีม ได้สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาวแทน

อิ่มท้องแค่พอหลับสบาย ดวงศิริก็เอ่ยขึ้นว่า

“พี่ภู หวานมีอะไรจะบอก”

ภูริสหันมา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวมองลึกลงไปในดวงตารียาวของเขา ค้นหาว่าในนั้นมีอะไรที่มากกว่าแค่ตั้งใจฟังไหม

มีความในใจอะไรซ่อนไว้หรือเปล่า นอกจากความเอ็นดูและปรารถนาดีอย่างพี่ชายมีให้น้องสาว มีอะไรมากกว่านั้นไหม

สิ่งที่อาจจะปรากฏบนหน้าไพ่ แต่เธอไม่กล้าพลิกเปิดดูนั้น มีบ้างสักนิดไหม

ดวงตารียาวที่ยังแจ่มใสแม้ในยามดึกเปลี่ยนเป็นฉายแววกังวล

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เรื่องใหญ่เหรอ”

ดวงศิริยังไม่อาจตอบในทันที เพราะจะว่าไปเรื่องที่อยากพูดก็เป็นเรื่องใหญ่จริงนั่นละ

เมื่อค่ำนี้เธอตกลงสถานะกับเทพทัตแล้ว จากนี้ทั้งสองเป็นคู่รักกัน

ช่วงเวลาเหมือนฝันในร้านอาหารสวยงามนั้น ดวงศิริรู้สึกราวกับเป็นเจ้าหญิง เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ทว่าเมื่อแยกย้ายกับเทพทัตแล้ว ในใจกลับว่างเปล่าชอบกล

ความดีใจไม่รู้หายไปไหน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องโทรศัพท์ไปหาอริสา กรี๊ดกร๊าดดีใจ แต่เธอกลับอยากอยู่เงียบๆ มากกว่า

ยิ่งเวลานี้ เธอตั้งใจจะบอกภูริสว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเทพทัตคืบหน้าแล้วนะ เป็นแฟนกันแล้ว แต่กลับไม่กล้าบอก รู้สึกประหม่ายิ่งกว่าตอนถามเทพทัตว่าเราเป็นอะไรกันซะอีก

เธอไม่อยากทำให้ภูริสเสียใจ หากว่าเขาชอบเธอจริงอย่างที่ใครๆ บอก เธอก็จะเป็นคนที่หักอกพี่ภูผู้แสนดีซะเอง

แต่หากเขาไม่ได้ชอบเธอล่ะ แล้วยิ้มยินดี กระโดดโลดเต้นดีใจไปกับเธอด้วยจะเป็นยังไง ดวงศิริไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากได้ยินภูริสอวยพรว่าขอให้รักกันไปนานๆ จนแต่งงาน ไม่รู้ทำไม

คงเพราะใกล้ชิดกันมาหลายปี มีพี่ภูที่ไหนมีขนมหวานที่นั่น เธอไม่ฟังพี่ภูพูดอะไรก็ตามที่แปลว่ายินดีให้เธอจากเขาไป…ไม่อยากได้ยิน

สายตาของภูริสเคร่งเครียดขึ้น ดวงศิริจึงยิ้มทะเล้น ตอบไปว่า

“เปล่าหรอก หวานแค่จะบอกว่า คอนเสิร์ตออร์เคสตราที่พี่ภูไปแจมน่ะ เดี๋ยวหวานไปดูนะ”

 



Don`t copy text!