พลิกรักทำนายใจ บทที่ 6 : ความรักดีๆ เริ่มที่…เดินสายขอพร

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 6 : ความรักดีๆ เริ่มที่…เดินสายขอพร

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

“เอาละ พร้อมถามหรือยังว่าสกายมันคิดยังไงกับแก” แม่หมอดวงศิริตั้งคำถามให้เสร็จสรรพ

ลูกดวงสาวเม้มปาก สองมือจับกันแน่น ทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้จนต้องชั่งใจว่าข้างไหนหนักกว่า

“เป็นไปไม่ได้หรอกแก แกก็เห็น สกายมันไม่คิดอะไรกับฉันหรอก มันคงมองฉันเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนผู้ชายด้วยซ้ำมั้ง”

“ทำไมคิดงั้นล่ะ”

“ก็…ฉันไปไหนมาไหนมันไม่เคยถาม เวลาไปซื้อของเข้าร้านมันไม่เคยไปช่วยถือ บางคืนเก็บร้านตอนดึกๆ มันก็เข้ามาดูแหละ แต่พอฉันบอกว่าให้มันกลับไปก่อนเลย คั่วกาแฟมาเหนื่อยๆ ทั้งวัน มันก็ตอบอืม แล้วกลับเลย ฉันต้องอยู่ปิดร้านคนเดียว ทำบัญชี เช็กของ เก็บกวาดร้าน มันไม่เคยอยู่เป็นเพื่อนหรือเป็นห่วงว่าจะมีใครเข้ามาทำอะไรฉันดึกๆ เลย”

“อ้าว ก็แกบอกให้มันกลับเองป้ะ”

“มันก็ใช่ แต่ถ้าแคร์กันจริงก็น่าจะอยู่สิ” หญิงสาวหน้างอง้ำ

“ลองใจว่างั้น”

ดวงศิริกลอกตา พอจะเข้าใจและไม่ซักไซ้ต่อ กลัวจะทำใครแถวนี้น้ำตาร่วงซะเปล่าๆ

“เอาน่า เปิดไพ่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยไหมล่ะ ถ้ามันจะใช่คนนี้แกจะได้สบายใจ แต่ถ้าไม่ใช่สกายแกจะได้ตัดใจแล้วเดินหน้าต่อ”

อริสาก้มหน้า ดวงตารีไหวริก ยังไม่ตอบในทันที ดวงศิริไม่เคยแอบชอบเพื่อนสนิทแต่พอจะเข้าใจความรู้สึก เพื่อนสาวคงกลัวคำตอบมากทีเดียว วูบหนึ่งเธอสงสัยว่า สาวหมวยสวยน่ารักผู้อบอุ่นอ่อนหวานใจดีและช่างหวั่นไหวอย่างอริสา อีตาสกายมันมองยังไงถึงเห็นเป็นเพื่อนผู้ชายได้

เจ้าของร้านกาแฟสาวสูดลมลึก กำหมัดแน่น

“โอเค ฉันพร้อมแล้ว”

ลูกดวงพร้อม แม่หมอก็พร้อม ดวงศิริสับไพ่แล้ววาดเป็นครึ่งวงกลมเช่นเคย อริสาตั้งคำถามว่า

“ขอถามพี่มิ่งว่า สกายมันคิดยังไงกับหนูคะ”

ดวงศิริกอดอกฉับ “จัดมาห้าใบจุกๆ”

มือซ้ายขาวๆ ของอริสาเลือกหยิบ พอพลิกเปิดทีละใบเท่านั้น แม่หมอสาวก็ร้องอู้ อ้า ขนลุกเกรียวจนนั่งแทบไม่ติด

“โอ๊ย อิ๋ม ผู้ชายเขารักแกขนาดนี้ ยังจะเครียดอะไรอีกฮะ”

ไพ่ที่ออกได้แก่ สองถ้วย หกถ้วย สิบถ้วย สิบเหรียญ และราชินีเหรียญ แปลความถึงความรักจริงจังมั่นคง ความผูกพันยาวนาน ต่อให้เป็นนักอ่านไพ่มือสมัครเล่น เจอไพ่ชุดนี้เข้าไปไม่มีทางแปลเสีย

อริสาสติหลุดไปแล้ว มองหน้าฉุนๆ ของแม่หมอสลับกับหน้าไพ่

“โคตรจะไม่น่าเชื่อ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันโคตรจะคนละเรื่องกับหน้าไพ่เลยน่ะสิ”

ดวงศิริเอียงหน้าคิด ถ้ามันจะต่างกันโคตรๆ จริงแบบที่อริสาบอก แสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ ถ้าไพ่ตอบไม่ตรงคำถาม ก็อริสานั่นแหละที่ปิดบังบางอย่าง

และด้วยความสัตย์จริง ดวงศิริเชื่อพี่มิ่งมงคลมากกว่าเพื่อนตัวเองอีก

ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงลองเลียบๆ เคียงๆ สัมภาษณ์ แล้วสิ่งที่เพิ่งได้รู้ก็ส่งกลิ่นตุๆ ลอยมาแตะจมูก

“แกเคยไปบ้านสกายไหม”

“เคย ไปออกบ่อย วันเกิดคุณพ่อมันพาฉันไปกินข้าวกับครอบครัวมันที่บ้าน วันเกิดคุณแม่ฉันช็อปปิงอยู่ข้างนอก มันก็โทรจิกให้ฉันรีบตามไปที่บ้าน ไปกินข้าวกับครอบครัวมัน ไม่ใช่อะไร มันหาคนช่วยแม่ทำกับข้าว เลี้ยงใหญ่ทั้งครอบครัวขนาดนี้มันคงอยากให้ฉันไปเป็นลูกมือแม่แหละ”

ดวงศิริร้อง ‘หรา’ ลากยาวไปถึงสถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอย แต่อริสาพยักหน้าเป็นจริงเป็นจัง

“จริงนะ สกายมันไม่คิดอะไรเกินเพื่อนหรอก”

“อ้ะ แล้วแกเคยชวนสกายไปที่บ้านแกไหม”

“เคย วันไหนลูกค้าเยอะมากๆ ฉันเหนื่อย หมดแรง สกายมันก็ช่วยขับรถไปส่งที่บ้านนะ”

“บ้านไหน”

“บางทีก็บ้านสายไหม บางทีก็บ้านชล”

ดวงตาของแม่หมอเบิกกว้างจนแทบถลน เธอรู้ว่าครอบครัวของอริสาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี พอมาทำงานที่กรุงเทพฯ หญิงสาวซื้อห้องอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่แถวสายไหม ร้านกาแฟสตาร์โรสเทอรีแห่งนี้อยู่โซนถนนพหลโยธิน ใกล้สนามบินดอนเมือง การที่นายสกายขับรถไปส่งที่บ้านแถวสายไหมนับว่าเข้าใจได้

แต่ขับไปส่งถึงบ้านชลบุรีนั้น ไม่ต้องเปิดไพ่เธอก็ว่าพิเศษ

ทว่าอริสาร้องครวญแย้งมา

“ก็ฉันง่วงนอน ถ้าให้กลับเองสกายมันก็คงกลัวฉันหลับใน เลยยอมไปส่งให้ มันไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อนหรอก”

ยิ่งไปกว่านั้น พอสกายขับรถพาอริสาไปส่งเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้วกกลับกรุงเทพฯ ทันที คุณแม่ของอริสาเป็นห่วงว่าต้องขับรถไกลยามวิกาล…อริสาจะแนะนำโรงแรมใกล้บ้านให้ แต่ยังช้ากว่าคุณแม่ ท่านปูเบาะนอนในห้องรับแขก ลงหมอน กางมุ้งให้เรียบร้อย

“โอ้โฮ ลูกเขยแล้วแหละ ไม่ต้องสงสัย”

“ไม่หรอก แม่ฉันแค่ตอบแทนน้ำใจ ก็สกายมันอุตส่าห์ขับมาส่ง”

เมื่อมารดาของฝ่ายหญิงมีน้ำจิตน้ำใจต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ที่บ้านของฝ่ายชายก็ยินดีและมาผูกมิตรด้วย

วันหยุดยาวครอบครัวของสกายมักมาเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลสัตหีบ และแวะไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของอริสา หากบ้านของฝ่ายหญิงไม่มีธุระเร่งด่วน ก็จะรับคุณแม่กับน้องชายของอริสาไปร่วมทริปด้วยกัน หนึ่งมกราคมมีกระเช้าของขวัญมาสวัสดีปีใหม่ทุกปี

สองครอบครัวอบอุ่นแน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่น แต่อริสากลับบอกด้วยสีหน้าซังกะตายว่า

“ในฐานะหุ้นส่วนแหละ ก็ฉันกับสกายร่วมธุรกิจกันมาตั้งหลายปี ฉันช่วยลูกชายเขาทำงาน เขาก็ต้องเอ็นดูฉันเป็นเรื่องธรรมดา”

ดวงศิริรู้สึกเหมือนถูกหักหลังยังไงไม่รู้ หากพี่มิ่งมงคลมีร่างเป็นตัวเป็นตน เธอก็อยากขอซบอก กอดคอร้องไห้สักตั้ง

“ฉันว่าแกเป็นยิ่งกว่าเพื่อน ยิ่งกว่าแฟน ยิ่งกว่าหุ้นส่วนอีก เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกันไปแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ขาดกันไม่ได้แล้วมั้งเนี่ย”

อริสาบุ้ยปากไปทางประตูรั้ว

“ทำไมจะขาดไม่ได้ มันกลับบ้านไปตั้งนานแล้วนั่น”

“อ้าว ก็แกบอกให้มันกลับเองป้ะ” ดวงศิริพยายามไม่หงุดหงิด “แล้วนอกจากเรื่องงาน แกคุยเรื่องอื่นกันบ้างไหม”

“ก็มี ตอนสกายทะเลาะกับพี่สาวก็มาบ่นให้ฉันฟัง ตอนมันจะแต่งคอนโดก็มาปรึกษา ชวนฉันไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งห้อง ฉันเคยไปช่วยมันประกอบตู้ ประกอบเตียงเป็นวันๆ”

ดวงศิริเลิกคิ้วข้างหนึ่ง อินทีเรียดีไซเนอร์มืออาชีพนั่งหัวโด่อยู่นี่ สกายไม่ยักกะนึกถึง

“อื้ม แล้วไงอีก”

“ฉันเคยงอนมัน มันก็ง้อ แล้วพาไปกินไอติมเป็นการปลอบใจ ฉันเคยด่ามัน ร้องไห้ มันก็ขอโทษแล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอีก แต่เอาจริงๆ ฉันว่ามันไม่ได้ทำผิดขนาดนั้นหรอก ฉันชอบมันไงเลยเอาแต่ใจมากไปหน่อย”

คนฟังกอดอก คิดในใจว่า เออ กูก็ว่างั้น แต่แสดงออกเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ

“แล้ววันเกิดแก ปีใหม่ วาเลนไทน์ มันมีของขวัญมาให้ไหม”

“ไม่มีเลย ไม่เคยให้ของขวัญฉันเลยสักครั้ง” หุ้นส่วนร้านกาแฟสาวโวย “วันเกิดมันนะฉันมีของให้ทุกปี เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแบรนด์เนมงี้ แต่มันไม่เคยให้ของขวัญฉันเลยสักปี”

“อ้าวเหรอ” ดวงศิริลูบคางครุ่นคิด

และคงจะสงสัยอีกนาน หากเพื่อนสาวไม่โวยวายต่อว่า

“มีแต่พาไปเที่ยว วันเกิดพาไปดำน้ำเกาะพีพี วาเลนไทน์พาไปนอนดูดาวที่เชียงใหม่ ปีใหม่พาไปไหว้พระที่อุดรธานี เนี่ย แกดูสิ มันไม่เคยให้ของขวัญฉันเลย”

ดวงศิริอยากจะลงไปดิ้น

“เออ สกายมันคงไม่คิดกับแกเกินเพื่อนจริงๆ นั่นแหละ”

อริสาขยับปากงุบงิบ

“นั่นสินะ”

“โว้ย! ฉันประชด อีบ้า”

บนสังเวียนแห่งความรัก ผู้เล่นมักเมาหมัดเสมอ โคชผู้เกาะขอบเวทีต่างหากที่อ่านเกมขาด

ดูจากรูปการณ์แล้ว ดวงศิริคิดว่าสกายเองก็มีใจให้อริสาเหมือนกัน มีพี่มิ่งมงคลยืนยันอีกเสียงยิ่งมั่นใจได้

แต่ที่เห็นและเป็นอยู่ สถานะทั้งสองยังเป็นเพียงเพื่อนร่วมธุรกิจ สามปีมาแล้วที่อริสาแอบชอบเพื่อนสนิท สามปีที่ไม่มองใครและไม่มีใครเฉียดใกล้หัวใจได้ ส่วนทางด้านชายหนุ่มนั้น อริสาเล่าว่าเคยเห็นควงสาวสวยเป็นพักๆ คนละไม่เกินหนึ่งเดือน

“เนี่ย แกมัวแต่เล่นตัวสกายมันเลยไปหาสาวอื่น โชคดีนะที่ไม่เจอใครมัดใจมันได้จริงๆ ไม่งั้นเสร็จโจรไปแล้ว”

แต่หญิงสาวเจ้าของเรื่องเถียงจริงจัง

“ก็มันไม่จีบฉันนี่ ไม่มีท่าทีเลยด้วยซ้ำ แกไม่เคยเห็นนี่ ตอนมันมีความรักนะ มันดูแลผู้หญิงของมันดีจะตาย ต่างกับฉันฟ้ากับเหวเลย แล้วอย่างนี้จะให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไง ฉันไม่อยากสำคัญตัวผิดนะแก”

“งั้นขอคำแนะนำจากไพ่สักหน่อยไหม”

จำนวนไพ่ที่จะเปิดนั้นขึ้นอยู่กับว่าต้องการข้อมูลมากน้อยแค่ไหน บางครั้งขอใบเดียวพอ ฟันธงไปเลยโชะๆ บางครั้งเปิดสามใบ ห้าใบ จะได้คำตอบที่ลงรายละเอียด ส่วนคราวนี้แม่หมอขอแค่สามใบพอ

ลูกดวงสาวเลือกหยิบไพ่ ลุ้นจดจ่อ

“เก้าเหรียญ ดิเอ็มเพรส ควีนไม้ พี่มิ่งบอกว่า ให้ใจเย็นๆ เป็นสาวโสดสวยและรวยมากไปก่อน แต่อย่าลืมหมั่นพัฒนาตัวเองให้ดูดีมีเสน่ห์ อืม ทำยังไงล่ะ”

ดวงศิริขอไพ่ขยายหนึ่งใบ อริสาเลือกหยิบมา พลิกเปิดได้ไพ่ราชินีถือถ้วย

“นี่ไง แกก็เปลี่ยนจากควีนไม้เป็นควีนถ้วยเซ่” ดวงศิริชี้ไพ่สามใบแรก แล้วจิ้มๆ ที่ไพ่ขยาย “หมายถึงเปลี่ยนจากผู้หญิงทำงานเก่งๆ ห้าวๆ แบบควีนไม้เป็นสาวอบอุ่นอ่อนหวานแบบควีนถ้วยไง เติมความอ่อนโยนหน่อย”

เจ้าของคำทำนายถอนใจพรืด ไหล่บอบบางลู่ลง

“ฉันกับสกายเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นไปได้เหรอ”

“ต้องได้สิ อย่าลืมว่าไพ่พื้นฐานตอนแรกดีมากๆ เลยนะ แล้วระยะเวลาของคำทำนายก็อยู่ที่ประมาณสามถึงหกเดือน ฉันว่าอดใจอีกนิดเดียวเดี๋ยวได้รู้กัน”

เพื่อนสาวส่งเสียงครางฮื่อแค่นั้น หน้าขาวใสจ๋อยสนิท อิดโรยยิ่งกว่ายืนขาแข็งชงกาแฟมาทั้งวัน ดวงศิริใจหาย สลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาวจึงยื่นมือช่วยด้วยสิ่งที่เธอถนัดที่สุด นั่นคือ

“แก ไปมูกันไหม เดี๋ยวฉันพาไป”

 

วันอาทิตย์อาจเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แสนสงบของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับดวงศิริ เพื่อภารกิจพาเพื่อนเดินสายมูครั้งนี้เธอต้องขอโดดประชุมนอกรอบกับสิงโตและลูกแก้ว มนชิดานั้นหายห่วง ไม่เคยมาร่วมวงอยู่แล้ว เปิดหน้าเพจเสื้อผ้าแสนสวยเจอมนชิดาไลฟ์ขายเสื้อผ้ารอบเช้า

ดวงศิริเบ้ปากแล้วกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ไป

วันอาทิตย์ไม่ใช่วันหยุดของเจ้าของร้านกาแฟเช่นกัน จันทร์ถึงศุกร์ออร์เดอร์ดิลิเวอรีจะมีมาก ส่วนใหญ่ไปส่งให้ลูกค้าพนักงานออฟฟิศ ส่วนเสาร์อาทิตย์ดิลิเวอรีน้อยลง มีลูกค้ามานั่งรับประทานที่ร้านมากขึ้น อริสาฝากงานไว้กับสกาย ชายหนุ่มพยักหน้ารับเฉยๆ ไม่ถามสักคำว่าไปไหน กับใคร

หญิงสาวแอบน้อยใจ แต่ก็ดีแล้วเพราะหากเขาถามขึ้นมาจริงๆ เธอก็ไม่รู้จะตอบยังไง

และวันอาทิตย์ก็ไม่ใช่วันหยุดของภูริสเช่นกัน ช่างอิเล็กทรอนิกส์หนุ่มมีทุกวันเป็นวันทำงาน แต่วันนี้เขาอาสาเป็นคนขับรถรับส่งสองสาว เพราะแต่ละที่ที่จะไปนั้นหาที่จอดรถได้ยากเย็น

ประเดิมด้วยหลวงพ่อเกษตร วัดท่าพระ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาต่อกันที่พระนอน วัดโพธิ์ ถัดไป ใกล้กับเสาชิงช้า สักการะพระกฤษณะ วัดเทพมณเฑียร แล้วย้อนลงมาย่านบางรัก ไหว้ขอพรพระแม่อุมาเทวีที่วัดแขก สีลม

สองสาวไม่เหนื่อยตระเวนขอพร แต่อากาศร้อนทำให้รู้สึกเหมือนร่างจะละลาย สวดมนต์ไปดูดน้ำอัดลมเย็นๆ ไปด้วย ฝ่ายคนขับไม่เหนื่อยเช่นกัน แค่หาที่จอดพักรถลำบากนิดหน่อย เขาอดยิ้มขำไม่ได้เมื่อน้องๆ ตะกายขึ้นรถมา สภาพหอบแฮ่กทั้งคู่

“ไปไหนต่อครับ หรือกลับกันเลยไหม”

“ยังๆ พี่ภู” ดวงศิริชี้ไปข้างหน้า “แยกราชประสงค์โลด”

 

ย่านห้างสรรพสินค้าใหญ่และทางเดินลอยฟ้าหรือที่เรียกว่าสกายวอล์กนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้บูชาหลายจุดทีเดียว ดวงศิริพาอริสาขึ้นห้างเกสรพลาซ่าไปกราบพระแม่ลักษมี ก่อนจะต่อด้วยพระตรีมูรติข้างห้างเซ็นทรัลเวิร์ล

โชคเข้าข้างยิ่งนักที่ช่วงนี้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์มีอีเวนต์พิเศษ อัญเชิญเทพเย่เหล่าหรือเฒ่าจันทราองค์จำลองมาจากไต้หวัน ประดิษฐานชั่วคราวที่ชั้นบนของห้างเพื่อให้ชาวไทยได้สักการะขอพรเรื่องความรัก อริสาหมดแรงขาลากไปแล้ว แต่ดวงศิริยังคึกคัก กระตุกแขนยิกๆ ชวนรอลิฟต์

“เทพเจ้าด้ายแดงเลยนะแก ไปเร็ว ที่สุดท้ายแล้วจริงๆ แถมๆ น่า”

อริสายึดบ่าข้างหนึ่งของดวงศิริเป็นที่พึ่งช่วยพยุงตัว

“แก วันนี้เราไหว้ทั้งพระ ทั้งเทพฮินดูแล้ว นี่ยังจะเทพจีนอีกเหรอ เทพท่านจะคิดว่าฉันขอซ้ำซ้อนไหม เดี๋ยวจะพานโกรธไม่ให้ฉันสมหวังซะฉิบ”

“ฮึ้ย ขอเยอะๆ สิดี เทพท่านจะได้ร่วมมือกันช่วยแก หรืออย่างน้อยๆ ก็เห็นความพยายามละวะ จะได้รู้ว่าแกมาจริง ไม่ได้มาเล่นๆ”

คนฟังค่อยมีแรงยืนหน่อย

“ใช่ ฉันมาจริง ไม่ได้มาเล่นๆ บางทีนี่อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของฉันแล้วก็ได้”

“อื้อ เยี่ยม”

ดวงศิริชูหมัดให้กำลังใจ แม้ใจจะแย้งว่าอีตาสกายไม่เห็นจะน่าใฝ่ฝันหาตรงไหน แต่เอาเถอะ รจนายังเลือกเจ้าเงาะเลย เธอคงเป็นเจ้าหญิงแคว้นอื่นที่ได้แต่มองเขาคล้องมาลัยกันอย่างไม่เข้าใจละมั้ง

องค์เทพเจ้าแห่งความรักเป็นชายชราเครายาว ท่าทางใจดี ถือสมุดบัญชีเนื้อคู่ เบื้องหลังท่านมีดวงจันทร์เสี้ยว เบื้องซ้ายและขวามีรูปปั้นเจ้าบ่าว เจ้าสาว ถือเชือกแดงเชื่อมกันไว้หมดทั้งเจ้าสาว องค์เทพ และเจ้าบ่าว

การขอพรต้องใช้ด้ายสีแดงประกอบการอธิษฐานต่อองค์เทพ เมื่อขอพรเสร็จจึงไปผูกด้ายไว้ที่เชือกแดง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เธอสองคนไม่มีด้ายแดงมาด้วย หันซ้ายแลขวาไม่เห็นมีจุดบริการขายด้ายแดง

“ไปร้านเครื่องเขียนกันไหม” ดวงศิริยังสู้

“ไม่รู้อยู่ตรงไหนน่ะสิ ซูเปอร์ได้ไหม ชั้นล่างสุด”

ด้วยความสงสารเพื่อนที่เหมือนร่างไร้กระดูกไปแล้ว ดวงศิริจึงตกลงตามนั้นคือ ลงลิฟต์รวดเดียวไปหาซื้อด้ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ผลปรากฏว่าในซูเปอร์ฯ ไม่มีด้ายแดงขาย มีแต่ริบบิ้นแดงยาวสามเมตร…

ตอนซื้อมาอริสาไม่คิดอะไร คิดแค่ว่าไม่มีแรงจะเดินต่อแล้ว แต่เมื่อมาอธิษฐานเบื้องหน้าองค์เทพจันทรา รายล้อมด้วยคนอื่นๆ ที่ต่างก็พกด้ายแดงกันมาเองคนละเส้นบางๆ เล็กๆ

จึงเริ่มตระหนักว่า อย่างน้อยๆ เธอน่าจะซื้อกรรไกรมาตัดให้สั้นลงหน่อยก็ยังดี

แล้วริบบิ้นแดงยาวสามเมตรที่ฝากคำขอพรมาอย่างมุ่งมั่นชัดเจน ก็ถูกผูกลงที่เชือกแดงขององค์รูปปั้นเทพจันทรานั้น ทิ้งชายยาวเด่นสะดุดตา ล้ำหน้าทิวด้ายแดงของคนอื่นๆ อย่างอาจหาญ

ส่วนคนอธิษฐานกับคนที่มาเป็นเพื่อนก้มหน้างุด แทรกฝูงชนที่มองตามจนเหลียวหลัง หนีหายไปกับขั้นบันไดเลื่อนโดยไว

 

หลังจอดรถที่ลานจอดใหญ่ ภูริสมารอในร้านสเต๊กที่นัดหมายไว้ นั่งมองผู้คนเดินไปเดินมาราวครึ่งชั่วโมง รุ่นน้องสองสาวก็มาถึงร้าน ทรุดกายลงตรงข้ามเขา

ชายหนุ่มเลื่อนเมนูไปข้างหน้าให้เลือกสั่งอาหาร แต่ดวงศิริดันหยิบไปกระพือแก้ร้อน อริสาหัวเราะแล้วตีไหล่เพื่อนทีหนึ่ง ก่อนจะดึงเมนูมาดู แล้วรีบสั่งเครื่องดื่มเป็นน้ำชามะนาวเย็นๆ ก่อนอย่างอื่น

“เป็นไง สบายใจขึ้นหรือยัง”

เขาถามยิ้มๆ ดวงศิริตอบตาใสว่า

“สบายใจแล้วพี่ภู ริบบิ้นแดงสามเมตรขนาดนี้ ต้องได้ต้องโดนแน่ๆ”

อริสาก็แหวปนหัวเราะ

“แกจะมาสบายใจอะไร คนมูคือฉันนี่”

“ก็สบายใจแทนแกไงล่ะ เลิกคิดมากได้แล้วนะ”

หญิงสาวตอบว่าอือหนึ่งคำ แล้วดื่มน้ำชามะนาวที่เพิ่งมาเสิร์ฟรวดเดียวหมดแก้ว พนักงานถือเหยือกมาเติมให้ใหม่เนื่องจากเป็นแบบเติมไม่อั้น ระหว่างรอเติม อริสากล่าวกับชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะ

“ขอบคุณพี่ภูมากเลยนะคะที่ขับรถให้ เสียดายจอดรถยาก พี่ภูเลยไม่ได้ไปไหว้ด้วยกันสักที่”

ภูริสส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ยินดีครับ พี่เองก็ไม่ใช่สายมูอะไร ไม่ได้ตั้งใจมาไหว้อยู่แล้วแหละ”

ยิ่งเขาตอบแบบนี้ อริสายิ่งเกรงใจ แต่ไหนแต่ไรภูริสใจดีและใจเย็นต่อเหล่าพี่น้องและผองเพื่อนเสมอ ท่าทีสุภาพนุ่มนวลและรอยยิ้มอบอุ่นของเขา เป็นอะไรที่เห็นชินตามาตั้งแต่สมัยเรียน

“แต่แปลกดีนะคะ พี่ภูสนิทกับยัยหวาน แต่ยัยหวานนี่สายมูเต็มขั้น ขณะที่พี่ภูไม่ได้เชื่อทางนี้เลย”

“ไม่เชื่อแต่พี่ก็ไม่ลบหลู่ครับ หวานจะเชื่อพี่ก็ไม่ห้ามหรอก แต่สำหรับพี่ พี่เชื่อในการใช้ชีวิตอย่างมีสติและรอบคอบมากกว่า”

“โอ้โฮ หล่อซะไม่มี” ดวงศิริค่อนขอดเสียงดัง

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถ้ามูแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ”

“พี่ภูอ้ะ”

“ทำมาย ทำมาย”

“อาราย อาราย”

แล้วสองคนก็เถียงกันต่ออีกสองสามคำ อริสายิ้มขำพลางคิดตาม พี่ภูของพวกเราชาวค่ายเชื่อมั่นในตัวเองเองเสมอมา รู้ผิดชอบชั่วดีมีวินัย ดำรงตนมาได้เป็นอย่างดี ไม่เคยเห็นพี่ภูมีปัญหา มีแต่เป็นเบาะนุ่มๆ อันอบอุ่นให้พวกเราที่มักซวนเซหรือซมซานมาปรึกษา

ในขณะที่เพื่อนสาวที่งอนแก้มป่องให้พี่เขาง้ออยู่นี้ เจ้าแม่สายมูแท้ๆ แต่ไม่รู้องค์เทพท่านถือคติรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีหรืออย่างไร ชีวิตของเพื่อนจึงได้ลุ่มๆ ดอนๆ

ไม่ถึงกับประสบเคราะห์กรรมเลวร้ายสาหัส แต่ก็มีเรื่องมาบ่นตลอด เสนองานไม่ผ่านบ้างละ เพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้งบ้างละ เจ้านายดูถูกไม่สนับสนุน เงินเดือนเหลือไม่ชนเดือน

เรื่องความรักอาจจะมีโชคสักหน่อยตรงที่มีแฟนเป็นถึงหนุ่มวิศวกรอนาคตไกล แต่เห็นทีจะไกลไปหน่อย ไกลจนห่างเหิน หลายครั้งเธอเองก็เผลอลืมไปว่าเพื่อนมีแฟน นึกว่าโสด เพราะออกจะดูเฉยๆ ไม่เห็นมีความสุขอินเลิฟโลกเป็นสีชมพูอย่างคู่อื่นเขาสักเท่าไร

พี่ภูริสชอบดื่มน้ำเปล่า เธอจำได้ ส่วนดวงศิริเพื่อนรักต้องน้ำอัดลมเท่านั้น สีดำ สีส้ม สีแดง สีใส อะไรก็ว่าไป ดื่มหมดแล้วค่อยบ่นว่าอ้วนขึ้น

รุ่นพี่หนุ่มชอบทำอาหารกินเอง เน้นเนื้อสัตว์กับผักสด วิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะเป็นประจำ อริสาเองช่วงก่อนที่จะทำธุรกิจร้านกาแฟจริงจังยังเคยไปวิ่งฮาล์ฟมาราธอนกับเขาอยู่สองสามรายการ

ส่วนดวงศิริเพื่อนรัก ขานั้นไม่รู้เพราะชอบกินเบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย จึงนัดประชุมทีมในร้านฟาสต์ฟูด หรือเพราะนัดคุยงานในร้านฟาสต์ฟูดสะดวกกว่าจึงทำให้ชอบกินเบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย เธอชวนเสมอว่ามาคุยงานที่ร้านสตาร์โรสเทอรีก็ได้ แต่ดวงศิริบอกว่าไกลเกินไป

นอกจากนี้ดวงศิริยังชอบต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน อ้างว่าใช้สมองเยอะเลยหิวตอนดึก แต่เธอแน่ใจว่าไม่ใช่หิวเพราะทำงานแน่ๆ น่าจะเพราะเล่นเกมหนักมากกว่า แต่ถึงจะเป็นสาวติดเกมออนไลน์ตั้งแต่สมัยเรียน อริสาก็ยอมรับว่าดวงศิริมีพรสวรรค์ด้านการเล่นเกมจนน่าจับตามอง

ถึงแม้เป็นการมองว่า แม่คุณเล่นหนักจนนอนตีสามตีสี่ แล้วจะตื่นไปทำงานไหวไหมก็ตาม

บ่อยครั้งที่ดวงศิริบ่นว่ามึนหัวเพราะงานเยอะจนนอนน้อย ลงเอยด้วยการเป็นหวัดอีกจนได้ ดีที่ได้พี่ภูแสนประเสริฐคอยดูแล ทำข้าวต้มมาให้กินถึงที่คอนโดฯ แต่ถึงอย่างนั้นแม่คุณก็ยังไม่วาย บ่นตบท้ายว่าช่วงนี้ดวงไม่ดีเลย มีเกณฑ์ป่วย

ระหว่างคนที่เชื่อตัวเอง ดำรงชีวิตอย่างมีสติและรอบคอบ กับคนที่เป็นกูรูด้านการมู บูชาทวยเทพ เชี่ยวชาญถึงขั้นมีไพ่ทาโรต์เป็นที่ปรึกษาประจำตัว แต่จัดการชีวิตตัวเองได้วุ่นวายเหลือเกิน อริสาหันมองเพื่อนสนิทที มองรุ่นพี่หนุ่มที เธอเองก็อยากรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของสองคนนี้จะเป็นเช่นไร

 

อิ่มอร่อยกับสเต๊ก สลัด และพักจนหายเหนื่อยแล้ว ทั้งสามก็ไปต่อกันที่ร้านไอศกรีม ดวงศิริสั่งกับพนักงานอย่างแคล่วคล่อง ไม่ต้องมองเมนู เชี่ยวชาญชำนาญจนน่าจะได้ติดเหรียญลูกค้าดีเด่น

ผิดกับภูริส เขาพลิกเปิดเมนูอยู่หลายที และเป็นอริสาที่สอบถามอย่างเอาใจใส่ว่าเขาชอบแนวไหน ช็อกโกแลต นมๆ ครีมมี่ หรือไปทางรสชาติผลไม้เปรี้ยวหวานสดชื่นดี เพิ่มเติมท็อปปิ้งอะไรบ้าง แล้วเดินไปสั่งให้ที่หน้าร้าน

ไม่ช้าไม่นาน ไอศกรีมสามถ้วยก็เสิร์ฟลงกลางโต๊ะ ผู้หญิงนั้นพอได้กินขนมหวานก็เหมือนลืมเรื่องน่าปวดหัวไปได้หมด สองสาวกลับมาสดใสเป็นปกติ พี่ใหญ่อย่างภูริสพลอยสดชื่นไปด้วย เขาตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งรู้ว่าเป้าหมายในการ ‘มู’ ของอริสาคือ นายสกาย

เขารู้จักสกายอยู่บ้าง รู้ว่าเป็นเพื่อนภาคของสองสาว เป็นหุ้นส่วนเจ้าของร้านสตาร์โรสเทอรี เมื่อก่อนตอนเขาแวะไปช่วยดวงศิริขึ้นโมเดลที่คณะสถาปัตย์ นายสกายก็มาทักทายบ่อยๆ

“พี่ว่า สกายเป็นคนที่ใช้ได้เลยนะ อิ๋มเองก็เป็นคนดี ยิ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำงานใกล้ชิดกันทุกวันก็ผูกพันกันแหละ พี่ว่าสกายก็รู้สึกเหมือนกันนะ”

“แต่มันแค่นั้นไงพี่ภู แค่นั้นมาตลอดสามปีเลย เอาจริงๆ อิ๋มไม่เคยมีความหวังเลยนะจนยัยหวานมาดูดวงให้เนี่ย ออกมาดีเฉย นี่ยังงงๆ อยู่เลยค่ะ”

“พี่ว่าพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันก็ได้หรอก แต่พึ่งพาตัวเองก็ยังต้องทำนะ มันยังมีแก๊บให้พัฒนาตัวเองได้อีก”

รุ่นน้องสองสาววางช้อนทั้งคู่ จ้องเขาตาเป๋ง ภูริสอธิบายอย่างระมัดระวัง

“เราเป็นเพื่อนที่ดีของเขาน่ะนับว่าถูกทางแล้ว แต่ถ้าจะก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปได้ ต้องทำตัวน่ารักมีเสน่ห์แบบที่เขาจะมองเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อนคนหนึ่ง”

ดวงศิริอึ้ง ไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้ ส่วนอริสายิ้มหวาน เอื้อมมาแตะข้างแขนเขาเบาๆ

“พี่ภูพูดตรงๆ ได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ อิ๋มจะได้รู้ความคิดเห็นของผู้ชายชัดๆ ไม่ต้องเดาเองตามประสาผู้หญิงๆ”

เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องสาวเปิดใจ เขาก็ลุย…

เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก เสื้อผ้าหน้าผม การแต่งหน้า รูปร่าง อริสาไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ ภูริสเน้นย้ำเสมอ เพียงแต่เธอยังสวยได้มากกว่านี้ ที่ผ่านมาอาจโฟกัสแต่งานจนไม่ได้ดูแลตัวเอง

และอีกสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มเน้นยิ่งกว่าความงามภายนอก นั่นคือความงดงามภายใน โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์

“สดใส อบอุ่น อ่อนหวาน ตลก เป็นพื้นที่สบายใจให้เขาและทุกคน พี่รู้ว่าอิ๋มเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว แต่…เอาอย่างงี้ รักษาทรงน่ารักอ่อนหวานแบบที่อยู่ต่อหน้าพี่ไว้ให้ได้ อย่าไปห้าวตอนอยู่กับนายสกายก็พอ”

อริสาหน้าแดง ยิ้มเขินที่ถูกจับได้ ทำไมพี่ภูถึงรู้ล่ะว่าเวลาเธออยู่กับสกายจะเปลี่ยนเป็นอีกคน

นับเป็นเรื่องแปลกแต่เกิดขึ้นเป็นปกติ คนเรามักทำเป็นเย็นชากับคนที่แคร์ที่สุด ทำตัวห่างเหินทั้งๆ ที่ชอบเขาที่สุด แล้วค่อยมาแอบเพ้อแอบฝัน เขียนไดอารีถึงเขาก่อนนอนเสียอย่างนั้น

หญิงสาวนึกเห็นตัวเองสวมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ กับกางเกงยีนส์เข่าขาด หน้าไม่แต่ง ผมรวบลวกๆ ชี้นิ้วสั่งงานเด็กๆ ในร้านฉะฉาน ทั้งที่คิดว่าเป็นคนชัดเจนกระฉับกระเฉง ไม่รู้ทำไมพวกน้องๆ ถึงกลัวเธอกัน

ตอนลูกน้องทำตามคำสั่งไม่ถูกต้องเธอก็ชักสีหน้าใส่ นายสกายชักช้าไม่ทันใจก็แค่…เสียงดังใส่นิดหน่อย เท่านั้นเอง

พี่ภูอ่านคนขาดชะมัด…อริสายอมรับ

“ไม่ต้องเชื่อพี่หมดก็ได้ ลองปรับใช้ดู” ภูริสพเยิดหน้าไปทางดวงศิริที่จ้วงไอศกรีมเงียบอยู่ “นี่ไง ถามคนมีแฟนดูสิ”

คนมีแฟนดึงช้อนไอศกรีมออกจากปากแล้วว่า

“โฮ้ย สบาย รักแท้มันไม่ต้องพยายามขนาดนั้น ถ้าเขาจะชอบเรา เขาก็ชอบที่เราเป็นตัวเองนั่นแหละ”

“เป็นตัวเองน่ะใช่ แต่เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดไง” ภูริสรอเสริมอยู่แล้ว “ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเองให้ผู้ชายชอบ แต่เป็นการพัฒนาตัวเองให้น่ารักจนใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ อิ๋มลองดูนะ ถึงตอนนั้น ไม่ใช่แค่สกายหรอก ต้องมีหนุ่มๆ มาจีบอีกเยอะ พี่รับรอง”

ดวงศิริไม่เห็นด้วยเท่าไร กินไปเถียงไปอีกหลายคำ สำหรับเธออริสาน่ารักที่สุด และคนเราควรมองกันที่ภายในจิตใจ ไม่ใช่ตัดสินกันแค่ภายนอกมิใช่หรือ

ส่วนหญิงสาวผู้เป็นต้นเรื่อง เธอรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่หนุ่มที่ให้คำแนะนำตรงไปตรงมา เริ่มสนุกซะแล้วแค่คิดว่าจะได้ปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่หมดทั้งภายในและภายนอก หญิงสาวผ่อนลมอย่างโล่งใจ เธอเองก็ลืมไปซะสนิทว่าโลกนี้ยังมีอะไรน่าสนใจมากมาย ไม่ได้มีแต่งานในร้านกาแฟซะหน่อย



Don`t copy text!