ปัญจปาปี ราชเทวี 2 ผัว (3)

ปัญจปาปี ราชเทวี 2 ผัว (3)

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

‘สนุกในพระไตรปิฎก’ ที่ พ่อครูมาลา คำจันทร์ ได้นำมาเขียนให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์นั้น ไม่ได้เอาหลักคำสอนลึกซึ้งในพระพุทธศาสนามาแสดง แต่เอาเรื่องราวอื่นๆ ที่คล้ายๆ กับเกร็ดที่ประกอบอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้สนุก คล้ายๆ การค่อยๆ จูงมือคนไกลวัดให้เข้าใกล้วัด

**********************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ดังได้กล่าวมาแต่ตอนแรกของเรื่องนี้แล้วว่าชาดกเรื่องนี้พระพุทธองค์มุ่งแสดงถึงโทษของมาตุคาม ไม่ได้มุ่งแสดงคุณของมาตุคาม คำว่ามาตุคามนักอ่านรุ่นใหม่อาจไม่ค่อยคุ้น เป็นศัพท์ทางศาสนา หมายถึงเพศหญิง คำว่ามาตุเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับแม่ มีหลายคำ เช่น มาตุ มาตา เป็นต้น แต่มาติไม่มี มีแต่มาติกาแปลว่าแม่บท ต้นบทหรือหัวข้อเรื่อง ทำไมพระองค์ถึงมุ่งแสดงโทษของผู้หญิง ก็เพราะพระภิกษุบวชใหม่ทั้งห้าร้อยยังกระสันคืออยากสึกออกไปหาพระชายาตามประสาชายหนุ่มราชกุมารทั้งหลาย แต่พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าราชกุมารเหล่านี้มีเชื้อหรือมีคุณสมบัติที่จะตัดขาดจากการเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นทุกข์กองใหญ่ในทัศนะทางพุทธศาสนาได้ จึงพาราชกุมารหนุ่มๆ น้อยๆ ทั้งหมดนี้เหาะไปเที่ยวป่าหิมพานต์ กุมารหนุ่มน้อยยังไม่บรรลุอะไรเลยจึงเหาะไม่ได้ แต่ก็ไปได้ด้วยกำลังฤทธิ์ของพระพุทธองค์ ทรงพาไปชมพงไพรใหญ่กว้าง มากมีด้วยแรดช้างเสือสิงห์กระทิงเถื่อนทั้งหลาย ไปถึงข้างสระกุณาลก็ชะลอลงแล้วยกเอาเรื่องพญานกกุณาละมาแสดง ในเรื่องนี้ทรงแสดงโทษสมบัติ ไม่ใช่คุณสมบัติของมาตุคามหลายคน เช่นนางกัณหาห้าผัว นางปิงคิยานีผู้ใคร่กาม นางกินรีเทวีผู้ปีนหน้าต่างไต่กิ่งไทรลงไปสมสู่กับชายเปลี้ย นางปัญตปาวี นักพรตสาวผู้มั่วกามเล่นเซ็กซ์หมู่กับนักเลงสุรา เป็นต้น ตอนท้ายของพระธรรมเทศนา ภิกษุหหนุ่มทั้งหลายเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้ น้อมใจไปในธรรมที่พระองค์เทศนา บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ได้ ขากลับก็เลยเหาะได้เอง มากันเต็มฟ้าเหมือนฝูงบินกามิกาเซ่มุ่งสู่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เรื่องนางปัญจปาปีผู้มีบาปก็เป็นอีกหนึ่งกรณีในเรื่องนี้ เรามาเดินเรื่องไปพร้อมๆ กันเลยนะ

———————————————————————————————————————

 

พระเจ้าพกะ ติดใจหลงใหลในรสสัมผัสอันวิเศษเหนือล้ำหญิงใดในหล้า ไม่ปรารถนาจะสู่สมภิรมย์ร่วมกับนางกำนัลตั้งหมื่นหกพันนางในพระราชนิเวศน์เลย หลงใหลใฝ่เพ้อแต่รสทิพย์ที่ได้จากนางปัญจปาปี รอคอยแต่ยามเย็นค่ำคล้อย นกตัวน้อยกลับสู่รวงรัง มืดค่ำดิบดีก็ปลอมพระองค์ไปอภิรมย์สมสุขกับนางร่างร้ายเหมือนปีศาจยักษิณี ต่อไปนี้เป็นสำนวนในอรรถกถา ท่านพรรณนาว่าไว้อย่างนี้

ต่อมาวันหนึ่ง บิดาของนางปัญจปาปีบังเกิดโรคลงโลหิต ยาที่จะรักษาโรคนั้นก็คือ ข้าวปายาสอันปรุงด้วยนมสดล้วน กับเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด เป็นต้น แต่คนปานนั้นขัดสน จึงไม่สามารถจะหามาได้. ลำดับนั้น มารดาของนางปัญจปาปีจึงพูดกับลูกสาวว่า ผัวของเจ้าสามารถหาข้าวปายาสได้หรือไม่

เล่า. นางปัญจปาปีจึงตอบว่า ผัวของข้าเห็นจะจนกว่าบ้านเรา แต่เอาเถอะจะลองถามเขาดูก่อน อย่าวิตกไปเลย ว่าดังนี้แล้ว นางปัญจปาปีก็วางกิริยาท่าทางว่าทุกข์ร้อน นั่งคอยท่ารอเวลาที่พระเจ้าพาราณสีเคยเสด็จมา ครั้นพอพระเจ้าพาราณสีเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า เจ้าเสียใจอะไร ทรงสดับความนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ยาขนานนี้เป็นยาสำหรับท่านผู้เป็นใหญ่เราจะได้มาแต่ที่ไหน ตรัสดังนี้ แล้วทรงคิดต่อไปอีกว่า เราไม่สามารถเที่ยวไปมาอย่างนี้ได้ น่าจะต้องประสบอันตรายตามหนทางแน่ ก็แต่ว่า

ถ้าจะพานางปัญจปาปีเข้าไปไว้ในวัง ชนทั้งหลายที่ไม่รู้ว่านางนี้มีสมบัติคือสัมผัสดี ก็จักพากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พระเจ้าแผ่นดินของเราไปพาเอานางยักษิณีที่ไหนมา จำเราจักทำให้ชาวพระนครเขารู้สัมผัสของนางเสียก่อนเถิดจึงจะปลดเปลื้องข้อครหานินทาได้…

พระองค์ทรงเล็งเห็นช่องทางที่จะพานางรสทิพย์ที่ไม่ใช่ชื่อผงปรุงรสยี่ห้อหนึ่งไปไว้ในพระราชวังเพื่อปลดเปลื้องคำครหานินทาเยาะเย้ยไยไพของคนทั้งหลาย จึงให้พวกแม่ครัวหัวป่าก์ปรุงข้าวยาคูขึ้น คำว่าแม่ครัวหัวป่าก์อาจเป็นปัญหาในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ มาลมผู้เล่าเองก็เคยมีปัญหาสมัยเมื่อวัยยังเอ๊าะ สงสัยว่าหัวป่าทำไมต้องมี ก.ไก่ใส่ไม้การันต์ทัณฑฆาตด้วยวะ แล้วไอ้คำว่าหัวป่านี่มันเป็นยังไง ทำไมไม่เป็นหัวบ้านหัวเมือง

คำว่าป่าก์มาจากไหน แปลว่าอะไรติดไว้ก่อน

พระราชาผู้อาจมีขายาวโย่งเย่งเหมือนนกกระยางให้เอาข้าวยาคูใส่ห่อสองห่อ ห่อหนึ่งให้ยัดพระจุฬามณีอันเป็นแก้วเพชรเก็จก่องมีราคาแพงมากเข้าไปในเนื้อข้าวยาคูด้วย พอโพล้เพล้เวลาใกล้ค่ำก็ปลอมตัวแล้วแอบออกไปอีก เอาห่อข้าวยาคูให้นางแล้วสั่งว่าวันนี้กินห่อนี้ พรุ่งนี้กินอีกห่อนะ หลับนอนกับนางที่กระท่อมโกกเกกโกโรโกโสใกล้ประตูเมืองคืนหนึ่ง พอใกล้รุ่งก็เสด็จกลับโขงเขตนิเวศน์วัง ถึงเวลาออกว่าราชการงานเมืองก็สั่งให้คนในวังเอาจุฬามณีมาให้ คนในเสาะหากันเท่าไรก็ไม่เจอ จึงให้ค้นหาทั่วพระนคร ในที่สุดก็ไปเจอที่เรือนนางปัญจปาปี

อันนี้เป็นอุบายของพระองค์ที่จะทรงนำนางรสทิพย์มาไว้ในวัง

ย้อนกลับไปที่ต้นชาดกก่อน หลอกล่อวางหมากวางกลให้คนหลงเท่านั้นเอง ต้นชาดกมีเรื่องราวน่าสนใจเชิงประวัติศาสตร์ อาจเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยพุทธกาล ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตกาลนานนับไม่ถ้วนก่อนเจ้าชายสิทธัตถะจะเกิด เรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ราชกุมารห้าร้อยออกผนวชบวชเป็นภิกษุ สองร้อยห้าสิบรูปมาจากญาติฝ่ายพ่อ อีกสองร้อยห้าสิบรูปมาจากญาติฝ่ายแม่ ใครเคยเรียนวิชาศีลธรรมคงจำได้ พ่อของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นศากยวงศ์ แม่ของพระองค์เป็นโกลิยวงศ์ ทั้งสองวงศ์ร่วมบรรพบุรุษคนเดียวกันคือพระเจ้าโอกกากราช ความจริงพุทธประวัติก่อนที่พระองค์จะประสูติก็มีเรื่องราวสนุกสนานอีกมากมายที่บรรจุไว้ ค่อยเอามาเล่าแทรกตามโอกาสอันควรก็แล้วกัน กลับมาถึงสาเหตุที่ราชกุมารห้าร้อยไม่ใช่โจรห้าร้อยออกบวช มีอยู่ปีหนึ่ง ศากยวงศ์ซึ่งอยู่ทางนครกบิลพัสดุ์กับโกลิยวงศ์ซึ่งอยู่ทางนครเทวทหะทะเลาะกันเพราะแย่งน้ำ ปีนั้นแล้งมาก แม่น้ำโรหิณีซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นแดนระหว่างสองนครแห้งผาก คนสองฝั่งทะเลาะกัน ลำเลิกโคตรเหง้าศักราชของสองวงศ์เป็นวาทะถ้อยคำเจ็บแสบน่าอดสู เรียกว่าด่าโคตรพ่อโคตรแม่กันเลยว่างั้นเถอะ ต่างฝ่ายต่างขุดโคตรเหง้าเหล่ากอกันออกมาด่า ฝ่ายโกลิยวงศ์ด่าศากยวงศ์ว่า…อ้ายพวกสังวาสกับน้องสาวของตัวเองเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน มีหมาบ้านและหมาป่าเป็นต้น ถึงจะมีกำลังเป็นต้นว่า ช้าง ม้า โล่และอาวุธ ก็จักกระทำอะไรแก่พวกกูได้…

ฝ่ายศากยวงศ์ก็ด่าโกลิยวงศ์ว่า…พวกมึงก็เหมือนกันจงพาเด็กขี้เรื้อนไปเสียในบัดนี้ อ้ายพวกอนาถา หาที่ไปไม่ได้ เที่ยวอาศัยอยู่ในโพรงไม้กระเบาเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ถึงจะมีโยธาหาญเป็นต้นว่าช้าง ม้า โล่และอาวุธ ก็จักกระทำอะไรแก่พวกกูได้…

คำด่าแม้เพียงแค่นี้ แต่ก็ลำเลิกตระกูลมูลเหง้าทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนตรงตามประวัติความเป็นมาของทั้งสองวงศ์ โกลิยวงศ์ด่าศากยวงศ์ว่าเป็นพวกสมสู่กันเองในหมู่พี่ชายน้องสาวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ส่วนศากยวงศ์ด่าโกลิยวงศ์ว่าเป็นพวกขี้เรื้อนอนาถาหาที่จะไปไม่ได้ จึงซุกอยู่ในโพรงไม้เหมือนสัตว์เดรัจฉาน คือฝ่ายศากยวงศ์ถือกำเนิดมาจากเก้ากุมารกุมารีพี่น้องที่ถูกขับออกมาจากพระนครดั้งเดิม ส่วนสาเหตุที่ถูกขับค่อยว่ากันวันหลัง ทั้งเก้าคนนี้คนโตเป็นพี่สาว อีกแปดที่เหลือเป็นชายหญิงสลับกัน พากันไปสู่ดงไม้สักกะอันเป็นที่มาของแคว้นสักกะ สร้างเมืองขึ้นบนที่อยู่ของกบิลฤๅษี เมืองนี้จึงชื่อกบิลพัสดุ์ แล้วกุมารกุมารีทั้งแปดก็จับคู่เป็นผัวเมียกัน ให้กำเนิดสืบมาเป็นศากยวงศ์ ราชวงศ์ฝ่ายพระพุทธบิดา

ส่วนพี่สาวคนโตไร้คู่ อยู่ต่อมาเป็นโรคเรื้อน น้องทั้งแปดกลัวโรคจะแปดติดลุกลามจึงเอาพี่สาวไปอยู่ในโพรงไม้ จะไปไหนก็ไม่ได้เพราะไม่มีที่จะไป ต่อมามีกษัตริย์อีกองค์เป็นขี้เรื้อนเหมือนกันตุหรัดตุเหร่มาพบพานกันก็เลยจับคู่ตุนาหงันเป็นผัวเป็นเมียแล้วสืบวงศ์ต่อมาเป็นโกลิยวงศ์ สองวงศ์เกี่ยวดองกันแน่นแฟ้น มักจะแต่งงานข้ามกันไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำนี้เอง แต่แล้งปีนั้นจะฆ่าจะฟันกันเพราะแย่งน้ำ ตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม จะรบทัพจับศึกกันเพราะแย่งน้ำ พระพุทธองค์ทรงทราบ บังเกิดความสลดสังเวชพระทัยจึงไปห้าม ทรงไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความกันจนสำเร็จ กษัตริย์ทั้งสองฝ่ายทึ่งในอานุภาพพระพุทธองค์ จึงให้ราชกุมารแต่ละฝ่ายออกบวชฝ่ายละ 250 องค์อย่างที่เล่าไปแล้ว พระพุทธปรีชาของพระองค์มักซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ประปรายหลายที่หลายแห่งในพระไตรปิฎก หากสบช่องค่อยแทรกมา ตอนนี้เรามาว่ากันถึงอุบายของพระเจ้าพกะขายาวกันต่อ พอข้าราชการงานหลวงค้นแก้วจุฬามณีพบแล้วก็ให้เอาตัวพ่อนางปัญจปาปีมาสอบสวน ชายยากไร้ตอบว่าไม่ได้ขโมย แต่ลูกเขยเอายัดในข้าวยาคูส่งมาให้ ครั้นเขาซักถึงลูกเขยก็ซัดไปหานางปัญจปาปี นางก็ว่าข้าเจ้าบ่ฮู้บ่หัน มันมาแต่เมื่อคืน แจ้งบ่แจ้งก็ไปแล้ว บ่ได้หันหน้าสักเทื่อ แต่ถ้าข้าเจ้าได้จับมือ ก็จะรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นผัว

พวกตุลาการก็เอาถ้อยคำขึ้นกราบทูล พระเจ้าพกะ ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำในอรรถกถา ลองอ่านดู

พระเจ้าพาราณสีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จึงตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นจงให้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ในม่านที่หน้าพระลาน แล้วเจาะช่องม่านพอมือลอดได้ สั่งชาวเมืองมาประชุมให้หญิงนั้นจับโจรให้ได้ด้วยสัมผัสมือ ราชบุรุษทั้งหลายก็ทำตามรับสั่ง พากันไปยังสำนักของนางปัญจปาปี แลดูรูปร่างแล้วก็เกิดเดือดร้อนเกลียดชังว่าถุย ถุย อีปีศาจ ต่างไม่อาจถูกต้องได้ ครั้นพานางมาแล้วก็ให้นั่งในม่านที่หน้าพระลาน จัดการให้ชาวพระนครทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน นางปัญจปาปีก็จับมือบุรุษที่มาแล้วและยื่นเข้าไปในช่องม่าน บอกขานเรื่อยไปว่าไม่ใช่สามี บุรุษทั้งหลายที่ได้สัมผัสถูกต้อง ก็ติดข้องในสัมผัสแห่งนางอย่างสัมผัสทิพย์ ต่างคนก็คิดในใจว่า ถ้าหญิงคนนี้ควรแก่สินไหม เราจะยอมหาให้ถึงจะตายเป็นทาสกรรมกรก็ไม่ว่า จะพาไปเลี้ยงไว้ในเรือน ต่างคนต่างไม่สามารถจะหลีกไปได้ จนราชบุรุษทั้งหลายโบยด้วยไม้จึงได้หนีไป คนทั้งปวงตั้งแต่อุปราชลงไปก็มีอาการปานกับจะเป็นบ้า พอหมดคนอื่นแล้ว พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า จะเป็นเราเองบ้างกระมัง จึงยื่นพระหัตถ์เข้าไป พอนางจับพระหัตถ์ก็ร้องเสียงดังลั่นว่า จับโจรได้แล้ว พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสถามราชบุรุษทั้งหลายว่า เมื่อนางนี้จับมือข้า พวกเจ้ามีความคิดอะไรบ้าง ราชบุรุษทั้งหลายก็กราบทูลตามความเป็นจริง.

อุบายพระเจ้าพกะจะสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายหรือไม่ อดใจรอตอนหน้า

 

Don`t copy text!