นางในพระไตรปิฎก : ปฏาจาราผู้เศร้าสูญ

นางในพระไตรปิฎก : ปฏาจาราผู้เศร้าสูญ

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

‘สนุกในพระไตรปิฎก’ ที่ พ่อครูมาลา คำจันทร์ ได้นำมาเขียนให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์นั้น ไม่ได้เอาหลักคำสอนลึกซึ้งในพระพุทธศาสนามาแสดง แต่เอาเรื่องราวอื่นๆ ที่คล้ายๆ กับเกร็ดที่ประกอบอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้สนุก คล้ายๆ การค่อยๆ จูงมือคนไกลวัดให้เข้าใกล้วัด

**********************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ยังมีปริมาณน้อย

ความเศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบแล้ว

น้ำของน้ำตามิใช่น้อย มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 นั้นเสียอีก

แม่เอย เหตุไร เจ้าจึงยังประมาทอยู่เล่า.

ไม่บังอาจไปแก้ไขถ้อยคำของท่านนะ ลอกมาจากอรรถกถา ปฏาจาราเถรีกถา แต่ที่จะเอามาเล่าวันนี้ อาจดึงมาจากธรรมบท มีบางอย่างขัดแย้งกันบ้างแต่ส่วนมากก็สอดคล้องกัน คำว่าปฏาจาราแปลว่าหญิงบ้า หรืออีบ้า ไม่ใช่ชื่อแต่กำเนิด อรรถกถาท่านให้ที่มาของฉายานามนี้ว่า

—นับตั้งแต่นั้นมา นางก็มีสมญาว่า ปฏาจารา เพราะมีอาจาระตกไป เหตุไม่เที่ยวไปด้วยผ้าแม้แต่เพียงผ้านุ่ง. ผู้คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ พร้อมทั้งขับไล่ว่า ไปอีคนบ้า. บางพวกก็โปรยฝุ่นอีกพวกหนึ่งก็ขว้างก้อนดินท่อนไม้—

มีอาจาระตกไป หมายถึงมีความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ตกต่ำไปจากมาตรฐานของคนทั่วไป เพราะเที่ยวซัดเซพเนจรไปโดยไม่นุ่งผ้า นางไม่ใช่นักบวชหญิงในลัทธิแก้ผ้า แต่นางไม่มีสำนึกรู้เลยว่านางเปลือยกายเดินไปในที่ต่างๆ นางถูกความเศร้าโศกคุกคามจนสติแตก คำง่ายๆ บ้านเราก็คืออีบ้า พูดให้ดีขึ้นหน่อยก็ว่าหญิงบ้า

ปฏาจารากลายเป็นผาบี้ คำเมืองล้านนาว่าผีบ้า ชีวิตนางประสบแต่ความสูญเสียซ้ำซากแสนสาหัส มีนักเพลงท่านหนึ่งเอาประวัติพระปฏาจาราเถรีไปแต่งเป็นเพลงแหล่โด่งดังลือลั่นมาก ไม่รู้นักอ่านรุ่นนี้จะรู้จักไหม

เพลงวังแม่ลูกอ่อน ท่านว่ามีอยู่ที่ริมฝั่งเจ้าพระยา

ก็ห้าหกสิบปีผ่านมาแล้วนะ ตอนนั้นมาลมผู้เล่ายังเป็นเด็กวัด อยู่มาวันหนึ่งถึงเวรตัวเองไปเก็บปิ่นโตที่ชาววัดเอาไปตกไว้ตามเหย้าเรือนหลังต่างๆ ในหมู่บ้าน มื้อเช้าบิณฑบาตเอา ไอ้พวกเราเป็นเด็กวัดมีหน้าที่ตีฆ้องมองๆ ไปก่อน หน้าหนาวค่อนข้างลำบาก หนาวๆ ก็หนาว ฝ่าเท้าก็เจ็บหนึบหนับเพราะเท้าเปล่าเหยียบย่ำบนทางไม่ค่อยโล่งเตียนนัก ได้โอกาสเลยขอเล่าความหลังของชาววัดมาให้ลูกหลานคนรุ่นใหม่ได้รับฟัง สมัยนั้นพระและเณรมีรองเท้าใช้แล้วเพราะมีศรัทธาญาติโยมถวายให้ แต่ขะโยมหรือเด็กวัดไม่มีเพราะไม่มีใครถวายเลย แต่เวลาบิณฑบาตทั้งพระและเณรก็ไม่สวมรองเท้านะ บิณฑบาตได้มาก็เป็นมื้อเช้า ส่วนมือเพลของพระและเณรจะใช้วิธีตกปิ่นโต คือเอาปิ่นโตเป็นเถาไปตก…ว้า จะพูดยังไงดี คำว่าไปตกไม่ใช่เอาไปโยนโครมครามให้มันตกนะ แต่เอาไปวางที่บ้านหัวหมวด ปิ่นโตเถาหนึ่งมีสี่ชั้น หนึ่งหมวดมีสี่บ้าน หัวหมวดจะเอาปิ่นโตแต่ละชั้นไปแจกลูกหมวด รุ่งขึ้นลูกหมวดจะเอากับข้าวใส่ปิ่นโตมาคืนที่บ้านหัวหมวด ครบตามจำนวนหัวหมวดก็จะร้อยปิ่นโตให้เข้าเถา ถึงเวลาราวสิบโมงครึ่งตอนเช้าพวกเราเหล่าเด็กวัดก็จะไปเก็บปิ่นโต พระเณรท่านฉันเพลเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ใครเก็บปิ่นโตมาไม่ทันเพลจะโดนฟาด

เด็กชายมาลมคนขี้เล่าโดนฟาดเพราะโดนเพลงวังแม่ลูกอ่อนสะกด

สะกดจริงๆ ตรึงเราอยู่กับที่เลย ฟังจนจบเพลง เพลงแหล่สมัยนั้นมักมีสองท่อน ระหว่างท่อนนักจัดรายการวิทยุสมัยนั้นจะโฆษณาคั่น คงเรื่อยเจื้อยลากยาวพอสมควร จำไม่ได้หรอกว่าโฆษณาอะไร เหมือนจะเป็นแป้งร่ำอมรา หรือยาดับกลิ่นตัวตราขี้เต่าอะไรแบบนั้น ไอ้เราก็รอฟังสิ รออยู่ใต้ร่มไม้ใกล้เรือนที่เปิดวิทยุ เนื้อเพลงท่านบรรยายไว้เศร้าโศกสะเทือนใจมาก ไอ้พวกเราเด็กวัดก็ใช่จะสันทัดเพลงไทยอะไรนักหนา ที่ว่าอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสันทัดเพลงฝรั่งอั้งม้ออะไรนะ คือพวกเราเป็นลูกข้าวนึ่ง เป็นละอ่อนคนเมือง คำเมืองคล่องแม่น แต่คำไทยยังไม่แข็งแรง แต่เนื้อเพลงกับเสียงร้องกลับสะกดเราอยู่หมัดเลย ไม่เสียใจเลยที่โดนหลวงพี่ฟาดก้น

ผู้ร้องและผู้แต่งคำร้องเป็นคนคนเดียวกัน

ท่านชื่อว่าพร ภิรมย์ หรือบุญสม อยุธยา ผู้ล่วงลับ

ไปหาฟังกันเอาเองนะ ในยูทูป

———————————————————————————————————

กลับเข้าเรื่องปฏาจาราผู้เศร้าสูญ ชีวิตนางทั้งโศกเศร้าและสูญเสีย แต่ภายหลังความเศร้าของนางดับสูญ เรื่องราวที่ท่านถ่ายทอดมาในอรรถกถาเถรีกถาและอรรถกถาธรรมบทมีอยู่ว่า กำเนิดของนางเป็นลูกสาวเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สิน แต่นางคงจัดอยู่ในพวกอีลูกไม่รักดีเพราะหนีตามผู้ชายคนอื่นไม่ใช่คนที่พ่อแม่หาให้ สำนวนในอรรถกถาท่านว่า

—ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัวเศรษฐีเติบโตเป็นสาวแล้ว ได้ทำความสนิทเสน่หากับคนงานคนหนึ่งในเรือนของตน บิดามารดาได้กำหนดวันที่จะส่งมอบนางให้ชายหนุ่มซึ่งมีชาติเสมอกัน. นางรู้เรื่องนั้นแล้วก็หยิบฉวยทรัพย์ที่สำคัญไว้ในมือ ออกไปทางประตูสำคัญกับชายที่สนิทเสน่หาคนนั้น อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ก็ตั้งครรภ์. เมื่อครรภ์แก่ นางก็พูดว่า นายจ๋า ประโยชน์อะไรที่จะอยู่อนาถาในที่นี้ ฉันจะกลับไปเรือนของครอบครัวละ เมื่อสามีพูดผัดเพี้ยนว่า วันนี้จะไป พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด นางคิดว่าผู้นี้โง่คงไม่พาเรากลับไปบ้านแน่ เมื่อสามีไปนอกบ้านแล้ว ก็เก็บงำสิ่งของที่ควรเก็บงำไว้ในเรือน แล้วสั่งคนที่อยู่ใกล้บ้านเรือนเคียงที่คุ้นเคยไว้ให้ช่วยบอกสามีว่า นางกลับไปเรือนตระกูลแล้ว เดินทางไปลำพังผู้เดียวหมายกลับเรือนตระกูล สามีกลับบ้านไม่พบภริยา ถามพวกคนคุ้นเคย ก็ทราบว่านางกลับบ้านเดิม ครุ่นคิดว่า เพราะตัวเราเอง นางจึงเป็นคนอนาถา จึงเดินสะกดรอยก็ไปทันกัน—

อธิบายแทรกนิดหน่อย นักปราชญ์ราชครู ท่านผู้รู้สันทัดเชี่ยวชาญวัฒนธรรมภารตะโบราณท่านว่าเป็นจารีตประเพณีที่นางใดก็ตามหากออกจากตระกูลเข้าสู่เรือนสามี เมื่อจะคลอดต้องกลับไปคลอดที่เรือนเดิม แล้วท่านก็ยกตัวอย่างใครต่อใครมากมาย แต่ที่ผู้เล่าจำได้คือพระนางสิริมหามายาพระมารดาของพระพุทธเจ้า พระนางท้องแก่ใกล้คลอด จึงเดินทางจากกรุงกบิลพัสดุ์จะกลับไปกรุงเทวทหะ แต่ไปถึงถึงแค่สวนลุมพินีก็ประสูติพระโพธิสัตว์เสียก่อน

กล่าวถึงสามีภรรยาผู้อาภัพคู่นี้ ผัวตามไปทันเมีย จะเว้าวอนอ่อนหวาน โอ้โลมปฏิโลมอันใดจนเมียใจอ่อนเราทราบไม่ได้ เมียเปลี่ยนใจไม่กลับเรือนเดิม อาจเพราะคลอดเสียก่อนกระมังก็เลยย้อนหลังมาครองรักครองเรือนเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากฝากผีฝากไข้กันไปตามประสา อยู่ต่อมานางก็ท้องอีก ก็จะกลับไปคลอดที่เรือนเดิมอีก คราวนี้ไปกันสามคนคือพ่อแม่กับลูกชายที่คลอดกลางทางคราวก่อน ไปยังไม่ทันถึงเรือนพ่อเรือนแม่ ยังอีกไกล นางก็เจ็บท้องคลอดอีกแล้ว ท่านพรรณนาไว้ดังนี้

—ลมกัมมัชวาตเกิดปั่นป่วน เมฆฝนอันมิใช่ฤดูกาลก็ตกลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้ามีหยาดฝนตกลงมาไม่ขาดสาย สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบไปรอบๆ เสียงเมฆคำรามดังจะแตกทลาย. นางเห็นแล้วก็พูดกับสามีว่า นายจ๋า ช่วยสร้างที่บังฝนหน่อยสิจ๊ะ สามีก็สำรวจดูที่โน่นที่นี่ พบพุ่มไม้มีหญ้าปกคลุมแห่งหนึ่ง จึงไปที่นั้นประสงค์จะตัดท่อนไม้ที่พุ่มไม้นั้น ด้วยมีดที่ถืออยู่ในมือ จึงตัดต้นไม้ซึ่งอยู่ที่พุ่มไม้นั้น ท้ายจอมปลวกที่หญ้าปกคลุม ในทันใดงูพิษร้ายก็เลื้อยออกมาจากจอมปลวกนั้น กัดเขา ล้มลงตายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง.

นางต้องประสบทุกข์มาก รอคอยการกลับมาของสามี โอบลูกน้อยทั้งสองซึ่งทนลมฝนไม่ไหวร้องไห้จ้าไว้แนบอก สองเข่าสองมือยึดพื้นดินไว้มั่นอยู่ท่านั้นตลอดคืน เมื่อราตรีสว่างก็เอาลูกคนหนึ่งซึ่งมีสีคล้ายชิ้นเนื้อนอนบนเบาะผ้าเก่า โอบด้วยมือ กกด้วยอกแล้วกล่าวกับลูกอีกคนหนึ่งว่า มานี่ลูก พ่อเจ้าไปทางนี้แล้วมองดูตามทางที่สามีไป พบสามีนอนตายอยู่ใกล้ๆ จอมปลวก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่า เพราะตัวเราทีเดียว สามีเราจึงตาย—

นางเพิ่งคลอดลูกใหม่ สามีถูกงูกัดตาย นางไร้ที่พึ่ง ลูกหนึ่งคงเพิ่งเตาะแตะ อีกลูกเพิ่งอุแว้ นางคงซมซานซัดเซไปแบบไร้ที่พึ่ง ฝนก็ตกน้ำก็นองต้องข้ามฟากไปฝั่งโน้น นางคงว้าวุ่นละล้าละลัง ท่านบรรยายว่านางไปๆ กลับๆ ตัดสินใจไม่ตก จะพาลูกว่ายข้ามน้ำที่กำลังนองไปพร้อมกันก็ไม่สามารถจะทำได้ จึงตัดสินใจบอกลูกคนโตให้รออยู่ฝั่งนี้ ส่วนนางก็พาลูกน้อยกระแด่วๆ ลอยคอจนข้ามฟากได้ นางหักกิ่งไม้ทึ้งหญ้าอ่อนลงปูแล้ววางไอ้หนูตัวน้อยนอนลงแล้วกลับไปรับลูกคนโต ถึงตรงนี้ท่านบรรยายไว้ว่า

—ขณะที่นางไปถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กอ่อนนั้น นึกว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโผลงจากอากาศ นางเห็นเหยี่ยวนั้นจึงยกสองมือขึ้นไล่ ทำเสียงดังๆ สามครั้งว่า สุ สุ เหยี่ยวไม่สนใจอาการของนางนั้น เพราะอยู่ไกลกัน ก็เฉี่ยวเอาเด็กอ่อนนั้นเหินขึ้นอากาศไป ลูกคนที่ยืนอยู่ฝั่งนี้ เห็นมารดายกสองมือส่งเสียงดัง ก็นึกว่าแม่เรียกตัว จึงโดดลงน้ำไปโดยเร็ว. ลูกอ่อนของนางถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตก็ถูกน้ำพัดไป ด้วยประการฉะนี้.

นางร้องไห้คร่ำครวญว่า ลูกเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีเราก็ตายที่หนทาง พลางเดินไปพบชายผู้หนึ่งถามว่า พ่อท่าน เป็นชาวเมืองไหนจ๊ะ ชายผู้นั้นตอบว่า เป็นชาวกรุงสาวัตถีจ้ะแม่คุณ. ถามว่า มีตระกูลชื่อโน้น อยู่ที่ถนนโน้นในกรุงสาวัตถี พ่อท่านรู้จักไหมจ๊ะ. ตอบว่า รู้จักจ๊ะแม่คุณ แต่อย่าถามข้าเลย ถามคนอื่นเถิดจ้ะ. นางกล่าวว่า คนอื่นข้าพเจ้าไม่ต้องการดอกจ้ะ จะถามท่านนี่แหละพ่อท่าน. ตอบว่า แม่คุณเอ๋ย โปรดไม่ให้บอกท่านไม่ได้หรือ วันนี้แม่นางเห็นฝนตกตลอดคืนยังรุ่งไหมเล่า. ข้าพเจ้าเห็นจ้ะพ่อท่าน ฝนนั้นตกตลอดคืนยังรุ่ง สำหรับข้าพเจ้าด้วยจ้ะแต่ข้าพเจ้าจะเล่าเหตุนั้นภายหลัง ขอท่านโปรดเล่าเรื่องในเรือนเศรษฐีแก่ข้าพเจ้าก่อนเถิดจ้ะ. แม่คุณเอ๋ย วันนี้เมื่อคืนนี้ เรือนล้มทับคน 3 คน คือเศรษฐี ภริยาของเศรษฐี และบุตรชายเศรษฐี ทั้งสามคน ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน ควันไฟที่พื้นยังเห็นอยู่เลยจ้ะแม่คุณ.

ขณะนั้น นางจำไม่ได้ว่าตนปราศจากผ้านุ่งห่มฟุบล้มลง โดยรูปที่เกิด เพราะเป็นคนบ้าด้วยความเศร้าโศก นางจึงวนเวียนเพ้อรำพันว่า

ลูกทั้งสองก็ตาย สามีเราก็ตายที่หนทาง

บิดามารดาและพี่ชาย ก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน.

นับตั้งแต่นั้นมา นางก็มีสมญาว่า ปฏาจารา เพราะมีอาจาระตกไปเหตุไม่เที่ยวไปด้วยผ้าแม้แต่เพียงผ้านุ่ง. ผู้คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ พร้อมทั้งขับไล่ว่า ไปอีคนบ้า. บางพวกก็โปรยฝุ่นอีกพวกหนึ่งก็ขว้างก้อนดินท่อนไม้ พระศาสดากำลังประทับนั่งทรงแสดงธรรมท่ามกลางบริษัทหมู่ใหญ่ ณ พระเชตวันวิหาร ทอดพระเนตรเห็นนางกำลังวนเวียนอย่างนั้น และทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ ได้ทรงทำโดยอาการที่นางจะบ่ายหน้ามายังพระวิหาร บริษัทเห็นนาง จึงกล่าวว่า อย่าให้หญิงบ้ามาที่นี่นะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าห้ามนางเลย เมื่อนางมาถึงที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า แม่นางจงกลับได้สติ ในทันใด นางก็กลับได้สติเพราะพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งหลุดหล่นหมดแล้ว เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมาก็นั่งคุกเข่าลง ชายผู้หนึ่งก็โยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้านั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วย เหยี่ยวเฉี่ยวเอาบุตรของข้าพระองค์ไปคนหนึ่ง คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายที่หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเรือนล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน. นางก็ทูลเล่าถึงเหตุแห่งความเศร้าโศก. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนปฏาจารา เจ้าอย่าคิดไปเลย เจ้ามาหาเราซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุ ฉันใด ในสังสารวัฏที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว ก็ฉันนั้น น้ำตาที่หลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุยังมากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้งสี่อีก เมื่อทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาว่า

น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ยังมีปริมาณน้อย ความ

เศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบแล้ว น้ำของน้ำ

ตามิใช่น้อย มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4

นั้นเสียอีก แม่เอย เหตุไร เจ้าจึงยังประมาทอยู่เล่า.

เมื่อพระศาสดากำลังตรัสกถาบรรยายเรื่องสังสารวัฏ ที่มีเงื่อนต้นและเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว ความเศร้าโศกของนางก็ค่อยทุเลาลง. ลำดับนั้นพระศาสดาทรงทราบว่า นางมีความเศร้าโศกเบาบางแล้ว เมื่อทรงแสดงว่า ดูก่อนปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้นหรือเป็นที่พึ่งของคนที่กำลังไปสู่ปรโลกได้ ดังนั้น ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อว่าไม่มี เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงชำระศีลของตน แล้วทำทางที่จะไปพระนิพพานให้สำเร็จ ดังนี้ จึงทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ไม่มีบุตรที่จะช่วยได้ บิดาก็ไม่ได้ แม้พวกพ้องก็ไม่ได้

เมื่อความตายมาถึงตัวแล้ว หมู่ญาติก็ช่วยไม่ได้เลย—

เมื่อความตายมาถึงตัว ใครๆ ก็ช่วยเราไม่ได้เลย

ธรรมข้อนี้ลึกซึ้งมาก ควรใคร่ครวญพิจารณาไว้บ้าง ถึงที่ตาย ไม่มีใครรอด ไม่มีใครช่วยเราได้เลย ไม่มีใครยืนหยัดอยู่ค้ำฟ้า เกิดมาก็ต้องตาย มีเรื่องเล่าว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ปรารถนาอมตภาวะคือความไม่ตาย อยากเป็นอมตะ ดำรงชีวิตอยู่ไปจนชั่วฟ้าดินสิ้นสลาย พระองค์ส่งคนไปค้นหายาวิเศษที่จะทำให้ไม่ตายไปจนสุดขอบโลก คนที่ไปยังไม่ทันกลับมา พระองค์ก็สิ้นพระชนม์

นางปฏาจาราน้อมใจใคร่ครวญไปตามพระธรรมเทศนา น้ำตาที่หลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุยังมากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้งสี่อีก— สำนวนแบบพระไตรปิฎกอาจฟังยากหน่อย แปลให้ง่ายอีกรอบว่า น้ำในมหาสมุทรที่ว่ามาก แต่น้ำตาของแม่ที่ร้องเพราะลูกตายมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก จบพระธรรมเทศนา ปฏาจาราผู้แสนโศกกลายเป็นปฏาจาราผู้เศร้าสูญ นางบรรลุอริยภูมิชั้นต้นเป็นพระโสดาปัตติผล กราบทูลขอบวชเป็นภิกษุณี อยู่ต่อมาไม่นานก็บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระเถรีผู้เศร้าสูญว่าเป็นผู้เคร่งครัดในพระวินัย

นางในพระไตรปิฎกเรื่องนี้ก็จบลง

 

Don`t copy text!