นางในพระไตรปิฎก : นางชั่ว แบกชู้ไว้บนหัวชั่วชีวิต (๒)

นางในพระไตรปิฎก : นางชั่ว แบกชู้ไว้บนหัวชั่วชีวิต (๒)

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

‘สนุกในพระไตรปิฎก’ ที่ พ่อครูมาลา คำจันทร์ ได้นำมาเขียนให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์นั้น ไม่ได้เอาหลักคำสอนลึกซึ้งในพระพุทธศาสนามาแสดง แต่เอาเรื่องราวอื่นๆ ที่คล้ายๆ กับเกร็ดที่ประกอบอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้สนุก คล้ายๆ การค่อยๆ จูงมือคนไกลวัดให้เข้าใกล้วัด

**********************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

สรุปเรื่องในอรรถกถาเรื่องจุลลปทุมชาดกตั้งแต่ต้นมาไว้ตรงนี้ก่อน ชาดกเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยพระราชาองค์หนึ่งมีพระโอรส 7 พระองค์ พระราชาทรงเห็นราชโอรสเข้มแข็งก็เกรงลูกจะแย่งราชสมบัติพ่อ จึงสั่งให้ลูกออกจากเมืองไปอยู่ในที่ห่างไกลก่อน เมื่อไรที่พ่อสิ้นชีวิตลูกค่อยกลับมาเอาเมือง กุมารทั้งเจ็ดก็พาพระชายาไปอยู่ในที่กันดาร คำว่ากันดารนี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า

ชื่อว่ากันดารมี 5 อย่าง คือ กันดารเพราะโจร 1 กันดารเพราะสัตว์ร้าย 1 กันดารเพราะขาดนํ้า 1 กันดารเพราะอมนุษย์ 1 กันดารเพราะอาหารน้อย 1. ในกันดาร 5 อย่างนั้นทางที่พวกโจรซุ่มอยู่ชื่อว่ากันดารเพราะโจรทางที่สีหะเป็นต้นชุกชุม ชื่อว่ากันดารเพราะสัตว์ร้ายอาศัยอยู่. สถานที่ที่ไม่มีนํ้าอาบหรือนํ้ากิน ชื่อว่ากันดารเพราะขาดนํ้า. ทางที่อมนุษย์สิงอยู่ ชื่อว่ากันดารเพราะมีอมนุษย์สิงอยู่. สถานที่ซึ่งเว้นจากของควรเคี้ยวอันเกิดแต่หัว เป็นต้น ชื่อว่ากันดารเพราะอาหารน้อย

ที่ที่พระกุมารไปอยู่น่าจะเป็นกันดารเพราะอาหารน้อยจึงเกิดการฆ่าเมียแล้วเอาเนื้อเมียมากิน ไล่มาแต่เมียของพระกุมารองค์เล็กสุดตามลำดับ แต่เจ้าชายปทุมราชกุมารผู้เป็นพระโพธิสัตว์กินเนื้อน้องสะใภ้ครึ่งเดียว อีกครึ่งเก็บไว้ ถึงเวรที่ตนจะต้องฆ่าเมียกินเนื้อ ก็เอาเนื้อส่วนที่เก็บไว้ให้น้องทั้งหกกินแล้วพาเมียตัวเองหนี ฟันฝ่าความทุกข์ยากต่างๆ นางเดินไม่ได้ก็แบกไป นางหิวน้ำ แต่ถิ่นนั้นหาน้ำลำบากก็เอาพระขรรค์เจาะเข่าให้นางดื่มเลือด กระทั่งลุฝั่งน้ำแห่งหนึ่งก็สร้างกระท่อมห้อมหออยู่กันสองคน อยู่มาวันหนึ่ง ที่ในเมืองเขาลงโทษโจรโดยตัดมือตัดเท้า เฉือนใบหูกับจมูกแล้วเอาใส่เรือลอยน้ำมา โจรส่งเสียงร้องครวญคราง พระโพธิสัตว์สงสารก็ช่วยเหลือเฟื้อกู้จนโจรรอดชีวิต พระองค์ออกไปแสวงหาผลาผลหมากรากไม้มาเลี้ยงโจรกับชายาทุกวัน ข้างฝ่ายพระชายาพึงใจโจรก็ลักลอบเป็นชู้แล้วคิดฆ่าพระกุมาร นางวางแผนพาพระกุมารขึ้นไปยืนบนปากเหวแล้วทำทีเหมือนจะประกอบพิธีบูชาเทวดาคือพระภัสดาผู้ผัว พอได้ทีก็ผลักผัวผู้ดีแสนดีแต่อาจไม่มีทีเด็ดทางเมถุนกรรมหรืออย่างไรไม่รู้ แล้วก็กลับไปเสพสุขกับชู้โจรมือด้วนเท้าด้วนหูแหว่งจมูกวิ่น ตอนที่แล้วเล่าค้างมาถึงตรงนี้แล้วติดหนี้ท่านผู้อ่านถึงเรื่องกรรมกรณ์หรือการลงทัณฑ์มหาหฤโหด ตอนนี้จะเอาทัณฑกรรมหรือกรรมกรณ์ตามถ้อยคำสำนวนในพระอรรถกถามาแสดง ท่านจำแนกแจกแจงไว้ในอรรถกถามหาทุกขักขันธสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ไว้ดังนี้

—————————————————————————————————————

บทว่า พิลงฺคถาลิกํ ได้แก่กรรมกรณ์ คือต้มด้วยหม้อข้าว. พระราชาทั้งหลายเมื่อจะทรงทำกรรมกรณ์นั้นก็ถลกกะโหลกศีรษะออก เอาคีมปากนกแก้วจับก้อนเหล็กร้อนวางบนกะโหลกศีรษะนั้น เอาคีมเหล็กนั้นคีบมันสมองยกขึ้นเบื้องบน.

บทว่า สํขมุณฺฑกํได้แก่ กรรมกรณ์คือขอดสังข์. เมื่อจะทำกรรมกรณ์นั้น ลอกหนังด้วยการกำหนดจอนหูและโคนคอทั้งสองข้างให้ตั้งไว้เบื้องบน รวบผมทั้งหมดให้เป็นกำหนึ่ง พันกับท่อนไม้ยกขึ้น หนังพร้อมกับผมทั้งหลายหลุดออก แต่นั้นก็เคาะหัวกะโหลกศีรษะด้วยก้อนหินหนา  ล้างทำให้มีสีเหมือนสังข์.

บทว่า ราหุมุขํได้แก่ กรรมกรณ์คือปากราหู. เมื่อจะทำกรรมกรณ์นั้นก็เปิดปากด้วยขอเหล็ก ตามประทีปภายในปาก หรือเจาะปากด้วยเหล็กแหลม จนถึงจอนหูทั้งสองข้าง. เลือดไหลออกเต็มปาก.

บทว่า โชติมาลกํ ได้แก่พันสรีระทั้งสิ้นด้วยผ้าชุบน้ำมันแล้วจุดไฟ.

บทว่า หตฺถปชฺโชติกํ ได้แก่พันมือทั้งสองข้างด้วยผ้าชุบน้ำมันแล้วตามประทีปให้โพลง.

บทว่า เอรกวตฺติกํ ได้แก่กรรมกรณ์ คือนุ่งหนังช้าง. เมื่อทำกรรมกรณ์นั้นตัดแผ่นหนังตั้งแต่คอขึ้นไปวางไว้ที่จอนผม  ลำดับนั้นก็ผูกมันด้วยเชือกทั้งหลายแล้วดึงไป เขาเหยียบแล้วเหยียบอีกซึ่งแผ่นหนังของตนก็ล้มลง.

บทว่า จีรกวาสินํได้แก่ กรรมกรณ์คือนุ่งสาหร่าย. เมื่อทำกรรมกรณ์นั้นก็ลอกแผ่นหนังเหมือนอย่างนั้นให้จดสะเอว ลอกตั้งแต่สะเอวจดข้อเท้าทั้งสองข้าง สรีระล่างกับข้างบนเป็นเหมือนผ้านุ่งที่ทำด้วยเปลือกปอ.

บทว่า เอเณยฺยกํ ได้แก่ กรรมกรณ์คือยืนกวาง. เมื่อจะทำกรรมกรณ์นั้น ก็มัดลวดเหล็กที่ข้อศอกและเข่าทั้งสองข้างแล้วก็ตอกเหล็กแหลมทั้งหลาย. เขายืนอยู่ในแผ่นดิน  ด้วยเหล็กแหลม 4 อัน  ลำดับนั้น ก็แวดล้อมเขา ก่อเพลิงเป็นเหมือนกวางล้อมไฟ สมดังที่ท่านกล่าวไว้แม้ในที่มาแล้วอย่างนี้ว่า เขาถอดเหล็กแหลมตามเวลาอันสมควรนั้น ตอกไว้กับกระดูกสะเอว 4 แห่งนั้นเทียว ขึ้นชื่อว่า การกระทำที่เห็นปานนี้ไม่มี.

บทว่า พฬิสมํสิกํ ได้แก่ ตีด้วยเบ็ดมีขอทั้งสองข้างแล้วกระชากหนัง เนื้อและเอ็น. บทว่า กหาปณกํ ได้แก่ ควักสรีระทั้งสิ้นให้ตกออกไปทีละประมาณกหาปณะ ตั้งแต่สะเอวด้วยมีดคมกริบทุบตี. บทว่าขาราปฏิจฺฉกํ ได้แก่ ตีสรีระในที่นั้นๆ ด้วยอาวุธทั้งหลาย ราดน้ำด่าง ขัดด้วยแปรง หนังเนื้อและเอ็นก็ไหลออก คงเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น.

บทว่า ปลิฆปริวตฺตกํ ได้แก่ให้นอนข้างเดียวแล้วตอกหลาวเหล็กแหลม

ในช่องหูทำให้ติดกับดิน ลำดับนั้น จึงจับเท้าของเขาแล้ววนเวียน.

บทว่า ปลาลปีฐกํ ได้แก่ผู้ทำกรรมกรณ์ที่ฉลาด แล่ผิวหนังออกทุบกระดูกทั้งหลายด้วยลูกหินบดแล้ว  จับผมทั้งหลายยกขึ้น คงมีแต่กองเนื้อเท่านั้น ลำดับนั้นก็รวบผมของเขาเท่านั้น จับบิดทำเหมือนเกลียวฟาง.

บทว่า สุนเขหิ ได้แก่ยังสุนัขทั้งหลายที่หิวจัดเพราะไม่ให้อาหาร 2-3 วัน ให้พึงกัดกิน สุนัขเหล่านั้นก็ทำให้เหลือโครงกระดูกครู่เดียวเท่านั้น.

บทว่า สมฺปรายิโก ความว่าเป็นวิบากในสัมปรายภพในอัตตภาพที่สอง.

คงไม่ต้องแปลแล้วเนาะ เหนื่อยเหมือนกัน มาฟังชาดกกันต่อไปเลย

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตกลงจากภูเขากลิ้งลงไปตามเหว ติดอยู่ที่พุ่มไม้มีใบหนาไม่มีหนามแห่งหนึ่ง เหนือยอดต้นมะเดื่อ. แต่ไม่สามารถจะลงยังเชิงเขาได้.พระองค์จึงเสวยผลมะเดื่อ ประทับนั่งระหว่างกิ่ง. ขณะนั้นพญาเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ขึ้นจากเชิงเขาชั้นล่าง กินผลมะเดื่ออยู่ ณ ที่นั้น. มันเห็นพระโพธิสัตว์ในวันนั้นจึงหนีไป. รุ่งขึ้นมากินผลไม้ที่ข้างหนึ่งแล้วหนีไป. พญาเหี้ยมาอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ก็คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์ ถามพระโพธิสัตว์ว่าท่านมาที่นี้ได้อย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์บอกให้รู้แล้วจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านอย่ากลัวเลย ให้พระโพธิสัตว์นอนบนหลังของตน ไต่ลงออกจากป่าให้สถิตอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไปตามทางนี้แล้วก็เข้าป่าไป.

พระโพธิสัตว์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้น ก็ได้ข่าวว่าพระชนกสวรรคตเสียแล้ว จึงเสด็จไปยังกรุงพาราณสี ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูล ทรงพระนามว่าพระปทุมราชา ทรงครอบครองราชย์โดยธรรม มิให้ราชธรรมกำเริบ รับสั่งให้สร้างโรงทานหกแห่งที่ประตูพระนครทั้งสี่กลางพระนคร และประตูพระราชนิเวศน์ ทรงบริจาคทรัพย์บำเพ็ญมหาทานวันละหกแสน.

หญิงชั่วแม้นั้นก็ให้ชายชั่วนั่งขี่คอออกจากป่า เที่ยวขอทานในทางที่มีคนรวบรวมข้าวยาคูและภัตรเลี้ยงดูชายชั่ว

นั้น. เมื่อมีผู้ถามว่าคนนี้เป็นอะไรกับท่าน นางก็บอกว่า ฉันเป็นลูกสาวของลุงของชายผู้นี้ เขาเป็นลูกของอาฉัน พ่อแม่ได้ยกฉันให้ชายผู้นี้. ฉันต้องแบกสามีซึ่งต้องโทษเที่ยวขอทานเลี้ยงดูเขา.พวกมนุษย์ต่างพูดกันว่า หญิงนี้ปรนนิบัติสามีดีจริง. ตั้งแต่นั้นมาก็พากันให้ข้าวยาคูและภัตรมากยิ่งขึ้น. คนอีกพวกหนึ่งพูดกันว่า ท่านอย่าเที่ยวไปอย่างนั้นเลย พระเจ้าปทุมราชเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีป. พระเจ้าปทุมราชทรงเห็นแล้วจักทรงยินดีพระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก เจ้าจงให้สามีของเจ้านั่งในนี้พาไปเถิด แล้วได้มอบกระเช้าหวายทำให้มั่นคงไปใบหนึ่ง. นางปราศจากยางอายให้ชายชั่วนั่งลงในกระเช้าหวาย แล้วแบกกระเช้าเข้าไปกรุงพาราณสีเที่ยวบริโภคอาหารอยู่ในโรงทาน.

พระโพธิสัตว์ประทับเหนือคอคชสารที่ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ เสด็จถึงโรงทาน ทรงบริจาคทานด้วยพระหัตถ์เองแก่คนที่มาขอแปดคนบ้าง สิบคนบ้าง แล้วเสด็จกลับ. หญิงไม่มียางอายนั้น ให้ชายชั่วนั่งในกระเช้าแล้วแบกกระเช้าผ่านไปในทางเสด็จของพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามว่า นั่นอะไร. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะหญิงปฏิบัติสามีคนหนึ่ง พระเจ้าข้า.

ลำดับนั้นพระองค์รับสั่งให้เรียกนางมา ทรงจำได้ รับสั่งให้เอาชายชั่วออกจากกระเช้าแล้วตรัสถามว่า ชายนี้เป็นอะไรกับเจ้า. นางกราบทูลว่า เขาเป็นลูกของอาของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นสามีที่พ่อแม่ยกหม่อมฉันให้เขาเพคะ. พวกมนุษย์ไม่รู้เรื่องราวนั้นต่างพากันสรรเสริญหญิงผู้ไร้อายนั้นเป็นต้นว่า น่ารักจริง เธอเป็นหญิงปฏิบัติสามีดี.พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ชายชั่วผู้นี้เป็นสามีตบแต่งของเจ้าหรือ. นางจำพระราชาไม่ได้จึงกล้ากราบทูลว่า เป็นความจริงเพคะ. พระราชาจึงตรัสว่า ชายผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือ เจ้าเป็นธิดาของพระราชาองค์โน้น มีชื่ออย่างโน้นเป็นชายาของปทุมราชกุมาร ดื่มโลหิตที่เข่าของเราแล้วมีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วผู้นี้ ผลักเราตกลงในเหว บัดนี้เจ้าบากหน้ามาหาความตาย สำคัญว่าเราตายไปแล้ว จึงมาถึงที่นี่ ตรัสว่าเรายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย พวกท่านถามเรา เราได้บอกพวกท่านไว้อย่างนี้แล้วมิใช่หรือว่า น้องหกองค์ของเราได้ฆ่าสตรีหกคนบริโภคเนื้อ. แต่เราได้ช่วยชายาของเราให้ปลอดภัยพาไปฝั่งแม่น้ำคงคาอาศัยอยู่ในอาศรมบท ได้ช่วยชายเลวคนหนึ่งที่ต้องราชทัณฑ์มาเลี้ยงดู. หญิงคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วนั้น ผลักเราตกลงไปในเหวภูเขา เรารอดชีวิตมาได้เพราะตนมีจิตเมตตา หญิงที่ผลักเราตกจากเขามิใช่อื่นคือ หญิงชั่วคนนี้เอง และชายชั่วที่ต้องราชอาญาก็มิใช่อื่น คือคนนี้นี่แหละ แล้วได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

หญิงคนนี้แหละคือหญิงคนนั้น แม้เราก็

คือบุรุษคนนั้นมิใช่คนอื่น ชายคนนี้แหละที่หญิง

คนนี้อ้างว่าเป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี

ก็คือชายที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้นชื่อว่า

หญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมดเลย ความสัตย์ไม่มี

ในหญิงทั้งหลาย.

ท่านทั้งหลายจงฆ่าชายผู้ชั่วช้าลามกราว

กับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้เสีย ด้วย

สาก จงตัดหู ตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว

ช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็นๆ เถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยมาห โกมาริปติโก มมนฺติ ความว่าหญิงนี้กล่าวว่า ชายนี้เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี คือเป็นผัวตบแต่ง ก็คือหญิงคนนี้แหละ แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่อื่น. บาลีว่า ยมาห โกมาริปติ ก็มี. เพราะท่านเขียนบทนี้ไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย. ความก็อย่างเดียวกัน. แต่ในบทนี้พึงทราบความคลาดเคลื่อนของคำ. ก็พระราชาตรัสคำใดไว้ คำนั้นแหละมาแล้วในที่นี้. บทว่า วชฺฌิตฺถิโย ความว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมด.

บทว่า นตฺถิ อิตฺถีสุ สจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าความสัตย์ในหญิงเหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียว. บทว่า อิมญฺจ ชมฺมํ เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการลงโทษชายเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ คือ ลามก. บทว่า มุสเลน หนฺตฺวา ได้แก่ เอาสากทุบตีทำให้กระดูกหักเป็นชิ้นๆ. บทว่า ลุทฺทํ คือ หยาบช้า. บทว่า ฉวํ ได้แก่ คล้ายคนตาย เพราะไม่มีคุณธรรม. บทว่า นํ ในบทว่าอิมิสฺสา จ นํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงตัดหู และจมูก ของหญิงนี้ ผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว ไม่มียางอาย เป็นคนทุศีลทั้งๆ ยังเป็นอยู่.

พระโพธิสัตว์เมื่อไม่ทรงสามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้ แม้รับสั่งให้ลงอาญาแก่พวกเขาอย่างนี้ ก็มิได้ทรงให้กระทำอย่างนั้นได้. แต่ได้ทรงบรรเทาความโกรธให้เบาบางลง แล้วรับสั่งให้ผูกกระเช้านั้นจนแน่น โดยที่นางไม่อาจยกกระเช้าลงจากศีรษะได้ ขังชายชั่วนั้นไว้ในกระเช้าจนกระทั่งตาย.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้บรรลุโสดาปัตติผล พี่น้องทั้งหกในครั้งนั้นได้เป็นพระเถระองค์ใดองค์หนึ่งในครั้งนี้. ภรรยาได้เป็นนางจิญจมาณวิกา ชายชั่วได้เป็นเทวทัต พญาเหี้ยได้เป็นอานนท์ ส่วนปทุมราชา คือเราตถาคตนี้แล.

จบ อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ 3

Don`t copy text!