นางในพระไตรปิฎก : กินรีเทวี

นางในพระไตรปิฎก : กินรีเทวี

โดย : มาลา คำจันทร์

‘สนุกในพระไตรปิฎก’ ที่ พ่อครูมาลา คำจันทร์ ได้นำมาเขียนให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์นั้น ไม่ได้เอาหลักคำสอนลึกซึ้งในพระพุทธศาสนามาแสดง แต่เอาเรื่องราวอื่นๆ ที่คล้ายๆ กับเกร็ดที่ประกอบอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้สนุก คล้ายๆ การค่อยๆ จูงมือคนไกลวัดให้เข้าใกล้วัด

**********************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“ท่าน้ำมิได้หวงห้ามใครๆ ในบรรดาคนที่สูงสุด และต่ำที่สุดผู้ลงไปอาบน้ำฉันใด แม้หญิงเหล่านี้เมื่อมีที่ลับหรือคราวหรือช่อง ก็ย่อมไม่ห้ามบุรุษใดๆ เหมือนกัน ฉะนั้น”

ข้อความที่ยกมา ก็ยังยกมาจากกุณาลชาดกซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่แสดงถึงโทษของมาตุคามที่มีต่อนักบวชหรือผู้ประพฤติพรหมจรรย์ นักบวชในความหมายนี้มุ่งจำเพาะเจาะจงไปที่พระภิกษุ โดยเฉพาะคือภิกษุผู้กระสัน อยากจะสึกออกไปเพราะทนอำนาจความเย้ายวนของมาตุคามไม่ได้ มีอยู่มากมายหลายเรื่อง ไม่เฉพาะแต่กุณาลชาดกเท่านั้น ลองอ่านไปแบบวางใจเป็นกลางนะ สาวใหญ่สาวน้อยร้อยชั่งพันชั่งทั้งหลาย อย่าเพิ่งโวยวายเกรี้ยวกราดว่า—คุกคามประชาชน— ไม่ใช่ พลั้งไป คุกคามมาตุคาม น่าจะตรงกว่า

ชาดกทั้งหมดทั้งมวล มีมากมายประมาณห้าร้อยเรื่อง เลยเป็นสำนวนติดปากคนไทยว่าพระเจ้าห้าร้อยชาติ เรื่องที่ท่านแสดงถึงคุณของมาตุคามก็มีมากมาย ยังไม่ถึงโอกาสจะเล่าเท่านั้น นางร้ายทั้งหลายในพระไตรปิฎก ส่วนมากจะปรากฏในชาดกอันเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งในพระไตรปิฎก เป็นส่วนเล็กน้อย อยู่ในหมวดขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ กลุ่ม หรือกอง ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ ส่วนยิบๆ ย่อยๆ กระจุกกระจิกอะไรทำนองนี้ ส่วนนางดีๆ ทั้งหลาย ปรากฏในชาดกก็มาก ปรากฏพระสูตรและพระวินัยก็เยอะมาก ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับพระไตรปิฎกอาจจะงงๆ ขออธิบายคร่าวพอเข้าใจกันได้ง่ายว่าคำว่าไตรปิฎกแปลง่ายว่าสามตะกร้า ไม่เกี่ยวกับสำนวนไทยที่พูดว่าไอ้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกนะ สำนวนนี้มักใช้กับคนกะล่อน ลื่นไหล ตลบตะแลงหรือกลับกลอก จับให้มั่น คั้นให้ตายได้ยาก

ตะกร้าสามใบนี้ท่านใส่อะไรไว้บ้าง ท่านใส่พระสูตร พระอภิธรรม และพระวินัย

ใบแรกที่ชื่อพระสูตร ท่านแบ่งออกเป็นนิกายหรือกลุ่มหรือหมู่หรือพวกใหญ่ๆ เป็นทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททกนิกายรวมห้าหมวด

ในขุททกนิกาย ท่านแบ่งย่อยลงไปเป็น ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิเทศ ปฏิสัมภิทาวรรค อปทาน พุทธวังสะ และจริยาปิฎก

อันนี้กล่าวเฉพาะตะกร้าใบแรกนะ เป็นหมวดพระสูตร เรียกชื่อแบบเป็นทางการว่าสุตตันตปิฎก

วันนี้รู้คร่าวเพียงแค่นี้ก่อน ขนาดแค่นี้ก็ออกอาการจะมึนๆ กันละใช่ไหม ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเนื้อหาสาระในพระไตรปิฎกลึกซึ้งกว้างขวางปานมหาสมุทร ส่วนตัวมาลมผู้เล่าเสมอเพียงจ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น เอาหางจุ่มลงไป ไฉนจะหยั่งลงถึงก้นมหาสมุทรได้เล่า

ตอนที่ริจะเขียนสนุกในพระไตรปิฎกก็ยังคิดเลยว่า มีคำว่าฉบับจ่อนจุ่มหางดีไหม เห็นว่ามันจะรุ่มร่ามเกินไปเลยตัดทิ้ง จ่อนจุ่มหางมีที่มา เป็นสำนวนในเอกสารโบราณสักเรื่องแต่จำไม่ได้ว่าอ่านจากที่ไหน จ่อนคืออะไร จ่อนคือพังพอน มันน่าจะมีอะไรเกี่ยวโยงกับนิทานโบราณเรื่องแม่จ่อนเอาหางจุ่มทะเลแล้ววิ่งไปสลัดน้ำทะเลอกจากหาง แล้ววิ่งไปมหาสมุทรเอาหางจุ่มแล้วเอาน้ำทะเลไปสลัดทิ้งอีก การกระทำของแม่จ่อนร้อนไปถึงพระอินทร์ ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ—-อย่างกลอนในพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทองว่าไว้ พระอินทร์เลยลงมาถามว่าแม่จ่อนตัวจ้อยเอ๋ย สูทำอย่างนี้เพื่ออะไร แม่จ่อนตอบว่า พญานาคลักลูกของข้าเจ้าเอาไปซ่อนไว้เมืองบาดาล ข้าเจ้าจะวิดน้ำทะเลหื้อแห้งแล้วลงไปเอาลูก พระอินทร์สรรเสริญในความมานะพยายามของนางจ่อน จึงบังคับพญานาคให้เอาลูกจ่อนมาส่งคืนนาง

แต่เรื่องราวที่จำมามันไม่เกี่ยวข้องกับการประเมินตัวเองว่าลึกซึ้งหรือตื้นเขินอะไรอย่างไร จึงไม่ค่อยแน่ใจที่ไปที่มา

กลับไปต่อข้อความที่ท่านยกมาประณามหรือตำหนิผู้หญิงกันต่อ ท่านกล่าวข้อความนั้นแล้วยกเรื่องราวมาประกอบ อ่านกันยาวๆ เลยนะ ไม่ตัดต่อตัดทอนอะไรทั้งสิ้น ไม่ออกความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อะไรเลย

ต่อไปนี้ พระอรรถกถาจารย์นำเรื่องต่างๆ มาสาธกไว้ว่าในอดีตกาลมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า กินนร เสวยราชย์อยู่ในเมืองพาราณสีมีพระรูปโฉมงามยิ่งนัก อำมาตย์พันหนึ่งย่อมนำหีบเครื่องหอมมาถวายทุกๆ วัน

เมื่อประพรมเครื่องหอมในพระราชนิเวศน์ทั่วแล้ว ก็ผ่าหีบทำเป็นไม้ฟืนหอมหุงพระกระยาหารถวาย พระเจ้ากินนรมีปุโรหิตมีปัญญาหลักแหลมผู้หนึ่งชื่อปัญจาลจัณฑะ มีชนมายุเท่ากับพระองค์ ก็ที่ต่อกับปราสาทของพระเจ้ากินนร

นั้น มีต้นหว้าต้นหนึ่งอยู่ในกำแพงวัง กิ่งหว้าทอดข้ามกำแพงออกไป มีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่ง รูปร่างชั่วช้าน่าเกลียด อาศัยอยู่ที่ร่มไม้หว้า อยู่มาวันหนึ่งนางกินรีเทวีเยี่ยมมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นบุรุษเปลี้ยนั้นแล้วก็ผูกพันรักใคร่ เวลาราตรี ยังพระเจ้ากินนรให้ทรงยินดีด้วยกิเลสแล้วและบรรทมหลับไป นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจัดอาหารอันประณีตมีรสอร่อย ใส่ขันทองห่อไว้ที่ชายพก แล้วก็ไต่เชือกลงทางหน้าต่าง ปีนขึ้นบนต้นหว้าไต่ลงมาตามกิ่งเชิญบุรุษเปลี้ยให้กินอาหาร แล้วทำการอันลามกกับบุรุษเปลี้ยสำเร็จแล้ว ก็กลับขึ้นปราสาทตามทางเดิม ประพรมสรีระกายด้วยของหอมแล้วก็เข้าไปนอน

กับพระเจ้ากินนร ประพฤติลามกอย่างนี้เสมอมา พระเจ้ากินนรก็มิได้ทรงทราบจนอยู่มาวันหนึ่งเสด็จประทักษิณพระนคร เวลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษเปลี้ยมีอาการน่ากรุณาอย่างยิ่ง จึงตรัสถามปุโรหิตว่าเห็นมนุษย์เปรตนั่นหรือไม่ ครั้นปุโรหิตรับพระราชโองการว่าเห็นแล้ว จึงตรัสถามต่อไปว่า บุรุษที่มีรูปร่างน่าเกลียดเห็นสภาวะปานฉะนี้ จะมีหญิงคบหาด้วยอำนาจฉันทราคะบ้างหรือไม่ บุรุษเปลี้ยได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้นก็เกิดมานะขึ้นมา พระเจ้าแผ่นดินพูดอะไรเช่นนี้ ชะรอยจะไม่รู้ว่าเทวีของตัวมาหาเราคิดแล้วก็ประนมมือไหว้ต้นหว้ากล่าววาจาค่อยๆ ว่า เชิญเทพยดาซึ่งเป็นเจ้าสิงอยู่ที่ต้นหว้าฟังเราเถิด คนอื่นๆ นอกจากท่านแล้วก็ไม่มีใครรู้.

ปุโรหิตเห็นกิริยาของบุรุษเปลี้ยจึงคิดว่า พระอัครมเหสีของพระราชาคงได้ไต่ต้นหว้ามาทำลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้เป็นแน่แล้ว คิดแล้วจึงทูลถามว่า ขอพระราชทาน ในเวลาราตรี พระองค์ทรงสัมผัสสรีระกายแห่งพระเทวี เป็นเช่น

ไรบ้าง พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สิ่งอื่นก็ไม่แลเห็น เป็นแต่เวลาเที่ยงคืนสรีระกายของนางเย็น ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้นหญิงอื่นยกไว้ก่อนเถิด พระนางกินรีอัครมเหสีของพระองค์ได้ประพฤติแล้วซึ่งกรรมอันลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้ พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สหายพูดอะไรกัน นางกินรีสมบูรณ์ด้วยรูปร่างอันอุดมเห็นปานนั้น จะมาร่วมอภิรมย์กับบุรุษเปลี้ยอันน่าเกลียดอย่างยิ่งนี้ได้. ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้นพระองค์จงสะกดรอยตามคอยจับดูเถิด. พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ครั้นเสวยอาหารเย็นแล้ว ก็เข้าบรรทมกับนางกินรีตั้งพระหฤทัยคอยสะกดจับ พอถึงเวลาเคยบรรทมหลับตามปกติ ก็ทรงแสร้งทำเหมือนหลับไป ฝ่ายนางกินรีก็ลุกขึ้นทำตามเคย พระเจ้ากินนรก็สะกดรอยตาม

ไปยืนอยู่ที่เงาต้นหว้า วันนั้นบุรุษเปลี้ยโกรธขู่ตะคอกว่า ทำไมถึงมาช้า แล้วเอามือตบเข้าที่กกหูนางเทวี นางเทวีก็ร้องขอโทษว่า นายอย่าเพิ่งโกรธเลย ข้าพเจ้ารอให้พระราชาหลับจึงมาได้ ว่าแล้วก็ประพฤติปฏิบัติบุรุษเปลี้ยเหมือนหญิง

บำเรอในเรือน เมื่อบุรุษเปลี้ยตบหูนางกินรีนั้น กุณฑลหน้าราชสีห์หลุดจากหูกระเด็นไปอยู่ใกล้พระบาทพระเจ้ากินนร พระเจ้ากินนรเห็นสมควรจึงเก็บเอาไปเป็นพยานก็ทรงเก็บเอาไป ฝ่ายนางกินรีประพฤติอนาจารกับบุรุษเปลี้ยนั้นแล้วก็กลับไปโดยนัยหนหลัง เริ่มจะนอนด้วยพระราชสามี.

พระเจ้ากินนรก็ทรงห้ามเสีย พอรุ่งขึ้น จึงรับสั่งให้คนไปบอกว่า ให้นางกินรีเทวีประดับเครื่องอลังการที่เราให้ทั้งหมดเข้ามาเฝ้า. นางกินรีก็สั่งให้ทูลว่า กุณฑลหน้าราชสีห์ส่งไปไว้ที่ช่างทองเสียแล้ว นางก็มิได้มาเฝ้า ครั้นพระเจ้า

กินนรรับสั่งให้หาอีก นางก็ประดับกุณฑลข้างเดียวเข้าไปเฝ้า พระเจ้ากินนรตรัสถามว่ากุณฑลไปไหน นางก็ทูลว่า ส่งไปที่ช่างทอง. พระเจ้ากินนรจึงรับสั่งให้หาช่างทองมาแล้วตั้งกระทู้ถามว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ให้กุณฑลแก่นางกินรี ช่างทอง

ก็ทูลว่า มิได้รับเอาไว้เลย พระเจ้ากินนรก็ทรงพระพิโรธตรัสว่า เฮ้ย อีนางจัณฑาล คนอย่างกูนี้แหละจะเป็นช่างทองของมึงละ ตรัสแล้วก็ขว้างกุณฑลลงไปตรงหน้านางกินรีแล้ว หันมาตรัสกับปุโรหิตว่า สหายพูดจริงทีเดียว จงไปสั่งให้ตัดหัวอีนี่เสีย ปุโรหิตก็พานางกินรีไปซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งภายในพระราชวังนั้น แล้วกลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ขอพระราชทาน อย่าได้ทรงกริ้วนางกินรีเลย หญิงทั้งปวงย่อมเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ทรงเชื่อ ต้องพระประสงค์ทรงทราบเรื่องทุศีลของหญิงทั้งหลายแล้ว ข้าพระองค์จะสำแดงให้ดูความลามกความมีมายาของหญิงทั้งหลาย เชิญเสด็จปลอมพระองค์ประพาสไปในชนบทด้วยกันเถอะ พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ทรงมอบราชสมบัติให้พระมารดาแล้ว ก็เสด็จซอกซอนไปกับปุโรหิต.

เมื่อพระเจ้ากินนรกับปุโรหิตไปได้ประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว พักนั่งอยู่ข้างบนหนทางใหญ่ มีกุฎุมพีคนหนึ่งกระทำวิวาหมงคลกันเพื่อบุตรชายให้นางกุมารีคนหนึ่งนั่งอยู่ในยานกำบัง แล้วพาผ่านมาด้วยบริวารเป็นอันมาก ปุโรหิตได้เห็นแล้วจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าต้องพระประสงค์ข้าพระองค์สามารถจะให้นางกุมารีคนนี้ทำลามกกับพระองค์ได้ พระเจ้ากินนรตรัสว่า เพื่อนพูดอะไร เขามากับบริวารเป็นอันมาก ท่านไม่สามารถจะทำได้ ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าฉะนั้นก็คอยทอดพระเนตรทูลแล้วก็ลอบไปข้างหน้า วงม่านเข้าใกล้ๆ หนทาง ให้พระเจ้ากินนรประทับในม่าน แล้วตนก็ไปนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง พอกุฎุมพีนั้นเห็นเข้าก็ถามว่า พ่อนั่งร้องไห้ทำไม จึงตอบว่า ข้าแต่นาย ภริยาของข้าครรภ์แก่ ข้าพาเดินทางมาหวังจะไปยังตระกูลของเขา พอมาถึงกลางทาง นางก็เจ็บท้องทนลำบากอยู่ในม่าน เพื่อนหญิงสักคนหนึ่งก็ไม่มี ตัวข้าก็ไม่กล้าเข้าไป ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรต่อไป ถ้าได้หญิงสักคนหนึ่งจะค่อยยังชั่ว กุฎุมพีนั้นจึงตอบว่า

ถ้ากระนั้นอย่าร้องไห้ไปเลย พวกหญิงของเราที่มาด้วยกันมีเป็นอันมาก พอจะไปช่วยได้สักคนหนึ่ง ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ถ้ากระนั้นขอให้นางกุมารีคนนี้แหละไป จักได้เป็นสวัสดิมงคลแก่เขา กุฎุมพีนั้นคิดเห็นว่า ชายผู้นั้นพูดถูกแล้ว สวัสดิมงคลจักมีแก่สะใภ้ของเราเป็นแน่ และด้วยนิมิตนี้ สะใภ้ของเราจักเจริญด้วยบุตรและธิดา คิดแล้วจึงส่งนางกุมารีคนนั้นไป  นางกุมารีนั้นก็เข้าไปในม่าน พอเห็นพระเจ้ากินนรเข้าก็เกิดรักใคร่ ได้ประพฤติลามกด้วยกันแล้วพระราชาทรงถอดพระธำมรงค์พระราชทาน พอสำเร็จกิจ นางกุมารีนั้นกลับมาชนทั้งหลายก็ถามว่า เขาคลอดลูกเป็นชายหรือหญิง นางก็ตอบว่าเป็นชายงามเหมือนดังทอง. กุฎุมพีก็พานางกุมารีไป ฝ่ายปุโรหิตก็กลับมาเฝ้าพระเจ้ากินนรแล้วทูลว่า ขอพระราชทาน พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้ว นางกุมารีรุ่นสาวยังลามกถึงเพียงนี้ ก็จะประสาอะไรถึงหญิงพวกอื่น อ้อ พระองค์ประทานอะไรแก่นางไปบ้างหรือเปล่า พระเจ้ากินนรตรัสว่า เราให้แหวนที่ติดมือมาแก่นางไป ปุโรหิตจึงทูลว่า พระองค์ประทานมันทำไม ว่าแล้วก็วิ่งไปยึดยานไว้ ครั้นคนทั้งหลายถามว่าอะไรกัน ก็ตอบว่า นางกุมารีคนนี้หยิบ

เอาแหวนที่วางไว้ข้างศีรษะของนางพราหมณีภรรยาของข้ามา ขอแหวนให้ข้าเถิดแม่ นางกุมารียื่นมือออกไปหยิกมือปุโรหิต ตะคอกว่า ตาโจร เอาของแกไปเถิด แล้วส่งแหวนคืนให้. ปุโรหิตสำแดงหญิงที่ประพฤตินอกใจผัวหลายคนถวายพระเจ้ากินนร ด้วยอุบายต่างๆ อย่างอื่นแล้วทูลว่า ขอพระราชทาน ที่นี่เท่านี้ก็พอแล้ว ขอเชิญเสด็จไปที่อื่นบ้างเถิด พระเจ้ากินนรตรัสว่าถึงจะเที่ยวไปให้ทั่วชมพูทวีป หญิงทั้งปวงก็จักเป็นเช่นเดียวกันหมด เราจะต้องการดูอะไรมันอีกเล่า กลับเถิด ตรัสแล้วก็เสด็จกลับเมืองพาราณสี. ปุโรหิตจึงทูลขอประทานโทษนางกินรีว่า ขอพระราชทาน ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายแล้วย่อมลามกอย่างนี้ ปกติของเขาเป็นอย่างนี้เอง พระองค์จงงดโทษนางกินรีเสียเถิด พระเจ้ากินนรก็ทรงยกโทษให้รับสั่งให้ไล่ไปเสียจากพระราชนิเวศน์ เมื่อทรงขับไล่จากตำแหน่งแล้ว ก็ทรงตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วรับสั่งให้

ไล่บุรุษเปลี้ยเสียจากที่นั้นและให้ตัดกิ่งต้นหว้าเสีย

Don`t copy text!