นางในพระไตรปิฎก : ทุษฐกุมารี นางดุร้าย

นางในพระไตรปิฎก : ทุษฐกุมารี นางดุร้าย

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

‘สนุกในพระไตรปิฎก’ ที่ พ่อครูมาลา คำจันทร์ ได้นำมาเขียนให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์นั้น ไม่ได้เอาหลักคำสอนลึกซึ้งในพระพุทธศาสนามาแสดง แต่เอาเรื่องราวอื่นๆ ที่คล้ายๆ กับเกร็ดที่ประกอบอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้สนุก คล้ายๆ การค่อยๆ จูงมือคนไกลวัดให้เข้าใกล้วัด

**********************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

มาอ่านเรื่องนางร้ายๆ ต่อไปอีกหน่อยนะ อ่านเรื่องนี้แล้วจะรู้ว่าทำไมในนิทานชาดกชอบเอาด้านร้ายของผู้หญิงมาแสดง ผู้อ่านที่เป็นท่านผู้หญิง เป็นคุณหญิงคุณนาย คุณหนูคุณน้องทั้งหลายหากได้อ่านเรื่องนี้จะเข้าใจ แล้วต่อไปจะอ่านเรื่องนางร้ายๆ ได้อย่างสบายเลย

เรื่องนี้ไม่ได้เอามาจากกุณาลชาดก แต่เอาออกมาจากตักกบัณฑิตชาดก ลองอ่านถ้อยคำสำนวนในอรรถกถาก่อน ข้าพเจ้าเฒ่ามาลมไม่แก้ไขขัดเกลาอะไร เว้นแต่จัดวรรคตอนและย่อหน้าใหม่ให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น จบแล้วเราค่อยมาคุยกันท้ายเรื่อง

——————————————————————————————————-

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้

มีคำเริ่มต้นว่า โกธนา อกตญฺญู จ ดังนี้.

พระศาสดาตรัสถามว่า จริงหรือภิกษุที่เขาว่า เธอกระสันแล้ว? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลาย เป็นคนอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร เหตุไรเธอจึงกระสันเพราะอาศัยหญิงเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษี สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ความยินดีในฌาน.

ในสมัยนั้น ธิดาของท่านเศรษฐีในกรุงพาราณสี ชื่อว่าทุษฐกุมารี เป็นหญิงดุร้ายหยาบคาย มักด่ามักตีทาสและกรรมกร. ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง คนที่เป็นบริวารชวนนางไปว่า จักเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา. ขณะเมื่อมนุษย์เหล่านั้นเล่นน้ำกันอยู่นั่นแหละ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะอัษฎงค์.(ท่านสะกดอย่างนี้) เมฆฝนก็ตั้งเค้าขึ้น. พวกมนุษย์ทั้งหลายเห็นเมฆฝนแล้วก็รีบวิ่งแยกย้ายกันไป. พวกทาสกรรมกรของธิดาท่านเศรษฐีพูดกันว่า วันนี้พวกเราควรแก้เผ็ดนางตัวร้ายนี้แล้วทิ้งนางไว้ในน้ำนั่นแล พากันขึ้นไปเสีย. ฝนก็ตกลงมา แม้ดวงอาทิตย์ก็อัษฎงค์. เกิดความมืดมัวทั่วไป. พวกทาสและกรรมกรเหล่านั้น เว้นแต่ธิดาท่านเศรษฐีคนเดียวไปถึงเรือน เมื่อคนทั้งหลายพูดว่าธิดาท่านเศรษฐีไปไหนเล่า? ก็กล่าวว่านางขึ้นจากแม่น้ำคงคาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่านางไปไหน. แม้พวกญาติพากันค้นหาก็ไม่พบ.

ธิดาท่านเศรษฐีร้องดังลั่น ลอยไปตามน้ำ ถึงที่ใกล้บรรณศาลาของพระโพธิสัตว์เมื่อเวลาเที่ยงคืน. พระโพธิสัตว์

ได้ยินเสียงของนางก็คิดว่านั่นเสียงหญิงต้องช่วยเหลือนาง พลางถือคบหญ้าเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ เห็นนางแล้วก็ปลอบว่า

อย่ากลัว อย่ากลัว ด้วยมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ว่ายน้ำไปช่วยนางขึ้นได้ พาไปอาศรม ก่อไฟให้นางผิง ครั้นนางค่อยสร่างหนาวแล้ว ก็จัดหาผลไม้น้อยใหญ่ที่อร่อยๆ มาให้พลางถามนางขณะที่บริโภคผลไม้นั้นๆ ว่า นางอยู่ที่ไหน และทำไมถึงตกน้ำลอยมา.

นางก็เล่าเรื่องราวนั้นให้ฟัง. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์กล่าวกับนางว่าเธอพักเสียที่นี่แหละ แล้วจัดให้นางพักในบรรณศาลา ตนพักอยู่กลางแจ้ง สอง-สามวัน แล้วกล่าวว่าบัดนี้เธอจงไปเถิด. เศรษฐีธิดาคิดว่าเราจักทำดาบสนี้ถึงสีลเภท แล้วชวนไปด้วยให้จงได้ ดังนี้แล้วไม่ยอมไป. ครั้นเวลาล่วงผ่านไป ก็แสดงกระบิดกระบวนเล่ห์มายาหญิง ทำให้พระดาบสศีลขาด เสื่อมจากฌาน. ดาบสก็ชวนนางอยู่ในป่านั่นเอง ครั้งนั้นนางกล่าวกับดาบสว่า ข้าแต่ท่านเจ้า เราทั้งสองจักอยู่ในป่าทำไม เราสองคนพากันไปสู่ย่านมนุษย์เถิด. ดาบสก็พานางไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ประกอบอาชีพด้วยการขายเปรียงเลี้ยงนาง. เพราะท่านดาบสขายเปรียงเลี้ยงชีวิต ฝูงชนจึงขนานนามว่าตักกบัณฑิต.

ครั้งนั้น พวกชาวบ้านร่วมกันให้เสบียงอาหารแก่ท่านกล่าวว่า ท่านช่วยบอกเหตุการณ์ที่บุคคลประกอบดีหรือชั่ว แก่พวกข้าพเจ้า อยู่เสียในที่นี้เถิดแล้วช่วยกันสร้างกระท่อมให้อยู่ใกล้ประตูบ้าน.

ก็โดยสมัยนั้น พวกโจรพากันลงมาจากภูเขา ปล้นชนบทชายแดน วันหนึ่งพากันมาปล้นบ้านนั้น แล้วใช้ชาวชนบทนั้นแหละให้ขนข้าวของไปให้ ยึดเอาตัวนางเศรษฐีธิดา แม้นั้นไปยังที่พำนักของตน แล้วจึงปล่อยคนที่เหลือ. ส่วนนายโจรพอใจในรูปของนาง จึงทำนางให้เป็นภรรยาของตน.

พระโพธิสัตว์สอบถามว่า หญิงชื่อนี้ไปไหนเสียเล่า? แม้จะได้ฟังว่า ถูกนายโจรยึดเอาไว้เป็นภรรยาเสียแล้ว ก็ยังคิดว่านางจักยังไม่ทิ้งเรา อยู่ในที่นั้น จักต้องหนีมาเป็นแน่ รอคอยนางอยู่ในบ้านนั่นเอง.

ฝ่ายนางเศรษฐีธิดาก็คิดว่า เราอยู่ที่นี่เป็นสุขดี บางทีตักกบัณฑิตอาศัยเหตุไรๆ แล้ว จะมาพาเราไปเสียจากที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจักเสื่อมจากความสุขนี้ ถ้ากระไร เราทำเป็นเหมือนยังอาลัยรักอยู่ ให้คนไปตามตัวมาแล้วให้เขาฆ่าเสีย

คิดแล้วเรียกมนุษย์ผู้หนึ่งมาส่งข่าวไปว่า ดิฉันเป็นอยู่อย่างลำบากในที่นี้ ท่านตักกบัณฑิตกรุณามารับฉันไปด้วยเถิด. ตักกบัณฑิตสดับข่าวนั้นแล้วก็เชื่อ จึงไปที่บ้านนายโจร หยุดรอที่ประตูบ้าน ส่งข่าวไป. นางออกมาพบแล้วพูดว่า ท่านเจ้าขา ถ้าเราพากันไปเดี๋ยวนี้ นายโจรจักติดตามฆ่าเราทั้งสองเสียก็ได้ เราจักไปกันในเวลากลางคืน พาตักกบัณฑิตมาให้บริโภค ให้ซ่อนตัวอยู่ในยุ้ง ตกเวลาเย็นนายโจรกลับมา กินเหล้า เมา ก็พูดว่า ท่านเจ้าคะ ถ้านายเห็นศัตรูของนายในเวลานี้ นายจะพึงทำอย่างไรกับเขา. นายโจรกล่าวว่าเราจักกระทำเช่นนี้ๆ. นางจึงบอกว่าก็ศัตรูนั้นอยู่ไกลเสียเมื่อไรเล่า นั่งอยู่ในยุ้งข้าวนี่เอง.

นายโจรถือพระขรรค์เดินไปที่ยุ้งข้าว เห็นตักกบัณฑิตก็จับเหวี่ยงให้ล้มลงกลางเรือน โบยด้วยท่อนไม้ ทุบถองด้วยศอกเข่าเป็นต้นจนหนำใจ ตักกบัณฑิตถึงจะถูกโบยก็ไม่พูดถ้อยคำอะไรอย่างอื่นเลย กล่าวแต่คำว่า ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร อย่างเดียวเท่านั้น

ฝ่ายโจรโบยตักกบัณฑิตแล้วก็มัดให้นอน มากินอาหารเย็นแล้วก็หลับไป ตื่นขึ้น พอฤทธิ์สุราสร่าง ก็เริ่มโบยตักกบัณฑิตอีก. แม้ตักกบัณฑิตก็กล่าวแต่คำ 4 คำอยู่อย่างนั้น. โจรคิดว่า ท่านผู้นี้ แม้จะถูกเราโบยอย่างนี้ ก็ไม่ยอมพูดอะไรอย่างอื่นเลย คงกล่าวแต่คำ 4 คำอยู่ตลอดมา เราจักถามดู แล้วก็ถามตักกบัณฑิตว่า นี่แน่ะท่านผู้เจริญ ถึงแม้ท่านจะถูกโบยอย่างนี้ เหตุไฉนจึงกล่าวแต่คำ 4 คำเหล่านี้เท่านั้น.

ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นจงฟัง แล้วกล่าวลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นว่า เดิมข้าพเจ้าเป็นดาบสผู้หนึ่งอยู่ในป่า ได้ฌาน ข้าพเจ้าช่วยหญิงผู้นี้ผู้ลอยมาในแม่น้ำคงคาให้ขึ้นได้แล้ว ประคบประหงม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางผู้นี้ก็เล้าโลมข้าพเจ้า ทำให้เสื่อมจากฌาน ข้าพเจ้าต้องทิ้งป่าพานางมาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านชายแดน ครั้นนางส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้าว่า ถูกพวกโจรนำมาที่นี่ ต้องอยู่อย่างลำบาก ให้ช่วยพานางกลับไป ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านในบัดนี้ ด้วยเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวอยู่อย่างนี้.  

โจรได้คิดว่า หญิงคนนี้ปฏิบัติผิดถึงอย่างนี้ในท่านผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีอุปการะถึงอย่างนี้มันคงทำอุปัทวันตรายอะไรๆ ให้แก่เราก็ได้ ต้องฆ่ามันเสีย.

นายโจรปลอบให้ตักกบัณฑิตเบาใจ ปลุกนาง ฉวยพระขรรค์ออกมาพูดว่า เราจักฆ่าชายผู้นี้ที่ประตูบ้าน เดินไปนอกบ้านกับนางพลางบอกให้นางจับมือท่านตักกบัณฑิตไว้ด้วยคำว่า จงยึดมือชายผู้นี้ไว้ แล้วชักพระขรรค์ ทำเป็นเหมือนจะฟันท่านตักกบัณฑิต กลับฟันนางขาด 2 ท่อน อาบน้ำดำเกล้าแล้ว เลี้ยงดูท่านตักกบัณฑิตด้วยโภชนะอันประณีต สองสามวันก็กล่าวว่า บัดนี้ท่านจักไปไหนต่อไปเล่า?

ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ากิจด้วยการอยู่ครองเรือนไม่มีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่านั่นแหละ. โจรกล่าวว่าถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักบวชด้วย. ทั้งสองคนพากันบวช ไปสู่ราวป่านั้น ให้อภิญญา 5 และสมาบัติ 8 เกิดได้แล้ว ในเวลาสิ้นชีวิตก็ได้ไปสู่พรหมโลก.

พระบรมศาสดาตรัสเรื่องทั้งสองเหล่านี้แล้ว ครั้นตรัสรู้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ความว่า

 “หญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ. อกตัญญู

มักส่อเสียด และคอยแต่ทำลาย ดูก่อนภิกษุ เธอ

จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด แล้วเธอจักไม่คลาด

 ความสุขเป็นแน่” ดังนี้.

ในพระคาถานั้น ประมวลอรรถาธิบายได้ดังนี้ :-

ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายเป็นผู้มักโกรธ ไม่สามารถจะหักห้ามความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้เลย เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้อุปการคุณแม้จะยิ่งใหญ่ เป็นคนส่อเสียด ชอบกล่าวคำอันแสดงถึงความส่อเสียดอยู่ร่ำไป เป็นผู้มีนิสัยชอบทำลาย ชอบทำลายหมู่มิตร มีปกติกล่าวคำทำให้มิตรแตกกันเป็นประจำ หญิงเหล่านี้ประกอบไปด้วยธรรมอันลามกเห็นปานนี้. เธอจะไปต้องการหญิงเหล่านี้ทำไมเล่า? ดูก่อนภิกษุ เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพราะว่าการงดเว้นจากเมถุนธรรมนี้ ชื่อว่าพรหมจรรย์ ด้วยอรรถว่าเป็นคุณอันบริสุทธิ์ เธอประพฤติพรหมจรรย์นั้นก็จะไม่คลาดความสุข คือว่า เมื่อเธออยู่ประพฤติพรหมจรรย์นั้น จักไม่คลาดความสุขในฌานได้แก่ความสุขอันเกิดจากมรรค และความสุขอันเกิดจากผล อธิบายว่า จักไม่ละความสุขนี้ คือจักไม่เสื่อมจากความสุขนี้. ปาฐะว่า น ปริหายสิ เธอจักไม่เสื่อม ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.

 พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะทั้งหลาย. ในเวลาจบสัจจะภิกษุผู้กระสันดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. แม้พระบรมศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า นายโจรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ ส่วนตักกบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตฉะนี้แล.

อ่านจบแล้ว คิดเห็นอะไรบ้างไหม ถ้อยคำสำนวนออกจะยากหน่อยเพราะท่านผู้แปลจำเป็นต้องรักษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ภาษาบาลีไว้ แต่หากอ่านไปมากๆ ก็จะเริ่มคุ้นเคย มาลมผู้เฒ่าเองใช่ว่าเริ่มอ่านก็เก็บอรรถสาระได้หมด มันติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยคุ้นโครงสร้างประโยค ไม่เข้าใจคำที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ อย่างคำว่าแม้ เป็นต้น

เก็บความทั้งหมดมาสรุปคร่าวๆ ตรงนี้ว่า ชาตินั้น พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นตักกดาบส เข้าใจว่ายังเป็นดาบสหนุ่มอยู่ ยังไม่แก่กล้าถึงขั้นหมดเมือกหมดยางคือหมดความอยากทางเพศรสแต่ก็ได้ฌานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือบรรลุถึงขั้นอภิญญาอันเป็นความรู้ชั้นสูงยิ่ง มีแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เป็นต้น ดาบสหนุ่มมีอาศรมอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่งนางทุษฐกุมารีผู้ถ่อยร้ายก็ถูกน้ำซัดมา ดาบสหนุ่มช่วยไว้ ส่วนนางกุมารีก็ยึดเอานักบวชหนุ่มน้อยไว้เป็นที่พึ่ง กลัวถูกทิ้งหรือถูกขับไสจึงใช้เสน่ห์เล่ห์กลทางอิตถีพลังผูกมัด ฤๅษีหนุ่มศีลขาด เสื่อมจากฌานและอภิญญา กลายเป็นคนธรรมดา อาจเพราะเหตุนี้เองกระมัง เวลาเราอ่านชาดก จึงมักสัมผัสได้ว่าบรรดานักพรตนักบวชทั้งหลายมักจะกลัวผู้หญิง

ท่านผู้อ่านพอจะมองเห็นอะไรบ้างไหมว่าทำไมน้ำเสียงในชาดกจึงมักตำหนิประณามผู้หญิง

เพราะกลัว

ฤๅษีหนุ่มน้อยตกอยู่ในอำนาจของกามราคะ ลุ่มหลงมัวเมาในโลกียสุขที่ได้รับจากทุษฐกุมารี อยู่มาวันหนึ่งนางก็ชวนให้ออกจากป่ามาอยู่บ้านคนเมืองคน ฤๅษีตกจากฌานก็เชื่อ หาเลี้ยงนางโดยขายเปรียง เปรียงนะ ไม่ใช่เพรียง เปรียงคืออะไรไม่บอก ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเหมือนจะมีคำว่าจองเปรียง ชักโคมลอยโคม ไม่ค่อยมั่นใจ ความจำไม่แม่นยำเป๊ะๆ เหมือนเมื่อยังหนุ่ม จะง่ายมากกว่านั้นก็เปิดพจนานุกรมดูเลย

ด้วยเหตุที่มีอาชีพขายเปรียง ชาวบ้านแถบนั้นจึงเรียกพี่ทิดหนุ่มว่าตักกบัณฑิต อยู่มาวันหนึ่งโจรป่าลงมาปล้นแล้วจับตัวนางทุษฐกุมารีไป เหตุการณ์วันนั้นท่านไม่บอกว่าพ่อบัณฑิตขายเปรียงของเราไปมัวไปเคี่ยวเปรียงขายเปรียงอยู่ที่ไหน เมื่อกลับมาก็ถามหาเมีย ชาวบ้านบอกว่าโจรจับไป ด้วยความรักใคร่อาลัยหาจึงติดตามไป แต่นางทุษฐกุมารีต้องแสดงเป็นนางตัวร้ายตามที่ท่านกำหนดให้ นางจึงคิดว่าอยู่กับนายโจรก็สุขสบายดีอยู่แล้ว แต่หากพี่ทิดบัณฑิตใหม่ติดตามมาชิงตัว นางก็จะต้องกลับไปอยู่กับพี่ทิดอีก อย่ากระนั้นเลย…

พี่ทิดตายเสียเถอะ

นางส่งคนไปล่อผัวเก่าให้ตามมา ท่าทีผัวเก่าที่เป็นบัณฑิตทิดใหม่คงไม่กำยำล่ำสันอย่างนายโจรหรืออย่างไรไม่รู้ นางจึงไม่ติดใจ นางหลอกพี่ทิดให้อยู่ในเว็จ…เอ๊ะ ชักเลอะนะเฒ่ามาลม หลอกให้รออยู่ในยุ้งแล้วก็ไปบอกนายโจรให้มาจับ นายโจรก็ไปจับได้โดยง่ายดายเหมือนจับตะพาบน้ำในไห อันนี้เป็นสำนวนจีนไม่ใช่สำนวนแขก จับได้ก็เอามาเหวี่ยงโครมบนเรือนแล้วก็ทุบถองเตะถีบจนสะบักสะบอม ข้างฝ่ายพ่อทิดขายน้ำมันเปรียง…อ้าวเผลออีกแล้วหลุดปากออกไปจนได้ว่าเปรียงคืออะไร

พี่ทิดไม่สู้เลย บ่นอยู่แต่สี่คำว่า ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร นายโจรสงสัยว่าทำไม่ต่อสู้ก็ซักถาม ได้ความว่าพ่อหนุ่มเอวบางรูปร่าง…เป็นอย่างไรก็รู้ ท่านไม่ได้บอกไว้ ไอ้โจรมะลึกกึ๊กดูถึกเถื่อนถามดูได้ความว่าพ่อหนุ่มคนนี้ถูกหลอก ถูกประทุษร้าย ข้างฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่คนดี ไม่รู้จักอกตัญญูรู้คุณ นางคิดฆ่าผู้มีบุญคุณออกปานนี้ได้ ต่อไปก็คิดฆ่าตูได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นเอ็งอย่าอยู่เลย เหวยๆ อีนางตัวร้ายตายเสียเถิด ว่าแล้วก็เลยฆ่านางแล้วหนีตามดาบสศีลขาดไปบวชอยู่ในป่าหิมพานต์

นิทานเรื่องนี้ก็จบลง

Don`t copy text!