กระบือสื่อรัก บทที่ 9 : ถูกล็อตเตอรี่สักงวด น่าจะดี (1)

กระบือสื่อรัก บทที่ 9 : ถูกล็อตเตอรี่สักงวด น่าจะดี (1)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

รถกระบะสองตอนคันใหญ่ของรุ่งอรุณเลี้ยวเข้าจอดในลานกว้างที่ถูกปรับให้เป็นที่จอดรถเฉพาะกิจสำหรับงานออกร้านขนาดใหญ่ระดับจังหวัด

แสงแดดจ้าทำให้คนที่ลงจากรถมาถึงกับต้องหยีตา วันหยุดนักขัตฤกษ์โรงงานปิด สถาบันการศึกษาหยุดการเรียนการสอน เธอจึงถือโอกาสนอนอุตุจนกระทั่งรุ่งอรุณบุกเข้ามาฉุดขึ้นจากเตียง บังคับให้อาบน้ำแต่งตัวและลากขึ้นรถ

ลูกพี่ลูกน้องสาวบึ่งรถข้ามจังหวัดโดยบอกสั้นๆ ว่าจะพามาเปิดหูเปิดตา

“คิดยังไงของพี่ มาดูงานประกวดควาย ร้อนจะตายไป” เอื้อมดาวบ่นกระปอดกระแปด ขยับหมวกปีกกว้างให้กระชับศีรษะ ก้มหน้าลงเช็กข้อความในโทรศัพท์

ตื่นหรือยัง บ่ายๆ ไปดูหนังกันไหม

รุจน์เพิ่งส่งข้อความเข้ามาสดๆ ร้อนๆ

ไม่ว่างแล้วค่ะ ถูกพี่รุ่งลากมางานประกวดควายที่อุทัย

หญิงสาวส่งสติกเกอร์เด็กหญิงร้องไห้ ก่อนยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูปป้ายงานพร้อมแชร์โลเคชันให้แฟนหนุ่ม

“นัดหนุ่มไว้เหรอ” รุ่งอรุณยื่นหน้าเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์

“พี่รุจน์ชวนไปดูหนัง แต่ดันคลาดกันเสียแล้ว เฮ้อ!”

นานๆ ที เธอถึงจะได้มีโอกาสหยุดเสาร์อาทิตย์ แทนที่จะได้เดินห้าง ดูหนังกินข้าวตากแอร์เย็นๆ ตามประสาคนรัก กลับต้องมาตากแดดหน้าดำในงานออกร้านประจำปีที่ไม่เคยคิดจะเฉียดกรายเข้ามา

“เอาน่า ฉันพามาเจอหนุ่มๆ ที่นี่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย” รุ่งอรุณเกทับ

เอื้อมดาวเดินตามลูกพี่ลูกน้องผ่านประตูทางเข้างาน เต็นท์ผ้าใบปลูกยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน สีแดงเป็นโซนร้านอาหาร ส่วนสีเหลืองเป็นโซนร้านค้า

รุ่งอรุณนำลูกพี่ลูกน้องดิ่งไปที่ร้านกาแฟเฉพาะกิจขนาดใหญ่ ด้านในติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จึงมีนักท่องเที่ยวเข้าไปนั่งจิบกาแฟหลบลมร้อนเป็นจำนวนมาก

โอบบุญลุกขึ้นจากเก้าอี้ โบกไม้โบกมือเรียกเมื่อเห็นสองสาวผลักประตูกระจกผ่านเข้ามา

“เนี่ยนะ หนุ่มที่บอกว่าจะพามาเจอ” เอื้อมดาวแสร้งทำหน้าผิดหวัง

“ไปนั่งเลย เดี๋ยวฉันสั่งกาแฟให้” รุ่งอรุณรุนหลังลูกพี่ลูกน้อง ในขณะที่ตัวเองยืนต่อคิวที่เคาน์เตอร์

เอื้อมดาวแทรกตัวผ่านโต๊ะที่เรียงไว้ชิดกันจนแน่นเข้าไปผลักไหล่น้องชายเบาๆ “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง โดดเรียนกวดวิชามาหรือเปล่า”

“เปล่านะ วันนี้วันหยุด ใครเขาไปเรียนกันล่ะ”

“แล้วคืนนี้ต้องไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะหรือเปล่า”

โอบบุญพยักหน้าพลางดูดเครื่องดื่มเย็นที่เหลือจนหมด

“เพลาๆ งานพิเศษลงหน่อยดีไหม จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป ช่วงนี้พี่เอาหมูฝอยที่แม่ทำไปขายที่โรงงาน ถ้าโอบอยากได้เงินไปซื้ออะไรก็บอกพี่”

สายตาเอื้ออาทรที่ส่งมาทำให้โอบบุญสะท้อนใจ เขาเข้าใจความปรารถนาดีของพี่สาว แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง

“เอาจริงๆ โอบเรียนต่อที่สถาบันในตัวจังหวัดก็ได้ ขืนสอบติดมหาวิทยาลัยไกลๆ ขึ้นมา ต้องลำบากหาที่อยู่อีก เรียนที่นี่ไม่ต้องกวดวิชาให้เปลืองเงินด้วย”

“แต่พี่อยากให้โอบพยายามให้ถึงที่สุดก่อน เรื่องเงินทองไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพี่หาทางจนได้นั่นแหละ”

“แต่โอบไม่อยากให้พี่เอื้อมต้องลำบากไปมากกว่านี้ อีกอย่างโอบอยากทำงานหาเงินเร็วๆ ไม่ได้อยากเรียนหนังสือ” โอบบุญผุดลุกขึ้นสะพายเป้ ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เมื่อเป้าหมายต่างกัน คุยกันไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า

โอบบุญไม่มีกะจิตกะใจเรียนหนังสือ เขาต้องหาเงินมาซื้อควายคืนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“อ้าวๆ จะไปไหน พี่เพิ่งมาถึง” รุ่งอรุณถือแก้วเครื่องดื่มเย็นมาเต็มสองมือ ตะโกนเรียก

“พี่รุ่งกินเสร็จตามไปที่โซนประกวดควายแล้วกัน ฉันอยู่แถวๆ โชคเจริญสุขฟาร์มแหละ”

“พี่น้องคู่นี้ยังไง คุยกันไม่กี่คำก็วงแตกเสียแล้ว จะรอให้ฉันซื้อกาแฟเสร็จก่อนไม่ได้หรือยังไง” รุ่งอรุณส่ายหัวพลางทิ้งตัวลงนั่ง

“ทำไมพี่ต้องถ่อพาฉันมาทะเลาะกับโอบที่นี่ ทะเลาะกันที่บ้านไม่พอหรือไง” เอื้อมดาวหน้าคว่ำ

“ฉันลากแกมาเพราะอยากให้มาเห็นว่าโอบทำอะไรอยู่ น้องทำงานพิเศษงกๆ เพราะจะหาเงินซื้อควายคืนมา แล้วมันพูดชัดว่าจะเรียนต่อที่นี่เพราะไม่อยากห่างควาย แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” รุ่งอรุณเข้าข้างโอบบุญเต็มประตู

“โอกาสที่ฉันจะจบปริญญาตรีริบหรี่เต็มทน แต่น้องๆ ต้องได้เรียนมหาวิทยาลัยดีๆ จบออกมาทำงานที่มีเกียรติ ฉันไม่ดีตรงไหน” เอื้อมดาวถามอย่างเคืองๆ

“น้องมันก็มีชีวิตเป็นของมันเอง จะไปบังคับกะเกณฑ์ไม่ได้หรอก โอบถึงจะเด็กกว่าเอื้อม แต่ก็เป็นผู้ชาย คงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่เห็นพี่สาวต้องออกจากมหาวิทยาลัยมาทำงานหาเงินส่งเสียมันงกๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจเรียน แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ให้คุ้มกับที่ฉันต้องเสียสละตัวเองมาเป็นสาวโรงงานหน่อย” เอื้อมดาวยังคงยืนกรานความคิดเดิม

“โอ๊ย ไม่อยากเถียงด้วยแล้ว ครอบครัวใครก็ตัดสินใจเองแล้วกัน ฉันมันคนนอก ไปเดินเล่นดูควายดีกว่า”

รุ่งอรุณรู้ดีว่าลูกพี่ลูกน้องสาวหัวรั้นแค่ไหน ยิ่งตอนนี้เอื้อมดาวกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ก็ยิ่งไม่ฟังความคิดใครทั้งนั้น

สองสาวออกจากร้านกาแฟ ก้าวเข้าสู่โซนแสดงโคและกระบือสวยงาม เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นบนใบหน้า กลิ่นสาบของสัตว์สี่เท้าลอยกรุ่นอยู่ในบรรยากาศอันแสนอบอ้าวทำเอาเวียนหัวไม่น้อย ถึงจะเติบโตมาในเขตชนบทแต่หญิงสาวแทบจะไม่เคยคลุกคลีกับท้องไร่ท้องนาจริงจัง อย่างมากก็แค่ช่วยบิดาปลูกต้นไม้ในไร่นาสวนผสม พอขึ้นชั้นมัธยมปลายก็เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ เวลาหลายปีเปลี่ยนเอื้อมดาวให้เป็นคนเมืองเต็มตัว

รุ่งอรุณสังเกตเห็นสีหน้าพะอืดพะอมของลูกพี่ลูกน้องก็รีบปลอบ “แค่แวะไปดูหอมเงินกับหอมทองเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็กลับแล้ว อย่าทำหน้าบูด คนชวนเสียเส้นหมด”

เนื่องจากเป็นฟาร์มอันดับหนึ่งของจังหวัด คอกของโชคเจริญสุขฟาร์มจึงกินพื้นที่กว้างขวางกว่าคอกอื่นๆ ป้ายไวนิลประกาศเกียรติคุณควายพ่อพันธุ์ติดหรา ดึงดูดความสนใจเกษตรกรเป็นจำนวนมาก

สองสาวเดินอ้อมมาทางฝั่งที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน โอบบุญกำลังป้อนฟางแห้งให้ควายตัวเมียสองแม่ลูก

เอื้อมดาวจำพวกมันได้ หอมเงินยังเหมือนเดิมแต่ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้น ในขณะที่หอมทองตัวโตขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

“ฟาร์มเขาดูแลดี ดูสิ หอมทองตัวใหญ่ขึ้นเยอะเชียว โอบน่าจะสบายใจได้อยู่นะ” เอื้อมดาวพยายามชวนน้องชายคุย หวังให้บรรยากาศที่อึมครึมระหว่างพี่น้องกลับมาดีขึ้น

“ถ้ามีลูก เจ๊จะยกลูกให้คนอื่นด้วยเหตุผลว่าเขาเลี้ยงได้ดีกว่าไหม” โอบบุญตอกกลับหน้าตาย

‘พอกันพี่น้องคู่นี้ โอ๊ย ฉันจะทำยังไงดี’ รุ่งอรุณซึ่งพยายามที่จะทำตัวเป็นกาวใจถึงกับเหลือกตามองบน

“อุ้ย! ตาเถร ตกใจหมดเลย”

ขณะสูดกาแฟเย็นที่เหลือในแก้วอย่างปลงๆ ถึงกับสะดุ้ง แก้วกาแฟแทบจะหลุดจากมือ เมื่อคนในเสื้อฮาวายโผล่หน้ามาจากด้านหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

“พาใครมาด้วย ไม่เห็นแนะนำให้รู้จักเลย” รุ่งอรุณผายมือไปยังชายสูงอายุอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ลุงติ๊กครับ นี่พี่รุ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของโอบ แล้วนี่ เจ๊เอื้อม พี่สาวแท้ๆ ของโอบ”

สองสาวยกมือไหว้ผู้สูงอายุอย่างพร้อมเพรียง

เห็นสีหน้าเหลอหลาของสองสาว ดินแดนจึงขยายความต่อ “ไร่ลุงติ๊กอยู่ติดกับโชคเจริญสุขฟาร์ม เวลาโอบไปเยี่ยมหอมเงินกับหอมทอง ก็ไปขออาศัยนอนบ้านลุงติ๊ก”

“ขอบคุณมากที่เอื้อเฟื้อ ฝากน้องชายหนูด้วยนะคะ” เอื้อมดาวยกมือไหว้อีกรอบ รู้สึกโล่งใจขึ้น โอบบุญไม่ค่อยบอกกล่าวว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน พอซักไซ้ไล่เลียงมากๆ เข้าก็เดินหนีเอาดื้อๆ

“ลุงก็เลี้ยงควายเหมือนกันหรือจ๊ะ” รุ่งอรุณชวนสนทนาอย่างเป็นกันเอง

“ฉันเลี้ยงไว้ตัวเดียวแก้เหงา ไม่ได้จริงจังแบบฟาร์มเสี่ยอั๋นหรอก” ลุงติ๊กออกตัวเป็นพัลวัน

หลังจากดินแดนพาไปซื้อสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่และสอนให้เล่นไลน์ ลุงติ๊กก็ฝึกฝีมือด้วยการถ่ายรูปควายตัวเก่งในอิริยาบถต่างๆ ส่งให้ชายหนุ่มดู ดินแดนเองก็โทร.ปรึกษาหารือเรื่องการเลี้ยงควายกับผู้สูงวัยอยู่เนืองๆ คุยกันเช้าเย็นจนผู้ใหญ่เดชเข้าใจว่าบุตรชายกำลังตามจีบสาว

ความสนิทสนมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดลุงติ๊กก็ยอมรับคำชวนมาเปิดหูเปิดตาในงานประจำปี จึงได้เห็นว่าควายที่ตัวเองเลี้ยงไว้งามไม่แพ้ควายที่ประกวดชนะรางวัลที่หนึ่ง

ดินแดนเองขอให้ชายสูงวัยช่วยมองหาลูกควายลักษณะดีให้เพราะเชื่อในสายตาและประสบการณ์ของคนที่คลุกคลีกับควายมาทั้งชีวิต แล้วก็ไม่ผิดหวัง เขาได้ลูกควายตัวเมียเพิ่งหย่านมตัวหนึ่งมาในราคาถูกกว่าท้องตลาด

“ตอนเดินดูควายเจอพี่ขวัญชัย แกบอกว่ามีคนสนใจซื้อหอมเงิน ฟาร์มบอกราคาไปแสนสอง เขาต่อเหลือแปดหมื่น เสี่ยอั๋นเลยไม่ขาย” ดินแดนเปรยให้เพื่อนฟัง

โชคเจริญสุขฟาร์มนำควายมาอวดโฉมและขายด้วยในเวลาเดียวกัน

“ซื้อไปห้าหมื่น เลี้ยงไม่ถึงปี ราคาขึ้นเป็นสองเท่า” โอบบุญกัดฟันกรอด

“หอมเงินยังได้ราคาตั้งแปดหมื่น หอมทองสวยกว่าแม่ เลี้ยงอีกสักปีคงไม่หนีแสนห้าถึงสองแสน ถ้ามึงอยากซื้อคืนทั้งแม่และลูก เตรียมเงินไว้เหนาะๆ สามแสน ไม่หนีไปจากนี้” ดินแดนคำนวณให้เสร็จสรรพ

โอบบุญหน้าเครียด เงินที่เก็บหอมรอมริบได้ในตอนนี้ ยังห่างไกลจากตัวเลขที่เพื่อนบอกอยู่หลายขุม เวลาก็เหลือน้อยลงไปทุกที

“สามแสนไม่ใช่น้อยๆ จะหาให้ได้ภายในหนึ่งปี แทบเป็นไปไม่ได้เลย” เอื้อมดาวรำพึง

ระหว่างเกลี้ยกล่อมน้องชายให้ยกเลิกความตั้งใจที่จะซื้อควายคืนกับการหาเงินสามแสนบาทให้ได้ภายในหนึ่งปี แทบจะเป็นไปไม่ได้ทั้งคู่

“ซื้อลอตเตอรี่เป็นไง ได้ลุ้นเป็นเศรษฐีเดือนละสองรอบ เผื่อโชคเข้าข้างนะ” รุ่งอรุณโพล่งออกมา หวังคลายความตึงเครียดในวงสนทนา

“งานวันสุดท้ายแล้ว ฉันว่าเสี่ยอั๋นไม่ขายหรอก แล้วรอบนี้ควายตัวเมียสวยๆ มีเยอะ คนเฮโลไปเลือกจากฟาร์มแถบอีสาน เต็มที่ก็ไม่เกินห้าหมื่น หอมเงินขายไม่ออกหรอก” ดินแดนปลอบใจเพื่อน

เอื้อมดาวสะท้อนใจ เพราะอยากจบเรื่องหนี้สินของบิดาโดยเร็ว เธอจึงขายทุกอย่างที่ขวางหน้ารวมถึงควายสองตัวไปในราคาเพียงหนึ่งแสนบาท หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด

หญิงสาวสัมผัสได้ว่าโอบบุญแค่ผูกพันกับควายสองแม่ลูก แต่ไม่ได้สนใจเรื่องฟาร์มจริงจังแบบดินแดนหนทางเดียวที่จะทำให้น้องชายกลับมาตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอต้องซื้อควายสองแม่ลูกคืนให้เขา

 



Don`t copy text!