กระบือสื่อรัก บทที่ 10 : ไม่ใช่ควาย แต่ถูกสวมเขาได้เหมือนกัน

กระบือสื่อรัก บทที่ 10 : ไม่ใช่ควาย แต่ถูกสวมเขาได้เหมือนกัน

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

รถราบนท้องถนนในช่วงหัวค่ำคับคั่ง เอื้อมดาวนั่งคร่อมอานมอเตอร์ไซค์ติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกใหญ่ รถยนต์คุ้นตาแล่นจากอีกฝั่งผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียดก่อนที่สัญญาณไฟในฝั่งของเธอจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว

การกระทำรวดเร็วไม่แพ้ความคิด แทนที่จะขับตรงไป หญิงสาวให้สัญญาณ หักเลี้ยวตามรถยนต์ที่คาดว่าจะเป็นรถของรุจน์ไป เขาบอกว่าวันนี้ต้องอยู่ทำโอทีเลิกดึก ทำไมถึงมาปร๋ออยู่บนท้องถนนได้

เอื้อมดาวเร่งความเร็วเพราะกลัวว่าจะคลาดกัน รีบเปลี่ยนเลนฉุกละหุก แฉลบเข้าหารถกระบะอีกคันที่วิ่งอยู่เลนในสุด

“งานเข้าแล้ว เอื้อมเอ๊ย” เจ้าตัวส่ายหัว ถอนหายใจแรงๆ ออกมา ก่อนจะพารถเข้าจอดหน้าร้านข้าวต้มข้างทางที่เปิดไฟสว่างไสว เตรียมตัวเตรียมใจเคลียร์กับคู่กรณี

เธอเกือบจะตามทันแล้วแท้ๆ รถของรุจน์ติดไฟแดงที่สี่แยกข้างหน้าเห็นอยู่ลิบๆ แต่โชคไม่เข้าข้าง ดันเฉี่ยวรถกระบะเสียก่อน

“จะรีบซิ่งไปตามควายที่ไหน เจ๊”

เห็นหน้าคนขับที่เปิดกระจกลงมาแล้ว เอื้อมดาวดีใจจนเนื้อเต้น หญิงสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งอ้อมไปเปิดประตูด้านข้างคนขับ กระโดดขึ้นรถ

“เห็นรถเก๋งสีควันบุหรี่ที่ติดไฟแดงอยู่ข้างหน้าไหม ฉันว่าน่าจะเป็นรถพี่รุจน์ ขับตามไปเร็ว”

“ตามจับกิ๊กเหรอ” ดินแดนกระเซ้า

เขาเพิ่งทำธุระในตัวเมืองเสร็จ กำลังคิดว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับเข้าบ้าน ขณะชะลอรถดูร้านข้าวต้มริมทางที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ก็มาถูกมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าเข้าให้

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ รีบๆ ขับไปเถอะน่า” หญิงสาวร้อนรน กลัวว่าจะคลาดกันเป็นคำรบสอง

ดินแดนเร่งเครื่อง ทำความเร็วพุ่งผ่านสี่แยกไฟแดงไป แต่เนื่องจากปริมาณรถที่หนาแน่น รถเก๋งจึงหายไปจากสายตา

“ไม่ทันแล้ว เอายังไงดีล่ะทีนี้”

“ช้าๆ ก่อน อืม…” หญิงสาวกวาดสายตามองเส้นทางอย่างชั่งใจ “เลยสี่แยกนี้ไป เลี้ยวซ้ายเข้าซอยแล้วกัน”

คนขับหมุนพวงมาลัยตามคำสั่ง “แน่ใจเหรอว่าเขาเลี้ยวมาทางนี้”

“เดาเอาน่ะ คอนโดพี่รุจน์อยู่ซอยนี้”

หญิงสาวเดาถูก ผ่านปากซอยมาไม่ถึงห้าร้อยเมตร รถเก๋งคันที่ตามหาจอดกะพริบไฟท้ายอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ดินแดนโฉบเข้าไปจอดต่อท้าย เว้นระยะห่างออกมาพอให้มอเตอร์ไซค์สองสามคันแทรกเข้าไปจอดได้ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

“มีคนนั่งรออยู่ในรถ” ดินแดนพูดลอยๆ

เอื้อมดาวนั่งจ้องประตูร้านสะดวกซื้อตาไม่กะพริบ ไม่นานรุจน์ก้าวออกมา ยัดกล่องขนาดเล็กกว่าฝ่ามือลงในกระเป๋ากางเกง ในขณะที่อีกมือถือขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง

“สงสัยจะแวะซื้ออุปกรณ์เผด็จศึก แต่แค่กล่องเดียวไม่น่าจะพอนะ” ดินแดนหัวเราะหน้าตาย

เอื้อมดาวเหวี่ยงฝ่ามือลงบนต้นแขนคล้ำแดดเสียงดังเผียะ

“โอ๊ย! เจ๊ตีฉันทำไม” เจ้าตัวสะดุ้ง ขยับหนีมือที่ไล่ทุบเขาเป็นพัลวัน

“นายอย่าพูดพล่อยๆ รู้ได้ยังไงว่าเป็นถุงยาง”

“อ้าว เจ๊ กำลังตามจับกิ๊กไม่ใช่เหรอ ฉันก็ปะติดปะต่อเรื่องราวให้ไงล่ะ พี่รุจน์ของเจ๊เข้าไปในร้านแป๊บเดียวแล้วก็เดินตัวปลิวออกมา เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่คนขับรถบรรทุก ใครเขากินเครื่องดื่มบำรุงกำลังตอนสองทุ่มกัน แค่หยิบติดมือมาแก้เขินเสียมากกว่า” ดินแดนพูดตามประสาผู้ชาย

“เขาอาจจะอยู่โต้รุ่ง เคลียร์เอกสารของโรงงานก็ได้”

“ถ้าจะโต้รุ่งแบบนั้น มันต้องมีขนมนมเนยของกินเล่นออกมาเป็นถุงๆ สิ ไม่ใช่แค่เอ็มร้อยห้าสิบขวดเดียว”

รถเก๋งที่ถูกสะกดรอยตามเคลื่อนตัวออกไป ดินแดนเร่งเครื่องตามไปห่างๆ พอให้ไม่คลายสายตา

เนื่องจากเป็นซอยตัดใหม่ ถนนตัดเป็นเส้นตรงสองเลนสวนกัน ทำให้ต้องขับตามกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถคันหน้าส่งสัญญาณเลี้ยวเข้าจอดที่คอนโดมิเนียมค่อนข้างหรู

ดินแดนขับผ่านทางเข้าก่อนที่จะหักรถเข้าจอดริมถนนชิดรั้ว รถยังไม่ทันจอดสนิท คนนั่งข้างๆ เตรียมง้างประตู ตั้งใจพุ่งออกไปดูให้เห็นกับตาว่ารุจน์มากับใคร แต่ถูกมือใหญ่คว้าต้นแขนเอาไว้

“บุ่มบ่ามบุกเข้าไป ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่จะเงิบก็คือเจ๊ ลองโทรหาก่อนดีไหม”

“ก็นายเพิ่งพูดไปหยกๆ ไม่ใช่เหรอว่าเขาแวะซื้อถุงยางอนามัย” หญิงสาวสะบัดแขนจากการเกาะกุมก้าวลงจากรถ ถลาผ่านป้อมยามที่ตั้งอยู่หน้าคอนโดมิเนียมเข้าไป

ดินแดนกระโดดตามลงมาติดๆ ก่อนคว้าหมับเข้าที่ไหล่บาง ดึงกึ่งลากให้หลบเข้าไปอยู่ข้างป้อมยาม

ภาพที่เห็นในลานจอดรถ ทำเอาเอื้อมดาวแทบจะหมดเรี่ยวแรง ถึงกับต้องทรุดตัวลงนั่งยองๆ

วิศวกรหนุ่มลงจากรถ กุลีกุจอเปิดประตูด้านข้างคนขับให้หญิงสาวตัวเล็ก ก่อนจะโอบเอวอย่างสนิทสนม พากันเดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในอาคาร

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันเคยเจอที่โรงงาน”

“ถ้าจำไม่ผิด เขาชื่อมิ้ง” ดินแดนสอดขึ้นมา

“นายรู้จักเขาด้วยหรือ” หญิงสาวหันขวับมาหาคนที่ทรุดตัวนั่งอยู่ด้วยกัน

“เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก”

โลกกลมยังไม่พอ แถมยังแคบอีกต่างหาก สาวร่างเล็กที่เดินเข้าตึกไปกับรุจน์เป็นเพื่อนกับลูกค้าที่ซื้อควายจากเขาในโซเชียลมีเดีย ระบบจึงแนะนำให้เขาเพิ่มเพื่อน หลังจากนั้นดินแดนพบว่าเจ้าของบัญชี‘moongmiing_rawee’ ทำงานที่เดียวกับเอื้อมดาว และมักโพสต์รูปคู่กับชายหนุ่มนิรนามคนหนึ่ง ล่าสุดเธอเปลี่ยนสถานะในโปรไฟล์เป็น ‘กำลังอยู่ในความสัมพันธ์’

แม้ไม่เคยเห็นหน้าฝ่ายชายชัดๆ แต่บังเอิญมีรูปที่ถ่ายกับรถยนต์สีควันบุหรี่ เขาลองซูมทะเบียนดูพบว่าเป็นคันเดียวกันกับที่เคยมาเพลาหักอยู่ใกล้บ้าน ดินแดนจำทะเบียนได้อย่างแม่นยำ เพราะยืนเฝ้ารถอยู่นานก่อนที่รถลากจะมาถึง

ชายหนุ่มไม่เคยเล่าให้เอื้อมดาวฟัง เจ้าของบัญชี moongmiing_rawee เองก็คงไม่อยากตกเป็นข่าวฉาวในที่ทำงาน จึงไม่เคยลงรูปคู่แบบเห็นหน้าฝ่ายชายชัดๆ เพราะรู้ดีว่าเขาคบหาดูใจกับผู้หญิงอีกคนในโรงงานเดียวกัน

ประตูลิฟต์เปิดออก คนที่ยืนจับมือถือแขนกันอยู่ ประคองกันเข้าไปในลิฟต์

“เห็นตำตาขนาดนี้ก็กลับได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปส่ง”

เอื้อมดาวส่ายศีรษะ รวบรวมพละกำลังลุกขึ้นยืน “นายกลับไปก่อน ฉันจะอยู่รอจนกว่าพวกเขาจะลงมา”

“แล้วถ้าเขาไม่ลงมา เจ๊ไม่ต้องตบยุงรอทั้งคืนเหรอ กลับเถอะ มีอะไรค่อยเคลียร์กันวันหลังก็ได้”

เอื้อมดาวยังคงดื้อแพ่ง สาวเท้าไวๆ ผลักประตูกระจกเข้าสู่ตัวอาคารด้านใน หันรีหันขวางก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าโถงลิฟต์ ตัดสินใจว่าจะปักหลักอยู่ตรงนี้ ต่อให้ต้องรอทั้งคืนก็ยอม

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาตรวจตราคนแปลกหน้าตามหน้าที่

“หนูมานั่งรอเพื่อน เขาเพิ่งขึ้นไปเอาของกับแฟน เดี๋ยวลงมา”

ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ทันสมัย เอื้อมดาวไม่มีคีย์การ์ด จึงกดลิฟต์ตามขึ้นไปไม่ได้

เห็นหญิงสาวยังคงดื้อแพ่ง ดินแดนถอนหายใจแรงๆ เดินย้อนออกไปเคลื่อนรถกระบะเข้ามาในลานจอดก่อนกลับเข้ามาสมทบ

“กระเถิบไปหน่อยสิ” ร่างใหญ่โตทิ้งตัวลง เอนหลังพิงพนัก เหยียดแขนเหยียดขาออกตามสบายราวกับกำลังพักผ่อนอยู่กับบ้าน ทำเอาโซฟาสามตอนดูตัวเล็กลงไปถนัดใจ

เอื้อมดาวนั่งจ้องประตูลิฟต์ รอคอยอย่างสิ้นหวัง ทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้วยหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าเขาลงมาด้วยกัน เจ๊จะทำยังไง เข้าไปกระชากหัวแล้วตบซ้ายตบขวาเหมือนในละครทีวีไหม” ชายหนุ่มพยายามเรียกความกระปรี้กระเปร่าคืนมาให้พี่สาวเพื่อน

“บ้า ใครจะไปทำอะไรป่าเถื่อนแบบนั้น” เจ้าตัวเสมองนาฬิกาบนผนัง

เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง เอื้อมดาวผุดลุกขึ้นนั่งทุกครั้งที่ประตูลิฟต์เปิดออก ก่อนทรุดตัวลงในโซฟาเมื่อคนที่ออกจากกล่องสี่เหลี่ยมมาไม่ใช่คนที่กำลังรออยู่

“ผู้ชายจะเปลี่ยนใจเพราะผู้หญิงไม่ยอมนอนด้วย เรื่องอย่างว่าสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ” โพล่งออกไปแล้วก็รู้สึกกระดากปาก แต่เป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจหญิงสาวตั้งแต่เริ่มคบหากับรุจน์

“ถามแบบนี้ เขาคงชวนเจ๊ขึ้นคอนโดแล้วละสิ” ดินแดนเผลอกำหมัดขณะพูดโดยไม่รู้ตัว

“ก็…” เอื้อมดาวอึกอัก ขณะกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ก็ได้ยินเสียงลิฟต์เคลื่อนกลับลงมา

คนรอผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน จ้องประตูลิฟต์เขม็ง

หัวใจที่เต้นไม่ส่ำอยู่แล้วของเอื้อมดาวเหมือนถูกกระชากออกจากอก เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก

รุจน์คลอเคลียออกมากับหญิงสาว เป็นคนเดียวกับที่เห็นหน้าโรงอาหารพนักงานจริงๆ

วิศวกรหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี ชะงักฝีเท้า ชักมือที่เกาะกุมไหล่ของคนที่ยืนเคียงข้าง กลับไปสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง

“พี่รุจน์ เอื้อมขอคุยตามลำพังหน่อย” เอื้อมดาวพูดห้วนๆ หันไปส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าใครบางคนกำลังเป็นส่วนเกินในสถานการณ์นี้

คนข้างตัวรุจน์เชิดหน้าขึ้น ส่งสายตาเป็นเชิงท้าทายกลับมา

“น้องมิ้งไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวพี่ตามไปครับ”

“อย่านานนะคะ มิ้งง่วงแล้ว พรุ่งนี้เราต้องเตรียมเอกสารประชุมกับทางญี่ปุ่นตั้งแต่เช้า” พูดจบก็สะบัดหน้า ปรายตามองคนในชุดยูนิฟอร์มโรงงานอย่างเหยียดๆ

ร่างกะทัดรัดบนรองเท้าส้นสูงเคลื่อนกายผ่านประตูกระจกออกไป

ดินแดนถือโอกาสถอยออกมารอด้านหน้าอาคารด้วยเช่นกัน ปล่อยให้คู่รักเคลียร์ใจกันเอง

เมื่อได้อยู่กันลำพัง เอื้อมดาวเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่ม พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบทั้งที่ในใจเดือดปุด “มีอะไรจะอธิบายไหมคะ”

คนถูกจับได้คาหนังคานิ่งไปพักใหญ่ พยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้ละมุนละม่อมที่สุด “พี่ขอโทษนะ พี่อยากขอถอยออกมาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเราเสียใหม่”

“ถอยเพื่อทบทวนหรือถอยเพื่อไปเริ่มต้นกับคนใหม่ พี่พูดออกมาชัดๆ ดีกว่าค่ะ เอื้อมไม่ชอบอะไรที่มันคลุมเครือ จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งคู่ด้วย”

“เรากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่าไหม พี่ลองมาทบทวนดู ทั้งเอื้อมและพี่ เราต่างเป็นหัวเรือใหญ่ของบ้าน ต้องแบกภาระหนัก ขืนมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจะยิ่งกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม สู้แยกย้ายไปหาคนที่ช่วยซัปพอร์ตเราได้ ไม่ดีกว่าเหรอ”

“พ่อแม่พี่เป็นข้าราชการบำนาญ เงินเดือนของพี่เองก็ไม่น้อย แค่ค่าเช่าคอนโดกับค่าผ่อนรถ เอื้อมก็ไม่เห็นว่าจะเดือดร้อนตรงไหน หรือกลัวว่าเอื้อมจะมาเกาะพี่รุจน์กิน” สีหน้าเอื้อมดาวยอกแสยง

แม้ลำบากก็จริงแต่ก็ไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือจากคนรัก เพราะรู้ว่าไม่ยุติธรรมที่จะให้เขาต้องมาร่วมรับภาระครอบครัวเธอ

“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่รู้ว่าเอื้อมเป็นคนยังไง พี่ต่างหากที่จะทำให้เอื้อมลำบาก หากฝืนคบกันไป”

แม้เงินเดือนวิศวกรจะสูง แต่รุจน์ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังทุกเดือนเพราะต้องช่วยบิดาชดใช้หนี้สินที่เกิดจากการค้ำประกัน

“ลำบาก?” หญิงสาวนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ก่อนเกษียณ พ่อพี่ไปค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ให้เพื่อนครูในโรงเรียนเดียวกัน แต่เพื่อนดันหนีหายไป คนค้ำประกันเลยต้องรับผิดชอบแทน เงินเดือนพี่ทุกเดือนต้องเอาไปช่วยใช้หนี้ ไม่อย่างนั้นบ้านที่ภาชีจะถูกยึด”

เอื้อมดาวเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกัน เขาจึงไม่เคยเลี้ยงแต่จะหารกันคนละครึ่งเสมอ เธอคิดว่าเขาค่อนข้างมัธยัสถ์เพราะต้องการเก็บเงินซื้อบ้านอย่างผู้ชายที่คิดสร้างครอบครัว จึงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้

“ครอบครัวของมิ้งมีฐานะ เขาออกปากให้พี่ยืมเงินไปโปะหนี้ให้หมด ไม่คิดดอกเบี้ย มีเมื่อไหร่ก็ค่อยทยอยใช้คืน”

เปรียบเทียบระหว่างเอื้อมดาวกับระวีวรรณ เอื้อมดาวเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ตั้งแต่คบหากันมา มากที่สุดได้แค่เพียงกุมมือ เธอไม่เคยยอมย่างกรายขึ้นไปบนห้องของเขาเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมที่ชายหญิงซึ่งยังไม่ได้แต่งงานจะอยู่ด้วยกันในที่รโหฐานสองต่อสอง ในขณะที่ระวีวรรณ เจอหน้าปุ๊บก็ทอดสะพานให้เขาอย่างโจ่งแจ้ง และไม่รีรอที่จะพาตัวเองเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของเขาตั้งแต่วันแรกๆ

ระวีวรรณจบจากมหาวิทยาลัยเอกชน เข้ามาทำงานในตำแหน่งล่ามแปลภาษาญี่ปุ่น หลังเลิกงานจึงมีเวลาให้เขาเต็มเม็ดเต็มหน่วยต่างจากเอื้อมดาวที่นอกจากจะอยู่ทำโอที บางวันยังไปเปิดท้ายขายของตลาดนัดส่วนสุดสัปดาห์แทนที่จะได้ใช้เวลาด้วยกัน หญิงสาวก็ต้องไปเรียนหนังสืออีก

ระวีวรรณไม่มีภาระ จึงจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเต็มที่ แม้เงินเดือนไม่พอก็ไม่เป็นปัญหาเพราะมีเงินปันผลจากธุรกิจของทางบ้านโอนเข้าบัญชีทุกเดือน เธอกินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ พอรู้ว่ารุจน์ขัดสนเรื่องเงินทอง ก็ยินดียื่นมือเข้าช่วยโดยไม่ต้องคิด

‘พี่รุจน์ มีเมื่อไหร่ก็ค่อยใช้คืน ไม่ต้องทำสัญญิงสัญญาอะไรให้ยุ่งยากหรอกค่ะ เงินแค่นี้เอง มิ้งไม่เดือดร้อน’

จากที่ยังลังเล สองจิตสองใจเพราะผูกพันกับเอื้อมดาวไม่น้อย แต่เงินก้อนโตที่ระวีวรรณเอ่ยปากว่าจะช่วยใช้หนี้ ทำให้รุจน์ตัดสินใจได้เด็ดขาด

“อืม…เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากที่พูดตรงๆ แต่พี่รุจน์น่าจะบอกเร็วกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมีซีนให้กระอักกระอ่วนใจกันทั้งสองฝ่าย” เอื้อมดาวเชิดหน้าขึ้น พยายามกลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ ต่อให้อยากร้องไห้แค่ไหนแต่ไม่ใช่ตรงนี้ ต่อหน้าคนที่เป็นรักแรกและผู้หญิงคนใหม่ของเขา

“พี่ขอโทษจริงๆ เอาเป็นว่าช่วงนี้พี่จะพยายามไม่ไปไหนมาไหนกับมิ้งให้คนที่โรงงานเห็นก็แล้วกัน ให้เราค่อยๆ ห่างกันไปแบบไม่กระโตกกระตาก เอื้อมจะได้ไม่ถูกนินทาเสียๆ หายๆ ด้วย”

“พี่รุจน์อยากทำอะไรก็เชิญ ไม่ต้องสนใจเอื้อมหรอก เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋วมาก”

“เอื้อม…”

ด้วยเยื่อใยที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือบางเอาไว้

สายตาที่จ้องมองมาแฝงแววอาลัย ทำให้เอื้อมดาวถึงกับต้องกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไปในช่องอก ดึงมือใหญ่ที่กุมข้อมือเธอเอาไว้ออก

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก เอื้อมขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าเหมือนกัน” พูดจบก็หันหลังผลักประตูกระจกออกมาสมทบกับดินแดนที่ยืนรออยู่

“เคลียร์กันเรียบร้อยไหม” ดินแดนเหลือบมองวิศวกรหนุ่มที่ยืนคอตกอยู่ด้านใน

“อืม…เรียบร้อย ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ เขาไปเหยียบดวงจันทร์กันมาแล้ว สักพักคงเปิดตัวคบกันแหละ” หญิงสาวยังไม่วายทำเรื่องจริงจังให้เป็นเรื่องขบขัน พลางจ้ำเท้าไปยังลานจอดรถ พยายามไม่หันมองหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนพิงรถเก๋งซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากรถกระบะของดินแดนเท่าไร

“แฟนทั้งคนนะ ไล่ตามเขาต้อยๆ แล้วจู่ๆ จะยอมยกให้คนอื่นง่ายๆ แบบนี้เหรอ”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรได้ไหม ขึ้นรถก่อนเถอะ ฉันไม่อยากให้พี่รุจน์เห็นว่ายังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่” หญิงสาวตาแดงก่ำ พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาสุดฤทธิ์

“โอเค…ขึ้นรถ เดี๋ยวฉันไปส่ง” ดินแดนตบไหล่บางที่เริ่มสั่นสะท้านน้อยๆ รีบเปิดประตูให้

เมื่อขึ้นรถได้ เอื้อมดาวดึงกระดาษเช็ดหน้าจากกล่องบนคอนโซลหน้ารถออกมาเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกเสียงดังพรืดอย่างไม่อาย

ดินแดนเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์เวลาอยู่ต่อหน้าเขา

“เจ๊สวยกว่าผู้หญิงคนนั้นตั้งเยอะ แต่งเนื้อแต่งตัวเสียหน่อย สู้ได้ชัวร์ ไอ้พี่รุจน์ก็แค่ว่อกแว่กไปชั่วครั้งชั่วคราวตามประสาผู้ชาย” ดินแดนยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะปลุกให้หญิงสาวฮึดสู้

ในซอกหนึ่งของหัวใจ เขาแอบยินดีที่ทั้งคู่เลิกรากัน รู้สึกขัดหูขัดตาที่ต้องมาเห็นเอื้อมดาววิ่งไล่ตามฝ่ายชาย แต่พอเห็นเธอร้องไห้ฟูมฟาย กลับอยากให้เธอได้สมหวังกับรุจน์ เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจอย่างประหลาด

“ตอนนี้ในบัญชีมีเงินเก็บอยู่ไม่ถึงห้าหมื่น ถ้ามีสักห้าแสน ฉันอาจจะลองสู้ดูสักตั้งก็ได้นะ”

“เงินในบัญชีมันเกี่ยวอะไรด้วย” ดินแดนนิ่วหน้า หมุนพวงมาลัยผ่านป้อมยามออกมา

“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย ทางบ้านพี่รุจน์มีหนี้ก้อนใหญ่ แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาจะใช้หนี้ให้ เล่นฟาดหัวกันด้วยเงินแบบนี้ ฉันจะเอาอะไรไปสู้” เจ้าตัวพูดพลางสะอึกสะอื้น น้ำตาและน้ำมูกเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า

“หยุดร้องไห้เถอะ อย่าไปเสียน้ำตาให้ผู้ชายพรรค์นั้นเลย ดูสิ หน้ามอมเป็นแมวแล้ว” ดินแดนดึงกระดาษเช็ดหน้ายื่นส่งให้ “หิวไหม อยากกินอะไรบอกมา ฉันจะพาไปเลี้ยงฉลองความโสดให้เอง”

“นายเห็นฉันเป็นเด็กหรือไง ถึงชอบเอาของกินมาล่ออยู่เรื่อย” เอื้อมดาวแหวใส่หนุ่มรุ่นน้อง

“เจ๊เนี่ยไม่รู้อะไรบ้างเลย ของอร่อยๆ คลายเศร้าได้ชะงัดนัก สรุปว่าอยากกินอะไร ไปกินสเต๊กร้านที่ชอบไหม แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว ห้างน่าจะปิดแล้วด้วย” ดินแดนรำพึง

เอื้อมดาวส่ายหัว “ไม่ละ รอบนี้นายเลือกแล้วกัน เอาที่นายอยากกิน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง งบไม่เกินห้าร้อย ตกลงไหม”

“โอ้โห เจ๊! ทีกับแฟนเปย์ให้เขาได้ตั้งห้าแสน แบบนี้ฉันน้อยใจนะ”

“ไม่รู้ละ มีงบแค่นี้แหละ ฉันต้องรัดเข็มขัด จะเก็บเงินไถ่ควายคืนให้โอบ”

ดินแดนหูผึ่ง “ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหม หรือสะเทือนใจหนักมากเพราะเลิกกับแฟนจนสมองเพี้ยนไปหรือเปล่า”

“ฉันคิดทบทวนมาสักระยะแล้ว ถ้าได้ควายคืนมาอย่างน้อยสักตัว โอบจะได้ไม่ต้องทำงานพิเศษงกๆ จะได้มีสมาธิกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงจิตใจน้อง ตอนขายหอมเงินกับหอมทองไป แค่คิดว่าจะปลดหนี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น”

“โอบมันคงดีใจนะ ถ้ารู้ว่าเจ๊ตั้งใจจะซื้อควายคืนมา อาจยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่แค่นี้ก็น่าจะทำให้มันมีกำลังใจเรียนหนังสือขึ้นอีกโข”

“นายอาจจะคิดว่าฉันเป็นพี่สาวบ้าอำนาจ บังคับจิตใจน้อง แต่นายเชื่อไหม เผลอๆ โอบเรียนเก่งไม่แพ้ฉันหรอกนะ”

“ไม่หรอกมั้ง ถ้ามันเรียนเก่งแบบเจ๊ จะมาโอดครวญให้ฉันฟังทำไมว่าไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย” ดินแดนท้วง

“นายลองคิดดูดีๆ สมัยมอต้น โอบเรียนๆ เล่นๆ แทบไม่เคยทบทวนตำรา ยังได้เกรดสามกว่ามาตลอด แต่ที่ผลการเรียนมอปลายตกต่ำเพราะคงจะระแคะระคายว่าทางบ้านกำลังขัดสน หลังจากนั้นพ่อก็มาเสีย ควายถูกขายออกไป ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจเรียนหนังสือเข้าไปใหญ่”

“แต่ความรู้มันไม่ได้มีแค่ในมหาวิทยาลัย ถ้ามันไม่อยากเรียนต่อ เจ๊ก็อย่าไปบังคับมันเลย”

“ถ้านายเป็นห่วงเพื่อน ก็ต้องช่วยกล่อมให้โอบกลับไปเรียนหนังสือ นายอาจจะไม่สนใจวุฒิการศึกษา เพราะมีต้นทุนติดตัวหลายอย่าง ทั้งไร่นา คอกควายและสายสัมพันธ์ของผู้ใหญ่เดชที่คอยสนับสนุน แต่โอบไม่มีอะไรเลย ดังนั้นใครจะหาว่าฉันเผด็จการก็ช่าง แต่ฉันจะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด โอบต้องได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะนั่นเป็นต้นทุนเพียงอย่างเดียวที่ฉันมีปัญญาหาให้น้องได้ หวังว่านายคงจะเข้าใจ”

 



Don`t copy text!