กระบือสื่อรัก บทที่ 11 : แก่กว่าแล้วไง ใครแคร์ (2)

กระบือสื่อรัก บทที่ 11 : แก่กว่าแล้วไง ใครแคร์ (2)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

 

สัปดาห์ถัดมาหนุ่มสวมเสื้อฮาวายลายดอกก็ขับรถกระบะมาจอดรอรับหญิงสาวอย่างที่รับปากไว้

เอื้อมดาวออกมาทันเห็นสาวโรงงานกลุ่มหนึ่ง ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ยืนบิดตัวเป็นเกลียวด้วยความเขินอายต่อหน้าชายหนุ่ม แต่พอเหลือบมาเห็นเธอเข้า ดินแดนก็ยกมือขึ้นโบกทักทายและแยกตัวจากสาวๆ ที่รุมล้อมอยู่

“นายเนี่ยสงสัยจะตรงสเป็กสาวโรงงานจริงๆ ด้วย”

“ก็บอกแล้วไงว่าต้องต่อคิวชนิดหัวบันไดไม่แห้งเชียวแหละ” เจ้าตัวโอ่

แทนที่จะเดินกลับไปที่รถ ชายหนุ่มหยุดซื้อกาแฟเย็นจากรถเข็นที่จอดอยู่ริมรั้วโรงงาน พลางหันมาถามหญิงสาว “เอาอะไรไหม”

เอื้อมดาวส่ายหัว เขาจึงถือวิสาสะสั่งชามะนาวอีกแก้ว หลังจากได้เครื่องดื่มแล้วก็ขยับไปยืนหน้ารถเข็นขายหมูปิ้งต่อคิวอีกพักใหญ่

เอื้อมดาวขยับมองซ้ายมองขวา มีสายตาหลายสิบคู่มองอยู่อย่างอยากรู้อยากเห็น “นายไปตายอดตายอยากมาจากไหน”

“เจ๊นั่นแหละ จะรีบไปตามควายที่ไหน” ชายหนุ่มเอียงศีรษะ ก้มลงกระซิบข้างหู “เรากำลังเล่นละคร ขืนรีบขึ้นรถ คนก็ไม่เห็นน่ะสิว่าเจ๊มีหนุ่มใหม่แล้ว”

เอื้อมดาวทำหน้าเลิ่กลั่ก ดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาทันที

“อ้าวๆ เจ๊อย่าทำตัวแข็งสิ เดี๋ยวคนเขารู้หมดว่าเฟก”

ชายหนุ่มหยิบหมูปิ้งออกมาหนึ่งไม้ ยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว พอเอื้อมดาวจะคว้า เขาก็ขยับมือออกพลางส่ายหัวทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “กัดเลยสิ เล่นให้สมบทบาทหน่อย”

เอื้อมดาวทำตาเขียวใส่ แต่ยอมกัดเนื้อหมูฉ่ำซอสเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

ดินแดนกินหมูที่เหลือในไม้เดียวกันต่อจากเธอ เล่นใหญ่ด้วยการคีบหมูไว้ในปากและใช้มือบิข้าวเหนียวป้อนหญิงสาวอีกรอบ เป็นภาพที่ทำให้คนเดินผ่านไปมาต้องอมยิ้ม

“พอแล้ว ไปกันเถอะ” เอื้อมดาวเขินจนหน้าแดง

ดินแดนไม่ขัด ออกเดินพลางเกี่ยวมือตัวเองเข้ากับมือของหญิงสาว

“เฮ้ย! นี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้วนะ” หญิงสาวเอ็ดเขาเบาๆ

“เดินไปเถอะน่า อย่ายึกยัก เดี๋ยวไม่สมบทบาท” ชายหนุ่มจุปาก

เอื้อมดาวเดินตามเขาผ่านรถยุโรปที่จอดติดเครื่องอยู่ เห็นแค่ท้ายรถก็จำได้ว่าเป็นรถคันใหม่ของรุจน์

วันนี้วิศวกรหนุ่มออกไปทำงานนอกสถานที่ แต่ต้องกลับมารอรับระวีวรรณหลังเลิกงาน รุจน์เห็นทั้งคู่เดินจับมือกันจากกระจกมองหลัง รู้สึกแปลบปลาบที่หัวใจ แต่ตัดสินใจว่าไม่ลงไปทักทายน่าจะดีกับทั้งสองฝ่าย

ดินแดนเปิดประตูให้หญิงสาว ก่อนอ้อมไปขึ้นนั่งฝั่งคนขับ สตาร์ตเครื่องหมุนพวงมาลัยออกมา

เอื้อมดาวยกมือขึ้นโบก รู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า จึงก้มลมดูดชามะนาวอึกใหญ่ช่วยดับความร้อน

ดินแดนบิดปุ่มเร่งแอร์ ปรับช่องลมให้พุ่งตรงมายังคนนั่งข้าง พลางหัวเราะหึๆ

“มิชชัน คอมพลีต คราวนี้เจ๊ก็ลาออกจากโรงงานโดยไม่มีอะไรติดค้างใจแล้ว”

“นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย เล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมาก คนหมั่นไส้ไปทั้งโรงงานแล้ว”

“ไม่ดีเหรอ โดยเฉพาะไอ้พี่รุจน์กับแฟนใหม่ ต้องยิ่งทำให้เห็นว่าเจ๊ไม่ได้แคร์เขาแม้แต่กระผีก”

“ไหนๆ ฉันจะออกแล้ว นายก็ไม่ต้องมาเล่นละครให้เสียเวลาหรอก”

“ไม่ได้ ฉันต้องเล่นต่อไปเรื่อยๆ เป็นไม้กันหมาให้เจ๊ไง ยายมุ้งมิ้งจะได้เห็นว่าเจ๊มแฟนใหม่แล้ว ขืนเขาเข้าใจว่าเจ๊ยังมีเยื่อใยกับไอ้พี่รุจน์อยู่ โอกาสปะฉะดะหน้าโรงงานมีสูง จะกลายเป็นละครฉากใหญ่ยิ่งกว่านี้อีก”

เอื้อมดาวย่นจมูก “นายไม่ใช่แค่เล่นละครเก่ง แต่ยังเขียนบทเก่งด้วย มโนได้เป็นตุเป็นตะอย่างกับละครทีวี คนอย่างฉัน จบคือจบ แล้วพี่รุจน์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาเสียดายผู้หญิงที่มีแต่ตัวแบบฉันด้วย”

“มีแต่ตัวสิดี ดูง่ายว่าใครจริงใจไม่จริงใจกับเรา หรือเจ๊อยากได้ผู้ชายที่เขาหวังอะไรจากเจ๊มากกว่าหัวใจอย่างนั้นเหรอ”

“น้ำเน่าจริงๆ สมัยนี้ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่เลือกผู้ชายรวย ผู้ชายเขาก็เลือกผู้หญิงรวยเหมือนกัน ไม่มีใครอยากกัดก้อนกินเกลือหรอก” เอื้อมดาวเอ่ยอย่างปลงๆ

“แต่ฉันไม่คิดอย่างเจ๊ คนรักกัน กัดก้อนกินเกลือได้ไม่มีปัญหา ฉันเป็นผู้ชายไม่กลัวลำบากหรอก”

“ฉันจะคอยดูผู้หญิงที่นายเลือกมาเป็นแฟน มาเป็นแม่ของลูก” เอื้อมดาวหัวเราะก่อนก้มลงดูดชามะนาวเย็นในแก้วอีกอึกใหญ่

“คิดดีแล้วใช่ไหมเรื่องลาออก” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ทำลายความเงียบในห้องโดยสาร

“ไม่รู้สิ คราวก่อนตอนขายควายของโอบก็คิดดีแล้ว แต่พอย้อนคิดอีกที ก็สงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่า”

“พอๆๆ ฉันฟังคำว่าคิดจนเวียนหัว แบบนี้เขาเรียกว่าย้ำคิดย้ำทำ ตอนนั้นสถานการณ์มันบีบให้ต้องตัดสินใจ เราต้องคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับไปคิดอีก”

“ฉันตัดสินใจแล้วจะออกมาขายของ ทำงานโรงงานนานๆ เหมือนวิญญาณถูกดูดกลืนไปใกล้จะเป็นซอมบี้เข้าไปทุกที”

รถกระบะทะยานห่างจากโรงงานออกไปเรื่อยๆ หญิงสาวหมุนลดกระจกลงจนสุด วางคางลงบนขอบหน้าต่าง มองทิวไม้ที่ปลูกไว้เป็นแนวขนานกับถนนในนิคมอุตสาหกรรม คนงานไหลออกจากกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาเหมือนๆ กันราวกับมดงานกรูออกจากรัง

ไกลจากเขตนิคมออกไปเรื่อยๆ อารมณ์ของหญิงสาวก็ค่อยๆ เบิกบานขึ้น แม้จะเสียดายสวัสดิการและเงินเดือนที่ไม่มากแต่มั่นคง เอื้อมดาวตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง แค่คิดว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากสาวโรงงานมาเป็นแม่ค้าก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

 



Don`t copy text!