กระบือสื่อรัก บทที่ 11 : แก่กว่าแล้วไง ใครแคร์ (1)

กระบือสื่อรัก บทที่ 11 : แก่กว่าแล้วไง ใครแคร์ (1)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

ชีวิตที่เวลาถูกกำหนดด้วยเครื่องตอกบัตรหมุนเวียนผ่านไปอย่างจำเจ แต่ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือการที่ต้องทนเห็นแฟนเก่าควงสาวคนใหม่ต่อหน้าต่อตาทุกวันที่โรงอาหารในช่วงพักกลางวัน

เอื้อมดาวประคองจานข้าวในมือพร้อมแก้วเครื่องดื่ม มองหาเก้าอี้ว่าง หวังสอดแทรกตัวลงไปท่ามกลางพนักงานจำนวนมาก

หลังเลิกกับรุจน์ เธอกินข้าวคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ หลีกเลี่ยงการสุงสิงกับคนในโรงงานเพราะไม่อยากตอบคำถามให้วุ่นวายว่าวิศวกรหนุ่มที่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันหายไปไหน

หญิงสาวเข้าไปนั่งแทนที่คนที่ลุกขึ้นไป หันหน้าเข้าหาแผงขายอาหารที่เรียงรายเป็นแนวยาว ขณะก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากก็ได้ยินเสียงลอยมาจากโต๊ะติดกัน

“ดูสิ เข้ามาทำงานยังไม่ทันผ่านโปร ก็ฉกหนุ่มเนื้อหอมของโรงงานไปควงแล้ว”

“เขาเคยควงอยู่กับคนข้างล่างไม่ใช่เหรอ ที่สวยๆ หน้าเชิดๆ ไปไหนแล้วล่ะ”

คนพูดน่าจะเป็นพนักงาน ‘ข้างบน’ หรือในสำนักงาน ส่วน ‘ข้างล่าง’ เป็นนิยามของพนักงานในสายการผลิต มีนัยของการแบ่งชนชั้นอยู่เล็กๆ ในน้ำเสียง

“ก็แค่ควงเล่นฆ่าเวลา เขาจบวิศวะมา จะให้มาเป็นแฟนกับสาวโรงงานจบแค่มอหกก็ไม่ไหวนะ มันคนละชั้นกัน” อีกคนสำทับ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักขึ้นในโต๊ะ

เอื้อมดาวเงยหน้าขึ้น มือที่จับช้อนส้อมสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นรุจน์ควงมากับสาวตัวเล็กบนรองเท้าส้นสูง เธอก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจ แต่เสียงซุบซิบยังคงลอยมาเข้าหู

“แบรนด์เนมทั้งตัว แค่เงินเดือนล่ามไม่น่าจะพอใช้”

“ได้ยินมาว่าบ้านนางรวย ทำงานไปอย่างนั้นแหละ กันไม่ให้คนครหาว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”

“ถ้าอย่างนั้นผู้ชายก็ฉลาดเลือกนะ เห็นว่าเปลี่ยนรถแล้ว ผู้หญิงจ่ายเงินดาวน์รถคันใหม่ให้ เป็นรถยุโรปเสียด้วย เอาไว้รับนางไปไหนต่อไหน”

ข้าวยังเหลืออีกครึ่งจาน แต่เอื้อมดาวหน้าชา ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เธอลุกออกไปเงียบๆ แต่ไม่รอดพ้นสายตาของคนในโต๊ะที่กำลังนั่งนินทาเผาขนอยู่ดี

“ตายแล้ว! นางมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ได้ยินที่พวกเราเมาท์กันหรือเปล่า” คนซึ่งจีบปากจีบคอยังไม่มีท่าทีสลด

“โชคดี นางไม่เอาน้ำสาดเธอ โทษฐานเสือกเรื่องชาวบ้าน” คนที่ล้อมวงอยู่ประสานเสียงหัวเราะ

พอได้กินข้าวโดยมีกับแกล้มเป็นเรื่องซุบซิบ ทำให้อาหารกลางวันมื้อนี้รสชาติดีขึ้นกว่าเดิมอีกโข ถือเป็นสีสันให้ชีวิตคนโรงงานที่ต้องอยู่กับความซ้ำซากจำเจได้เป็นอย่างดี

 

เอื้อมดาวนั่งรถเวียนในนิคมอุตสาหกรรมมาลงที่ลานจอดด้านหน้าเหมือนเช่นเคย รุดผ่านร้านรวงคุ้นตาที่ตั้งเรียงรายไปยังจุดที่รุ่งอรุณจอดรถเปิดท้ายอยู่

ลูกพี่ลูกน้องกำลังขะมักเขม้นเรียงกับข้าวและขนมนมเนยแข่งกับเวลาเลิกงานของโรงงาน กิจการของสองสาวไปได้ด้วยดี ข้าวของที่ขนมาจึงแน่นเต็มท้ายกระบะ

“ไม่รู้วันอะไร แถวรังสิตรถติดมาก ฉันกลับมาไม่ทันเลยโทรให้ดินแดนไปรับหมูฝอยจากน้าสะอิ้งแทน”

เอื้อมดาวอมยิ้มน้อยๆ นึกถึงคืนที่ชายหนุ่มไปนั่งเป็นเพื่อนรอเคลียร์กับรุจน์ หลังจากนั้นยังไปเลี้ยงข้าวปลอบใจที่ร้านหมูกระทะริมคลองอีกด้วย

‘หมูกระทะจะเยียวยาทุกสิ่ง’ เจ้าตัวยักคิ้วหลิ่วตาให้หญิงสาวที่นั่งมองเตาปิ้งย่างหน้าสลด

แสงจันทร์นวล ลมแม่น้ำพัดโชย หมูกระทะอุ่นๆ บนเตาจุ่มน้ำจิ้มรสแซ่บ ตบท้ายด้วยเบียร์วุ้นเย็นๆ ใบหน้าหญิงสาวก็เริ่มกลับมาแต้มรอยยิ้มได้อีกครั้ง

คืนนั้นดินแดนไปส่งเธอ เอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้หน้าร้านข้าวต้มขับตามหลังรถมอเตอร์ไซค์ของเธอจนถึงบ้าน

หญิงสาวคิดว่าตัวเองจะเศร้าจนนอนร้องไห้ทั้งคืน แต่ปรากฏว่าเหนื่อยเสียจนผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดยูนิฟอร์ม

“เอ้อ…เกือบลืม แม่ให้ถามว่าเอื้อมสนใจแผงขายอาหารที่โรงเรียนไหม ล็อกข้างๆ เขาจะเซ้ง”

เอื้อมดาวหูผึ่ง “สนใจสิ แต่พี่ช่วยคิดหน่อยว่าฉันจะขายอะไรดี”

เจ้าตัวแอบคิดมาระยะหนึ่งแล้วว่าอยากลาออก เบื่องานซ้ำซากจำเจที่ต้องตอกบัตรเช้าเย็นเต็มกลืน แม้โรงงานที่ทำอยู่สวัสดิการจะดีเป็นอันดับต้นๆ ของนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ก็ตาม อีกอย่างเธอชักจะติดใจการเปิดท้ายขายของกับรุ่งอรุณ อยากลองออกมาขายของจริงจัง แต่ติดที่ยังต้องทำงานเต็มเวลาอยู่

“อืม…ร้านข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวมันไก่ ร้านน้ำก็มีแล้ว ขายพวกของทอดไหม เด็กๆ น่าจะชอบพวกไส้กรอกแดง ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมู ขายได้เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ตอนกลางวัน หลังเลิกเรียนก็น่าจะยังขายได้”

“ใช้หม้อทอดไฟฟ้าดีๆ แบบที่ร้านอาหารใช้ทอดเฟรนช์ฟรายก็ยิ่งดูน่ากินนะ” เอื้อมดาวรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที ตื่นเต้นที่จะได้สวมบทบาทแม่ค้า

“ตกลงเอาไหม จะได้บอกให้แม่ติดต่อ แต่จะจ้างใครขาย”

“ฉันเนี่ยแหละ จะลาออกจากโรงงานมาขายเอง”

“ทำงานที่นี่ได้ทั้งโอที เบี้ยขยัน ประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไหนจะโบนัสประจำปีอีก คิดดีแล้วเหรอจะลาออกมาเป็นแม่ค้า” รุ่งอรุณไล่นับนิ้วสวัสดิการทั้งหมดของโรงงานให้ดู เผื่อลูกพี่ลูกน้องจะฉุกคิดได้

“ออกเลย ฉันสนับสนุน หัวการค้าอย่างเจ๊ เหมาะจะเป็นแม่ค้ามากกว่าสาวโรงงาน”

“อุ้ย! อิแม่หก ทำไมถึงชอบโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงตลอดเลย” รุ่งอรุณบ่นพลางตบอกเบาๆ

เอื้อมดาวหัวเราะขำ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้การมาถึงของใครคนหนึ่ง แต่ภายในหัวใจกลับค่อยๆ ฟูขึ้นอย่างประหลาด

ดินแดนหอบหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่เต็มสองมือ เหงื่อโซมกายเนื่องจากถนนหน้านิคมอุตสาหกรรมเริ่มรถติด เขาไม่อยากเสียเวลาวนรถกลับมา จึงจอดไว้ที่ลานจอดหน้าห้างค้าปลีกอีกฝั่งถนน แล้วเดินข้ามสะพานลอยเอา

“ขอบใจนะจ๊ะ แหมวันนี้หล่อเป็นพิเศษเชียว รีบไปไหนหรือเปล่า อยู่ช่วยพี่เรียกลูกค้าสาวๆ หน่อยสิ คืนนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” รุ่งอรุณรับถุงพลาสติกมาวางลงบนท้ายรถกระบะในจุดที่ยังว่างอยู่

ดินแดนสวมเสื้อฮาวายสีเข้มโทนเดียวกันกับกางเกงยีนส์ ดูสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ ผมหวีจัดทรงเรียบแปล้ ใบหน้าคร้ามแดดไร้หนวดเครา รูปลักษณ์ดูเข้มสมเป็นชายไทย เรียกสายตาบรรดาสาวโรงงานที่เริ่มทยอยมาจับจ่ายใช้สอยในเย็นวันศุกร์

ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มกว้างให้เอื้อมดาว พูดจาเป็นนัยอย่างที่รู้กันเพียงสองคน “เป็นไงล่ะเจ๊ เชื่อหรือยังว่าหมูกระทะจะเยียวยาทุกสิ่ง”

เอื้อมดาวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คว้าถุงพลาสติกอีกถุงจากมือเขา ทยอยหยิบกล่องหมูฝอยออกมาเรียง

ดินแดนตีเนียนขยับเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ “หายเฮิร์ตหรือยัง”

“เฮิร์ตอะไร ไม่เลย ปกติดีมาก” เอื้อมดาวสบตาเขา พยักหน้ายืนยันคำพูดของตัวเองอย่างหนักแน่น

“ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะ” ชายหนุ่มจ้องมองเธอ สายตาแฝงแววจริงจังไม่ยั่วเย้าเช่นเคย

ตลาดนัดเปิดท้ายขายของเริ่มครึกครื้น ยิ่งมีนายกวักที่มีลูกล่อลูกชนมาช่วยขาย หมูฝอยและหมูแดดเดียวที่เตรียมมาก็พร่องลงอย่างน่าชื่นใจ

“ขอหมูฝอยสามกล่องแล้วก็หมูแดดเดียวสามกล่อง”

ขณะกำลังทอนเงินให้ลูกค้า อยู่ๆ ก็ได้ยินน้ำเสียงใสๆ แฝงแววหยันน้อยๆ ดังขึ้น เอื้อมดาวเงยหน้าขึ้นมองถึงกับชะงักไป

หญิงสาวร่างเล็กกะทัดรัดบนรองเท้าส้นสูงควงมากับวิศวกรหนุ่มหน้าตี๋ ฝ่ายหญิงชี้ปลายนิ้วที่เคลือบสีและตกแต่งด้วยคริสตัลเล็กๆ ไปยังกล่องอาหารที่เรียงรายซ้อนกันอยู่

แม่ค้าในชุดยูนิฟอร์มโรงงานทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หยิบกล่องหมูฝอยและหมูแดดเดียวใส่ถุงพลาสติกตามสั่ง ก่อนคิดเงิน “หมูฝอยกล่องละหกสิบห้า สามกล่องร้อยเก้าสิบห้าบาท หมูแดดเดียวกล่องละแปดสิบบาท สามกล่องสองร้อยสี่สิบบาท สองอย่างรวมสี่ร้อยสามสิบห้าบาท”

“มิ้งไม่ต้อง เดี๋ยวพี่จ่ายเอง” รุจน์ที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังรีบควักกระเป๋าเงินออกมาหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทยื่นส่งให้ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคนไม่รู้จักกัน

“รับขนมจีบเพิ่มอีกสักกล่องไหมครับ รับมาจากร้านใหม่ๆ ขายหมดวันต่อวันเท่านั้น” คนพูดจงใจเน้นคำว่า ‘จีบ’ ให้ชายหนุ่มที่กำลังเล่นบทลูกค้าเสียวสันหลังวาบ

รุจน์จำดินแดนได้ ชายหนุ่มผิวเข้มหน้านิ่งแต่ท่าทางเอาเรื่อง ปรากฏตัวเคียงข้างเอื้อมดาวหลายครั้งหลายครา ไม่ต่างจากองครักษ์ประจำตัว

“เอาสิคะพี่รุจน์ กล่องละเท่าไหร่ แม่ค้า” คนพูดกระแทกเสียงที่ปลายประโยค ตั้งใจย้ำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงสถานภาพที่ต่ำต้อยกว่า

“ห้าสิบบาท” เอื้อมดาวหยิบธนบัตรที่เตรียมไว้ทอนออกจากมือ เหลือเพียงเศษเงินเหรียญยื่นส่งให้

“ไม่ต้องทอนหรอก ฉันไม่พกเหรียญ มันหนักกระเป๋า”

เมื่อลูกค้าสาวเบี่ยงตัวหนี ไม่ยอมรับของที่ซื้อ เอื้อมดาวจึงยื่นถุงใส่กล่องอาหารและเงินทอนให้กับรุจน์แทน

“พี่ไปก่อนนะ ไว้คราวหน้าจะมาอุดหนุนใหม่” วิศวกรหนุ่มยิ้มบางๆ ดวงตายังมีแววอาลัยแฝงไว้

เงินก้อนใหญ่ที่ระวีวรรณช่วยมา ทำให้เขาปลดหนี้สินให้ทางบ้านเรียบร้อย แถมยังเหลือพอนำไปดาวน์รถยุโรปป้ายแดงคันใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากได้มานาน

รุจน์ได้อิสรภาพทางการเงินกลับมา แต่ต้องแลกด้วยอิสรภาพทางใจ ทุกวันนี้เขากลายเป็นสารถีส่วนตัวคอยรับคำสั่งจากระวีวรรณ แม้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่เคยได้มีเวลาพักผ่อนเป็นของตัวเอง กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่ที่ภาชีออกกำลังกายที่คอนโดฯ หรือรับเอื้อมดาวไปดูหนังกินข้าวหลังเลิกเรียน กลายเป็นว่าต้องคอยขับรถพาระวีวรรณและสมาชิกในครอบครัวของเธอไปทำบุญตามวัดต่างจังหวัดไม่เว้นว่าง

โลกนี้ไม่มีอะไรพอดี เอื้อมดาวแทบไม่มีเวลาให้เขาเพราะงานรัดตัว ในขณะที่ระวีวรรณเรียกร้องทุกนาทีจากเขาชนิดแทบไม่ได้หายใจหายคอ

“เดี๋ยวค่ะ เอาขนมปังเนยสดไปด้วยสิคะ เจ้านี้อร่อยนะ” หญิงสาวยื่นถุงขนมปังให้อย่างมีน้ำใจ

“ขอบใจมาก ยังอุตส่าห์จำได้ว่าพี่ชอบกินขนมปังเนยสด”

เอื้อมดาวยิ้มบางๆ เธอโกรธรุจน์ก็จริง แต่เข้าใจว่าเขามีเหตุผลส่วนตัวทำให้เลือกที่จะตัดสัมพันธ์ ถ้าเลือกได้ ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากคบผู้หญิงที่แบกภาระทางบ้านไว้จนหลังแอ่นอย่างเธอ

“ท่าทางเหมือนยังมีใจให้เราอยู่นะ เลิกกันจริงหรือเปล่า” รุ่งอรุณกระเซ้า หลังจากที่รุจน์เร่งฝีเท้าตามแฟนสาวคนใหม่ไป

“เลิกล้านเปอร์เซ็นต์ รับรองไม่มีคำว่าลมพัดหวน”

เธอได้เห็นธาตุแท้ของรุจน์แล้ว เขาเลือกเงินไม่ใช่ความรัก จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะคิดถึงเขาอีก

คนเดินตลาดหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ พนักงานในชุดยูนิฟอร์มโรงงานเดียวกันหลายคนแวะเวียนเข้ามาซื้อของเอื้อมดาวก็โอภาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี

“ตอนอยู่โรงงานเห็นนิ่งๆ นึกว่าจะเป็นคนหยิ่งๆ เสียอีก” ลูกค้าคนหนึ่งชวนคุย

“ไม่หยิ่งหรอกจ้ะ แค่เหนื่อยเลยยิ้มไม่ค่อยออก ถ้าเจอกันที่โรงงานก็ทักได้เลย”

ขายของไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อย แต่เอื้อมดาวยังคงยิ้มได้ ใครจะหาว่าเธอหน้าเงินก็ช่าง ถ้ายิ้มแล้วช่วยให้ขายหมูฝอยหรือหมูแดดเดียวได้อีกกล่อง เธอก็ยินดียิ้มให้กรามค้างไปเลย

“คนนี้แฟนใหม่หรือเปล่า หล่อเข้มคนละแบบกับคนก่อนเลยนะ แต่ทรงนี้พี่ชอบ ดูจริงใจกว่าเป็นไหนๆ”

“เอ่อ…ไม่ใช่นะคะ เป็นน้องชายค่ะ” เอื้อมดาวโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“คุณพี่ตาแหลมมาก ผมแถมขนมปังเนยสดให้ กินแล้วขอให้เลิกโสด ฝากคุณพี่ประกาศให้ทั่วโรงงานว่าเจ๊คนนี้มีแฟนใหม่แล้ว” ดินแดนรับลูกหน้าตาเฉย ไม่สนใจเอื้อมดาวที่ถลึงมองตาเขียวปั้ด ทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอราวกับแม่เสือ

“อุ๊ย! ขอบใจมาก น้องชาย หล่อแล้วยังใจดีอีก”

ลูกค้าเดินหายลับไปในฝูงชน เอื้อมดาวจึงหันกลับมาเล่นงานชายหนุ่ม

“นายพูดเล่นแบบนี้ ถ้าเขาเอาไปพูดในโรงงาน ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ก็ไว้บนคอเหมือนเดิมแหละ ไม่ดีเหรอ ไอ้พี่รุจน์มีแฟนใหม่ เจ๊ก็มีแฟนใหม่เหมือนกัน ชาวบ้านจะได้หมดเรื่องคาใจ มูฟออนไปเผือกเรื่องอื่นต่อได้ยังไงล่ะ”

“เออ เข้าท่าอยู่นะ แต่นายต้องเล่นละครต่อให้ตลอดรอดฝั่ง ไปรอรับเอื้อมที่หน้าโรงงานด้วยสิ พี่รุจน์กล้าควงผู้หญิงใหม่มาเย้ย เอื้อมก็ควงแฟนใหม่เย้ยกลับไง” รุ่งอรุณยุส่ง

“พอๆ ฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร พี่รุ่งก็อีกคน เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” น้ำเสียงเอื้อมดาวหงุดหงิดจนคนฟังรู้สึกได้

“เอ้า หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่งสิ ต้องควงผู้ชายคนใหม่เท่านั้นแหละ พวกปากแจ๋วจะได้หยุดเห่าหอน” รุ่งอรุณถือคติตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถ้าแฟนเธอนอกใจ ไม่มีวันที่ผู้หญิงคนใหม่จะมาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ ต้องได้เห็นดีกันแน่

“ไม่ต้องหรอก เย้ยกันไปเย้ยกันมาให้ได้อะไรขึ้นมา ใช่ว่าฉันจะมีแฟนใหม่จริงๆ เสียที่ไหน พี่ให้ป้าสอางค์รีบไปคุยเรื่องเซ้งแผงเถอะ ถ้าเงินพอฉันลาออกจากโรงงานแน่ๆ”

นอกจากเบื่องานที่ซ้ำซากจำเจแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เอื้อมดาวอยากลาออกก็เพราะไม่อยากเจอหน้าอดีตคนรัก ขนาดเธอเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัว วันๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร พอเลิกกันขึ้นมายังตกเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งโรงงาน

เอื้อมดาวถูกตราหน้าว่าเป็นดอกไม้ริมทาง บ้างก็ว่าถูกฟันแล้วทิ้ง เสียงซุบซิบนินทาส่วนใหญ่มาจากคนในแผนกเดียวกัน เห็นเธอมีแฟนเป็นวิศวกรเนื้อหอมเลยหมั่นไส้ แทนที่จะคบหากับคนในระดับเดียวกัน ส่วนแฟนใหม่ของรุจน์เองก็ใช่ย่อย คอยหาโอกาสเย้ยหยันอยู่ตลอด

“แต่ตอนนี้เจ๊ยังไม่ลาออก ก็เล่นละครต่ออีกหน่อยแล้วกัน ไม่เป็นไรฉันไม่ถือ” ดินแดนพูดหน้าตาย

เอื้อมดาวส่งค้อนวงใหญ่ให้ชายหนุ่ม “เอาที่นายสบายใจเถอะ นายอยากถูกเพื่อนล้อว่าควงคนแก่กว่าก็ตามใจ”

“แก่กว่าแล้วไง ใครแคร์ รุ่นน้าฉันก็เคยจีบมาแล้ว บ่ยั่นหรอก” ดินแดนยืดอกอวด

รุ่งอรุณหัวเราะคิกคัก “เพิ่งรู้ว่านายชอบสาวรุ่นพี่ ฉันยังโสดอยู่นะ สนไหม ทำกับข้าวเก่ง ขับรถเป็น ช่วยนายเลี้ยงควายได้สบายบรื๋อ ไม่ขัดเลย”

“รับบัตรคิวก่อนครับ เล่นละครให้เจ๊เอื้อมเสร็จแล้ว ผมยังเหลืออีก…” เจ้าตัวทำเป็นนับนิ้วมือ “ไม่เยอะเท่าไหร่ ประมาณห้าคิวได้”

“ย่ะ พ่อคนเนื้อหอม เดี๋ยวนี้ดังในกลุ่มคนเลี้ยงควายบนโซเชียลแล้ว ทำเป็นเล่นตัวนะ” รุ่งอรุณกระเซ้า

ดินแดนยิ้มโอ่ แกล้งทำเป็นลูบลูกผมที่ปรกลงมาระหน้าผาก วางท่าว่าตัวเองหล่อเสียเต็มประดา

“นายล่ะเกรียนไม่มีใครเกิน” เอื้อมดาวส่ายหัว ก่อนจะหันไปขะมักเขม้นกับการเรียกลูกค้าต่อ

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ายังถูกคนเกรียนจ้องมองอยู่อย่างไม่วางตา

‘ชิ แก่กว่าแค่ปีเดียว แต่ชอบย้ำอยู่เรื่อยว่าเป็นรุ่นพี่’

 

 



Don`t copy text!