กระบือสื่อรัก บทที่ 14 : ลูกชิ้นราดน้ำจิ้ม ไม่ใช่ยำลูกชิ้น (1)

กระบือสื่อรัก บทที่ 14 : ลูกชิ้นราดน้ำจิ้ม ไม่ใช่ยำลูกชิ้น (1)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

บ่ายวันหนึ่ง หลังจากเสียงกริ่งดังเป็นสัญญาณหมดเวลาพักกลางวัน เธอถูกเรียกให้ไปพบผู้ช่วยผู้อำนวยการที่ดูแลเรื่องการเช่าแผงขายอาหารของโรงเรียน

เอื้อมดาวเตรียมใจไว้แล้ว หลังจากเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แม่ค้าร้านยำมายืนด่าสาดเสียเทเสียอยู่หน้าร้านของเธอ เคราะห์ดีที่เด็กนักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนหมดแล้ว แต่ก็เป็นที่โจษจันไปทั่วว่าแม่ค้ากระทบกระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน

ในคราวแรกหญิงสาวไม่คิดสู้ แต่เมื่ออีกฝั่งถึงขั้นจะทำลายข้าวของในร้าน เธอจึงต้องโต้ตอบกลับ

ศึกระหว่างร้านสงบลงได้เมื่อนางสอางค์ปรี่ออกจากหลังร้าน มาห้ามทัพ

‘หยุดกัดกันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาน้ำมาสาดให้เหมือนหมูเหมือนหมาเลยทีเดียว’

นางสอางค์ซึ่งถือเป็นคนเก่าแก่ แยกแม่ค้าทั้งสองร้านที่หัวหูกระเซอะกระเซิงและหน้าตาฟกช้ำจากการฟ้อนเล็บออกจากกัน

วันนี้เอื้อมดาวเปิดร้านขายลูกชิ้นปั้นสดตามปกติ แต่แม่ค้าที่ขายยำลูกชิ้นปิดร้านเงียบกริบ เหมือนจะสงบศึกกันได้แต่จริงๆ แล้วสงครามที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นต่างหาก

หญิงสาวจึงต้องมานั่งสงบเสงี่ยม รับการไต่สวนและรอคำตัดสินจากผู้ช่วยผู้อำนวยการ

“แม่ค้าอีกร้านเขาบอกว่าหนูเปลี่ยนมาขายยำลูกชิ้นเหมือนกัน แย่งลูกค้าเขาไปหมด”

“หนูขายลูกชิ้นปั้นสดราดน้ำจิ้ม แต่ร้านโน้นขายยำลูกชิ้นแล้วก็มียำอื่นๆ อีกด้วย มันก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวนะคะ” เอื้อมดาวแย้ง พยายามควบคุมน้ำเสียงไว้ไม่แสดงความไม่พอใจออกไป

“แต่ก็ใกล้เคียงมาก พอราดน้ำจิ้มลงบนลูกชิ้น มันก็เหมือนยำนั่นแหละ อีกอย่างเขาขายเมนูนี้มาก่อน ส่วนหนูตอนแรกก็ขายไส้กรอกลูกชิ้นทอดอยู่ดีๆ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาขายลูกชิ้นปั้นสด”

“หนูอยากให้นักเรียนได้กินลูกชิ้นดีๆ ไม่ผสมแป้ง ไม่ผสมสารกันบูด”

“อาจารย์เห็นความตั้งใจของหนูนะ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องไม่เป็นเรื่องถึงหูผู้อำนวยการ ถ้ารอบนี้อาจารย์ปล่อยให้หนูขายลูกชิ้นปั้นสดต่อ เดี๋ยวเขาก็หาช่องร้องเรียนเรื่องอื่นอย่างเรื่องที่หนูเช่าช่วงแผงจากแม่ค้าคนก่อน ถ้าเขาเอาสัญญามากาง ชื่อคนเช่าไม่ใช่หนู เรื่องจะยิ่งบานปลายถึงขั้นไม่มีสิทธิ์ขายที่นี่อีก”

เอื้อมดาวจนด้วยเหตุผล เถียงไม่ออกเพราะเซ้งแผงต่อจากแม่ค้าคนเก่าซึ่งจริงๆ แล้วทำไม่ได้เพราะในสัญญาระบุไว้ว่าห้ามเช่าช่วงต่อ แต่นางสอางค์บอกว่าแม่ค้าที่ขายอยู่หลายคนก็ไม่ใช่คู่สัญญาคนแรก รอให้สัญญาหมดแล้วตอนต่อค่อยเปลี่ยนชื่อ เธอจึงวางใจ ขายมาได้เรื่อยๆ โดยไม่มีปัญหาใดๆ มารบกวนจนกระทั่งเกิดกรณีขายของซ้ำกันขึ้นมา

“แล้วอาจารย์จะให้หนูทำอย่างไรคะ”

“ก็กลับไปขายแบบเดิม เอายำลูกชิ้นออก”

“หนูจะลองกลับไปคิดดูนะคะ”

ให้เอายำลูกชิ้นออก หมายความว่าเธอต้องเลิกขายลูกชิ้น หรือไม่ก็ขายลูกชิ้น แต่ยกเลิกน้ำจิ้มซีฟูด

หญิงสาวยกมือไหว้ผู้ช่วยผู้อำนวยการก่อนถอยออกจากห้อง

ไอร้อนพุ่งเข้าปะทะตัวเมื่อเปิดประตูห้องพักครูออกมา แดดยามบ่ายส่องแสงจ้าทิ่มแทงนัยน์ตา ส่งให้เอื้อมดาวปวดหัวตุบๆ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจะเป็นไข้

เธอควรจะลองไปคุยกับแม่ค้าขายยำอีกรอบดีไหม แต่จากการทะเลาะตบตีกันคราวก่อน ทำให้เอื้อมดาวคร้านที่จะปรับความเข้าใจ

ลูกชิ้นปั้นสดราดน้ำจิ้มซีฟูดกับยำลูกชิ้นก็เหมือนโค้กกับเป๊บซี่ ใครจะไปแยกออก

หญิงสาวครุ่นคิดถึงแผงขายของในตลาดน้ำ แต่โทร.ถามแล้วคิวยาวเหยียดเป็นหางว่าว เจ้าหน้าที่บอกให้รอ หากมีแม่ค้าหมดสัญญาหรือมีคนต้องการปล่อยแผงให้เช่าต่อจะติดต่อกลับมา แต่น่าจะเร็วกว่า ถ้าเธอคอยหมั่นโทร.กลับไปเช็กเรื่อยๆ

เอื้อมดาวไม่อยากเช่าช่วงแผง คราวนี้เธอจะต้องเป็นคู่สัญญาเอง จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลังเหมือนที่กำลังเจออยู่ตอนนี้

 

เอื้อมดาวขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าเปลวแดดเข้ามาจอดในเขตรั้ว เข้าบ้านได้ก็ปรี่ไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาเทใส่แก้วดื่มดับกระหาย

“กินข้าวกลางวันแล้วหรือยัง” นางสะอิ้งชะโงกหน้าออกจากครัว เห็นหน้าตาเนื้อตัวขะมุกขะมอมราวกับแมวของบุตรสาวแล้วถึงกับถอนหายใจออกมา

บุตรสาวส่ายหัวดิก ผู้เป็นแม่จึงหายกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ

ระหว่างรอกินข้าว หญิงสาวถือโอกาสขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอหยุดขายของที่โรงอาหารมาได้สักสองสามวันเพื่อทบทวนสถานการณ์ นอกจากนี้ยังขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนไปทั่ว มองหาทำเลขายใหม่อีกทาง แต่ทำเลดีๆ มีคนสัญจรผ่านไปมาพลุกพล่าน ก็มักจะมีแม่ค้าจับจองเสียเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ก็ราคาสูงเกินไป

อาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับลงมา ข้าวผัดโปะไข่ดาวกรอบๆ พร้อมน้ำปลาพริกทำใหม่วางรออยู่บนโต๊ะกินข้าว ด้านหนึ่งมีกล่องหมูฝอยและหมูแดดเดียวที่นางสะอิ้งเตรียมไว้ให้บุตรสาวไปเปิดท้ายขายของคืนนี้

“ขอบคุณแม่” เอื้อมดาวไม่พูดพร่ำทำเพลง ตักข้าวผัดร้อนๆ เข้าปาก เธอเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่รุ่งอรุณจะมารับ

“ไปตะลอนๆ ตากแดดหน้าดำมาทั้งวัน สรุปว่าหาที่ขายใหม่ได้ไหม”

“ยังไม่ถูกใจ แต่พี่รุ่งบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยหาด้วย”

“เฮ้อ! ขายที่โรงอาหารก็ดีอยู่แล้ว กำไรน้อยหน่อยแต่พออยู่ได้ จะดิ้นรนหาที่ใหม่ทำไม” นางสะอิ้งแย้งเสียงอ่อน ต่อให้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ห้ามบุตรสาวไม่ได้อยู่ดี

“ฉันอยากขายลูกชิ้นของตัวเอง แต่ที่โรงเรียนไม่ให้ ลงทุนลงแรงไปตั้งมาก จะให้ล้มเลิกง่ายๆ ได้ยังไง” เจ้าตัวเถียงมารดาทั้งที่ข้าวเต็มปาก

“ฉันบอกแล้วว่าอย่าลาออกก็ไม่ฟัง แล้วก็ต้องมานั่งหัวหมุน แทนที่สิ้นเดือนจะมีเงินเข้าบัญชี กลับต้องมานั่งนับเหรียญ นับแบงก์ยี่สิบเป็นเบี้ยหัวแตกทุกวัน กังวลว่าของจะขายหมดไหม ไหนจะต้องก้มๆ เงยๆ ปั้นลูกชิ้นจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด”

ลำคอเอื้อมดาวตีบตันเอาดื้อๆ เธอรวบช้อน จิบน้ำตามอึกใหญ่ “แม่ งานโรงงานใช่ว่าจะสบาย ยืนขาแข็งทั้งวัน แทบจะไม่ได้อ้าปากพูดกับใคร ขืนอยู่ต่ออีกปีคงได้กลายเป็นหุ่นยนต์กระป๋อง ออกมาขายของ กำไรบ้างขาดทุนบ้าง ก็ยังดีกว่าเพราะได้ใช้สมองพัฒนาอะไรใหม่ๆ ที่เป็นของตัวเอง ฉันอยากตื่นขึ้นมาแล้วมีแรงลุกออกจากเตียงไปทำงาน ไม่ใช่ซังกะตายผ่านไปวันๆ รอเงินเดือนออก แม่ช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหม”

“เอาเถอะๆ แกเรียนหนังสือมาสูง ฉันไล่ไม่จนหรอก แค่อยากจะเตือนไว้ว่าจะทำอะไรก็อย่าลืมประมาณตัว มันจะเหมือนอึ่งอ่างพองตัวแข่งกับวัว รังแต่จะระเบิดตัวเองตายเสียเปล่า” นางสะอิ้งลุกจากโต๊ะ หายกลับเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยอย่างในครัวอีกรอบ ปล่อยบุตรสาวคนโตไว้เพียงลำพัง

แม้เป็นแม่ลูกกัน แต่ไม่เคยลงรอยกันทางความคิดในสักเรื่อง แทนที่จะสนับสนุนบุตรสาว มารดากลับทำให้เธอรู้สึกว่าการตัดสินใจลาออกจากโรงงานมาเป็นแม่ค้าเป็นความผิดพลาดมหันต์ เหนื่อยหนักกว่าเดิมแต่รายได้กลับลุ่มๆ ดอนๆ ไม่มั่นคงเหมือนก่อน

ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน แต่เธอก็อยากมีใครสักคนเป็นที่พึ่งทางใจ คอยให้การสนับสนุนในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้

เอื้อมดาวตักพริกจากน้ำปลาราดลงบนข้าวผัด ความเผ็ดร้อนของพริกขี้หนูซอยที่กัดเข้าไปเต็มๆ คำทำให้น้ำตาที่ปริ่มอยู่ไหลออกมา

เธอร้องไห้เพราะกินของเผ็ด ไม่ใช่เพราะตัวเองกำลังรู้สึกอ่อนล้าและอ่อนแรงอย่างถึงที่สุด

 

สัปดาห์ใกล้สิ้นเดือน คนโรงงานเงินเริ่มตึงมือ ตลาดเปิดท้ายขายของหน้านิคมอุตสาหกรรมจึงดูบางตากว่าปกติ ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร

“สงสัยวันนี้จะเหลือแน่ๆ” รุ่งอรุณบ่นอุบ มองขนมนมเนยที่เพิ่งพร่องไปไม่ถึงครึ่ง แม้จะใกล้สองทุ่มแล้วก็ตาม

“เอาเถอะน่า พี่รุ่ง จะให้ขายดีทุกอาทิตย์เป็นไปไม่ได้หรอก แถมๆ ไปเดี๋ยวก็หมด กำไรน้อยหน่อย ไม่เป็นไร” เอื้อมดาวปลอบใจลูกพี่ลูกน้อง

“เอื้อมรู้ตัวไหมว่าเปลี่ยนไปนะ ฉันเข้าใจว่าเด็กเนิร์ดๆ น่าจะชอบอยู่โรงงาน ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร ไม่นึกว่าจะกล้าเสี่ยง ลาออกมาเป็นแม่ค้าเต็มตัว”

“ผีผลักน่ะ พี่” เอื้อมดาวหัวเราะ “วันก่อนยังถูกแม่บ่นอยู่เลยว่าไม่น่าออกจากโรงงาน ทำยังไงได้ล่ะ ตอนนั้นมันกำลังเซ็งเต็มพิกัด แถมเพิ่งเลิกกับพี่รุจน์ด้วย ไม่อยากอยู่เป็นขี้ปากคนในโรงงาน”

“ออกมาแล้วก็ช่างมันเถอะ ย้อนคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ คนเรามันต้องมองไปข้างหน้า” รุ่งอรุณให้กำลังใจกลับ

“ฉันอยากหาที่ขายใหม่ได้เร็วๆ อุตส่าห์ปรับสูตรลูกชิ้นจนเข้ามือแล้ว ไม่ได้ทำนานๆ เดี๋ยวลืม”

เอื้อมดาวขยับมือไปมา จินตนาการว่าตัวเองกำลังบีบลูกชิ้นใส่หม้อทีละลูก สัมผัสของเนื้อหมูที่หยุ่นมือและกลิ่นของเครื่องเทศที่ระเหยขึ้นมาพร้อมไอร้อน ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก

“เคยทำได้แล้วไม่ลืมหรอก เหมือนขี่จักรยานไง ต่อให้ไม่ได้ขี่เป็นสิบๆ ปี แต่พอได้กลับมานั่งบนอาน ปั่นรอบสองรอบก็คล่องเหมือนเดิม แม่พี่ก็คันไม้คันมือ อยากช่วยคิดสูตรน้ำจิ้มใหม่เพิ่ม”

“ดีๆ บอกป้า ฉันอยากได้น้ำจิ้มมะขามแบบโบราณ แบบที่ซื้อใช้อยู่ฉันว่าหวานแหลมไปหน่อย ไม่กลมกล่อม น้ำจิ้มสำเร็จทำไมถึงหวานนักก็ไม่รู้” เอื้อมดาวรีบสนับสนุน

ขณะกำลังถกเรื่องรสชาติน้ำจิ้มกันอย่างออกรส เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เอื้อมดาวมองหมายเลขที่เรียกเข้ามา ตาลุกวาว

“ออฟฟิศตลาดน้ำโทรมา เผื่อมีข่าวดี” เจ้าตัวรีบกดรับ

รุ่งอรุณกระเถิบเข้ามาใกล้ เงี่ยหูฟังพร้อมลุ้นด้วยใจระทึกไม่แพ้กัน

“ว่าไง มีแผงว่างไหม”

หลังวางสาย นัยน์ตาหญิงสาวเป็นประกาย กำมือชูขึ้นท้องฟ้า อยากจะตะโกนโห่ร้องออกมาแต่ต้องยั้งใจไว้ เกรงคนเดินผ่านไปมาจะตกใจ

“สรุปว่ามีใช่ไหม ค่าเซ้งเท่าไหร่” รุ่งอรุณเขย่าแขนลูกพี่ลูกน้อง

“ค่าเช่าเดือนละหมื่นห้า รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว มัดจำสองเดือน จ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือน” เอื้อมดาวสรุปรวดรัด

รุ่งอรุณชะงัก ดวงหน้าตื่นเต้นยินดีแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากัน “อืม…แต่ตลาดเปิดแค่เสาร์อาทิตย์ หนึ่งเดือนขายได้แค่แปดวัน ตกวันละสองพันเชียวนะ ถ้าเป็นที่อื่น เขาคิดวันละสามร้อยถึงห้าร้อยเอง”

“วันละห้าร้อยก็มีแต่ต้องต่อคิว เลือกทำเลขายไม่ได้ ไปจับสลากเอาตอนเช้าก่อนตลาดเปิด ฉันว่ายอมจ่ายแพงหน่อยแต่เลือกทำเลขายได้ดีกว่า ไม่ต้องคอยลุ้นทุกเดือนด้วย”

“ก็จริงนะ ถ้าเลือกทำเลขายไม่ได้ ไปอยู่ไกลๆ หรือได้มุมอับขึ้นมา อร่อยแค่ไหนก็ไม่น่าจะขายดี เฮ้อ! ตอนเปิดใหม่ๆ ยังให้ขายฟรีอยู่เลย พอบูมเข้าหน่อย ค่าเช่าขึ้นพรวดๆ”

“แต่ถ้าเราขายดีแบบวันที่มีตลาดนัดโคกระบือก็จ่ายได้สบายๆ อยู่”

สัปดาห์นั้น เอื้อมดาวขายลูกชิ้นรวมกันสองวันได้ถึงแปดสิบกิโลกรัม ยืนปั้นจนมือหงิก ขาแข็ง แต่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นกำไรเป็นกอบเป็นกำพอๆ กับขายที่โรงอาหารทั้งสัปดาห์

“ฉันอยากจะลองดู เอ่อ…พี่รุ่งสนใจมาเป็นหุ้นส่วนช่วยฉันขายไหม” เอื้อมดาวตะล่อม

หลังจากคำนวณคร่าวๆ เธอต้องเตรียมเนื้อหมูเพิ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ จำเป็นต้องยกระดับการผลิตจากในครัวเรือนขึ้นเป็นกึ่งอุตสาหกรรมย่อยๆ แน่นอนว่าต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่อย่างเครื่องบดเนื้อหมู เครื่องผสมและตู้เย็นแยกเก็บเนื้อหมูโดยเฉพาะ เผลอๆ ต้องจ้างคนงานเพิ่มในขั้นตอนเตรียมวัตถุดิบ เพราะแค่ลูกน้องของนางสะอิ้งไม่น่าจะไหว

เงินลงทุนและเงินหมุนเวียนช่วงเริ่มต้นกิจการ เมื่อรวมกับค่าเช่าและค่ามัดจำไม่น่าจะหนีจากหลักแสน

“เอาสิ ตั้งแต่เปิดท้ายขายของพอมีเงินเก็บอยู่ ช่วงนี้ว่างๆ ยังขี้เกียจหางานด้วย มาขายลูกชิ้นไปพลางๆระหว่างรอสอบกอพอน่าจะดี”

รุ่งอรุณถอดแบบนางสอางค์มาพิมพ์เดียวกัน คิดแล้วลงมือทำทันที ไม่มีคำว่าลังเลอยู่ในสารบบ

พี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ นางสอางค์กล้าคิดกล้าทำเพราะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ในขณะที่นางสะอิ้งไม่เคยต้องสู้ชีวิต จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างก็คิดแล้วคิดอีก ไม่กล้าเสี่ยงเพราะกลัวความล้มเหลว

แต่เอื้อมดาวจะไม่ยอมให้ความกลัวมาจำกัดและเหนี่ยวรั้งเธอไว้ ถ้ามัวแต่กลัวว่าจะพลาด ก็ไม่มีทางได้ริเริ่มอะไรใหม่ๆ ไม่มีทางพลิกชีวิตได้

 



Don`t copy text!