กระบือสื่อรัก บทที่ 12 : สาวโรงงานมาเป็นแม่ค้าลูกชิ้น (1)

กระบือสื่อรัก บทที่ 12 : สาวโรงงานมาเป็นแม่ค้าลูกชิ้น (1)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

แผงขายอาหารยามเช้าก่อนเข้าเรียนคึกคักพอสมควร นักเรียนส่วนหนึ่งที่ผู้ปกครองไม่สะดวกเตรียมอาหารเช้าต่างฝากท้องไว้กับโรงอาหารของโรงเรียน

ร้านขายข้าวแกงของนางสอางค์เปิดแต่เช้าเช่นกัน มีลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นคุณครูมากินข้าว ในขณะที่เด็กๆ เลือกที่จะซื้อของกินง่ายๆ จากร้านของเอื้อมดาวที่อยู่ติดกัน

เสียงกริ่งเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น เร่งเด็กที่ยังอ้อยอิ่งให้รีบออกไปสู่ลานกว้างหน้าเสาธง

“เป็นไงบ้างเอื้อม พอขายได้ไหม” ผู้เป็นป้าชะโงกหน้าออกมาถามไถ่

“แซนด์วิชที่แม่ทำขายดีเลยจ้ะป้า พรุ่งนี้จะลองเพิ่มเป็นสองไส้ เด็กๆ จะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น”

“แหม ถ้าแม่เอ็งยอมมาช่วยที่แผงสักหน่อย ทำสดๆ ให้เห็นก็จะยิ่งขายดี พวกครูเขาหิ้วขึ้นไปกินกับกาแฟได้” นางสอางค์ยังไม่วายบ่นน้องสาว

“เขายอมตื่นแต่เช้ามืดมาทำให้ก็ดีมากแล้ว ไปบังคับให้ทำมากกว่านี้ จะไม่ไหวเอา”

นางสะอิ้งพอรู้ว่าบุตรสาวตัดสินใจลาออกจากโรงงานที่สวัสดิการดีเป็นอันดับต้นๆ ของนิคมอุตสาหกรรมมาเป็นแม่ค้าโรงอาหารก็โอดครวญทันที

‘เงินเดือนรวมโอทีแล้วไม่ถึงสามหมื่นก็จริง แต่น่าเสียดายค่ารักษาพยาบาล เผื่อแม่เจ็บป่วยขึ้นมาจะได้ใช้ ทำไมไม่อดทนอีกสักสองสามปีให้ได้ปริญญา ถึงตอนนั้นค่อยขอโรงงานปรับวุฒิก็ได้ จะออกมาเสี่ยงขายของทำไมก็ไม่รู้ ป้าสอางค์ชวนหลานทำเรื่องไม่เข้าท่า’ บ่นบุตรสาวไม่พอ ยังพาลไปถึงพี่สาวที่เป็นคนติดต่อเซ้งแผงขายอาหารให้ด้วย

นางสะอิ้งไม่สนับสนุนให้บุตรสาวทำอะไรเสี่ยงๆ ในทุกรูปแบบ แม้การเปิดท้ายขายของที่เอื้อมดาวหุ้นกับรุ่งอรุณดูไปได้ดี แต่ย่อมมีวันที่ขายดีและขายไม่ได้

ตามประสาคนมีอายุ นางยึดติดกับความมั่นคง ถือคติว่าอะไรที่ดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ต่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าก็ตาม เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมา ชีวิตก็จะผกผันได้ในชั่วพริบตา

“แล้วยายอรรู้ไหมว่าพี่สาวมาขายของที่โรงเรียน มันหยิ่งจะตาย ไม่เคยมาขอข้าวร้านป้ากิน คงอายที่มีป้าเป็นแม่ค้าโรงอาหารต๊อกต๋อย” นางสอางค์พูดขำๆ มากกว่าคิดเป็นจริงเป็นจัง

“ไม่หรอกป้า อรคงเกรงใจ ปกติน้องไม่ค่อยกินข้าว กินแต่ฟาสต์ฟูดไปเรื่อย” เอื้อมดาวแก้ตัวแทนน้อง

“เออ มันหัวสูง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกงจานละสามสิบบาทกินไม่ได้ ต้องสั่งแฮมเบอร์เกอร์อันละเป็นร้อยมากิน”

เอื้อมดาวจนปัญญา เวลาเตือนเรื่องการใช้จ่ายก็จะถูกน้องสาวตอกกลับอย่างเจ็บๆ

‘อรไม่ได้ใช้เงินพี่เอื้อม อรหาของอรเอง พี่เอื้อมไม่มีสิทธิ์มาห้าม’

แม้จะยังเด็กแต่น้องสาวมีหัวการค้าไม่น้อย อรลดาใช้โอกาสที่เข้าไปเรียนกวดวิชาในเมืองหลวงทุกสัปดาห์รับจ้างหิ้วหรือซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงพรีออร์เดอร์สินค้าเกี่ยวกับศิลปินเกาหลี ทำให้เจ้าตัวมีรายได้ แทบไม่ต้องขอเงินค่าขนมจากเธอ

ความหัวรั้นเหมือนไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ยิ่งหาเงินได้เองก็ยิ่งไม่ฟังคำตักเตือน เคราะห์ดีที่เจ้าตัวยังยอมไปเรียนกวดวิชาและเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาอย่างไม่บิดพลิ้ว ถือว่ายังดีกว่าโอบบุญอยู่หน่อยที่การเรียนลุ่มๆ ดอนๆ เต็มที

เอื้อมดาวอดสะท้อนใจไม่ได้ พี่สาวที่ไม่มีเงิน สิทธิ์เสียงในการอบรมสั่งสอนก็เหมือนจะเบาลงไปด้วยโดยปริยาย

 

เสียงกริ่งดังเป็นสัญญาณบอกเวลาพักกลางวัน นักเรียนกรูลงจากตึกเรียน ไหลเข้าสู่โรงอาหารราวกับเขื่อนแตก ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไปทั่ว

หลังจากเป็นแม่ค้าโรงอาหารมาร่วมเดือน เอื้อมดาวเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะการทำงาน ก่อนพักเที่ยงประมาณครึ่งชั่วโมง เธอจะเตรียมทอดลูกชิ้นไว้ล่วงหน้าเพื่อให้พอดีกับเวลาที่นักเรียนชุดแรกลงมาถึง พอของทอดในถาดร่อยหรอก็เริ่มทอดชุดใหม่ เตาไฟฟ้าช่วยให้กะเวลาได้แม่นยำขึ้น เจ้าตัวจึงขายของได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน

แผงขายลูกชิ้นถูกมะรุมมะตุ้มอยู่พักใหญ่ ลูกค้าเด็กๆ เริ่มซาลง ครูผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินเลือกดูอาหารจากแผงของนางสอางค์มาหยุดที่หน้าตู้กระจกที่มีลูกชิ้นเสียบไม้วางเรียงรายให้เลือกสรร

“เอื้อมดาวใช่ไหม มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

หญิงสาวยกมือไหว้ครูที่เคยสอนเธอสมัยชั้น ม.ต้น แม้ผ่านมานานหลายปี แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ครูจะจำได้เพราะเธอเป็นลูกศิษย์ที่มีผลการเรียนดีเด่นติดอันดับหนึ่งในห้าของชั้นมาโดยตลอด

“หนูมาขายที่นี่ได้สักพักแล้วค่ะ คุณครูจะรับอะไรดีคะ” เจ้าตัวเลี่ยงที่จะตอบเพราะเรื่องมันยาว อดีตนักเรียนดีเด่นอนาคตไกล กลายเป็นแม่ค้าโรงอาหารได้อย่างไร

ผู้สูงวัยเปิดฝาตู้กระจก เลือกหยิบไส้กรอกและลูกชิ้นออกมาใส่จาน ยื่นส่งให้ลูกศิษย์

เตาไฟฟ้ายังร้อนได้ที่อยู่เพราะเพิ่งทอดลูกชิ้นชุดก่อนเสร็จไม่นาน เอื้อมดาวเทลูกชิ้นหลายไม้ลงในเตาเสียงน้ำมันร้อนดังฉ่าฟังดูน่าน้ำลายไหล

“งานฉลองครบรอบวันเกิดโรงเรียนเมื่อเดือนก่อน เพื่อนรุ่นเดียวกับเธอมากันหลายคน เขาบอกว่าเธอเรียนอยู่คณะบัญชี…ไม่ใช่เหรอ” คุณครูเอ่ยถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านท่าพระจันทร์ที่หญิงสาวเคยศึกษาอยู่

เอื้อมดาวเลิกติดตามกลุ่มไลน์เพื่อนชั้น ม.ต้นไปนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงงานเลี้ยงรุ่น เธอขี้เกียจมานั่งตอบคำถามว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน รวมถึงสายตาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเห็นใจหรือเยาะหยันให้เปลืองอารมณ์

“หนูย้ายหน่วยกิตกลับมาเรียนที่สถาบันในตัวจังหวัดแล้วค่ะ วันธรรมดาก็เป็นแม่ค้าขายของ ช่วยมาอุดหนุนบ่อยๆ นะคะ หนูแยกน้ำจิ้มไปให้ เผื่อคุณครูไม่ทานเผ็ด” หญิงสาวยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ส่งถุงใส่ลูกชิ้นพร้อมน้ำจิ้มให้อย่างนอบน้อม

สนทนาวิสาสะพอเป็นพิธีอีกเล็กน้อย ผู้สูงวัยก็เดินจากไป

เอื้อมดาวถอนหายใจออกมาเบาๆ คิดว่าตัวเองชินกับคำถามทำนองนี้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังเจ็บจี๊ดที่หัวใจเหมือนถูกสะกิดด้วยเข็มหมุดอยู่ดี

หญิงสาวทอดสายตามองนักเรียนที่เดินผ่านไปมาสลับกับลูกขึ้นทอดลูกชิ้นเป็นระยะๆ มองเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนผ่านไป เหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะหมดเวลาพักกลางวัน

นางสอางค์เดินถือถาดใส่จานข้าวโปะหน้าด้วยไข่ดาวทอดร้อนๆ และแกงเขียวหวานอุ่นใหม่ๆ วางลงบนตู้กระจก “ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว กินข้าวเถอะ”

“ขอบใจจ้ะ ป้า” เอื้อมดาวยกมือไหว้ ซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่มาขายของที่นี่ก็ฝากท้องกับร้านของป้าแทบทุกวัน

ระหว่างนั้นนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเดินเกาะกลุ่มกันเข้ามา หนึ่งในนั้นคืออรลดา เอื้อมดาวเห็นปุ๊บก็โบกไม้โบกมือเรียก แต่น้องสาวกลับทำเป็นมองไม่เห็น

นางสอางค์ยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าร้าน หัวเราะเบาๆ “คอยดูน้องเอ็งนะ มันไม่กินทั้งข้าวแกงแล้วก็ลูกชิ้นของพี่มันด้วย”

นักเรียนหญิงยกขบวนผ่านแผงขายข้าวแกงและลูกชิ้นไปอย่างไม่แยแส ดิ่งไปยังแผงที่ตกแต่งด้วยม่านไม้ไผ่ ดูหรูหรากว่าแผงอื่นๆ ขายของกินเล่นและราเมนสไตล์ญี่ปุ่น เป็นอาหารราคาแพงสุดในบรรดาร้านค้าทั้งหมด

“น้องสาวเราก็อยู่ในแก๊งลูกคุณหนูไฮโซกับเขาด้วย จะให้ใครรู้ไม่ได้หรอกว่ามีป้าเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง มีพี่สาวเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้น” นางสอางค์หัวเราะ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าร้าน

เอื้อมดาวถึงกับอึ้งไป ยอมรับว่าน้องสาวค่อนข้างเป็นเด็กหัวสูงเพราะถูกเลี้ยงดูแบบตามใจมาโดยตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าจะถึงขั้นปิดบังพื้นเพและอายที่จะบอกใครๆ ว่ามีญาติขายของอยู่ในโรงเรียน

เธอมองตามน้องสาวที่ถือถาดอาหารแบบญี่ปุ่นเดินไปนั่งกับเพื่อนๆ

เมื่อตั้งใจมองดีๆ ก็จะเห็นว่าเด็กหญิงในกลุ่มทุกคนแต่งตัวคล้ายคลึงกัน ผมยาวสลวยจัดทรงด้านหน้าน้อยๆ รวบผูกเป็นโบไว้อย่างประณีต ส่วนชุดนักเรียนก็แลดูเข้ารูปเข้าทรงเหมือนสั่งตัดเย็บให้พอดีตัว ไม่นับรวมกระเป๋านักเรียนยี่ห้อแพงระยับอย่างที่เด็กในกรุงเทพฯ ถือกัน

เพื่อนอีกคนเดินมาสมทบพร้อมแก้วกาแฟมียี่ห้อ เจ้าตัวน่าจะสั่งจากแอปพลิเคชันส่งอาหาร เพราะร้านขายน้ำในโรงอาหารมีแต่กาแฟเย็นชงสำเร็จ รสชาติสู้กาแฟสดจากร้านดังในห้างไม่ได้

เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วทั้งโรงอาหารเป็นสัญญาณเริ่มต้นคาบเรียนในตอนบ่าย นักเรียนหญิงกลุ่มนั้นลุกขึ้นเดินถือแก้วกาแฟสัญชาติอเมริกันเรียงแถวออกจากโรงอาหาร โดยมีนักเรียนที่ยังนั่งอยู่มองเป็นตาเดียวกัน

อรลดาหันกลับมามองแผงขายลูกชิ้นแวบหนึ่ง ก่อนที่จะสะบัดหน้าไปอีกทาง เดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนออกจากโรงอาหารไปโดยไม่คิดจะทักทายพี่สาว



Don`t copy text!