กระบือสื่อรัก บทที่ 6 : ฉันมาไถ่ทอง ไม่ได้มาซื้อ (1)

กระบือสื่อรัก บทที่ 6 : ฉันมาไถ่ทอง ไม่ได้มาซื้อ (1)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองปรากฏขึ้นสู่สายตา ขบวนรถไฟฟ้าชะลอความเร็วเข้าจอดเทียบชานชาลา เด็กสาววัยรุ่นไหลออกจากตู้โดยสารมาพร้อมผู้คนราวกับมดที่แตกรัง เดินลงจากสถานีมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่ได้นัดหมายไว้กับกลุ่มแฟนคลับคอเดียวกัน

อรลดาเดินทางเข้าเมืองหลวงสองวันติด เมื่อวานเธอนั่งรถตู้โดยสารเข้ามาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นต่อรถไฟฟ้าไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อจับจองพื้นที่ รอต้อนรับศิลปินเกาหลีในดวงใจที่เดินทางมาถึง

ขนาดไปถึงแต่เช้า แต่ประตูที่คาดว่าศิลปินจะใช้เป็นทางออกก็ถูกจับจองจนเต็ม เธอและเพื่อนๆ ทำได้เพียงขึ้นไปยืนรอยังชั้นลอยพร้อมป้ายและของขวัญที่สมาชิกในกลุ่มร่วมกัน ‘โดเนท’ ต้อนรับการมาเยือนประเทศไทย

วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากเรียนกวดวิชาเสร็จ เธอก็รีบนั่งรถไฟฟ้ามาสมทบกับสมาชิกในกลุ่มที่ล่วงหน้ามาก่อน

เด็กสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดอ่านข้อความที่โต้ตอบกันในกลุ่ม จุดนัดหมายเดิมถูกยกเลิกไปเพราะเข้าไม่ได้ ต้องเคลื่อนพลไปยังตำแหน่งอื่น

“อิจหนักมาก พวกที่อยู่ข้างหน้าต้องซื้อสินค้าของสปอนเซอร์ตั้งสองหมื่นถึงจะได้บัตร”

ศิลปินเกาหลีในดวงใจมาเยือนเมืองไทยทั้งที อรลดาย่อมไม่พลาดโอกาสมาแสดงพลังสนับสนุนร่วมกับกลุ่มแฟนคลับ แต่จุดที่ใกล้สุดเท่าที่จะเข้าถึงได้คือสะพานลอยเหนือลานกิจกรรม เนื่องจากเก้าอี้นั่งในลานด้านหน้าห้างทั้งหมดถูกสงวนไว้สำหรับผู้มีบัตรผ่านเข้างานเท่านั้น

เงินสองหมื่นบาท ถ้าหากพ่อยังอยู่ อรลดาก็คงอ้อนขอได้ไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้แค่เอ่ยปากขอเงินติดตัวเข้ากรุงเทพฯ แค่สองพัน เธอยังถูกพี่สาวบ่นเสียจนหูชา

‘เอาเถอะน่า เอื้อมเป็นคนอนุญาตให้น้องเข้าไปกวดวิชาในกรุงเทพเองนี่นา ก็รู้กันอยู่ ไหนจะค่ารถตู้ ค่ารถไฟฟ้า แล้วอาหารในห้างราคาไม่ใช่ถูกๆ ถ้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วเกิดสตางค์ไม่พอจ่ายขึ้นมาจะทำยังไง’

นางสะอิ้งให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘หน้าตา’ เสมอ ลับหลังชาวบ้าน นางยอมกินแกลบได้ แต่ต่อหน้าจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเป็นเด็ดขาด

หลังจากยืนตากแดดบนสะพานลอยจนหน้าแทบไหม้ ในที่สุดศิลปินในดวงใจก็ปรากฏตัวขึ้น

รูปร่างสูงโปร่ง หน้าใส ผิวสว่างสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายระยิบระยับ เมื่อผนวกกับรอยยิ้มหวานๆ และท่าทางขี้เล่นเป็นกันเอง ทำเอาหัวใจอรลดาเต้นไม่เป็นจังหวะ เด็กสาวประสานเสียงกรี๊ดร้องกับเพื่อนคอเดียวกัน หันหลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองกับเวทีในระยะไกลลิบ

กิจกรรมบนเวทีสิ้นสุดลงในครึ่งชั่วโมง ศิลปินร้องเพลงที่เพิ่งปล่อยออกมาใหม่ให้ฟังพร้อมโปรโมตคอนเสิร์ตที่เจ้าตัวจะกลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งในเดือนหน้า

อรลดาอยากให้เวลายาวนานออกไปอีกสักหน่อย จะได้จ้องมองหน้าหวานๆ นั้นให้เต็มอิ่มจนตราตรึงเข้าไปถึงหัวใจ

“ไม่เป็นไร วันนี้ยืนดูบนสะพานลอย แต่รอบหน้าโอปป้าจะมาจัดงานคอนเสิร์ต เราจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด”

“วงในบอกมา บัตรวีไอพีใบละสองหมื่นห้า ได้ถ่ายรูปคู่พร้อมลายเซ็นด้วยนะ” เพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกันกระซิบที่ข้างหู ทำเอาหัวใจเด็กสาวลิงโลด

ศิลปินโบกไม้โบกมือเป็นครั้งสุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวคำอำลาเป็นภาษาเกาหลี ล่ามแปลออกมาได้ใจความว่า “ขอบคุณแฟนๆ ที่ยืนตากแดดรอผมบนสะพานลอย พวกคุณสุดยอดมาก หวังว่าเราจะได้เจอกันแบบใกล้ชิดกว่านี้ในคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของผม”

อรลดารู้สึกว่าเขากำลังสื่อสารกับเธอโดยตรง หัวเด็ดตีนขาดเธอจะต้องได้ครอบครองบัตรคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะแพงแค่ไหนก็ตาม

 

เอื้อมดาวก้าวขาออกจากประตูโรงงาน เหนื่อยเสียจนรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบออกจากร่าง สองทุ่มกว่าแล้วแต่รถเวียนในนิคมอุตสาหกรรมยังคงวิ่งอยู่ ช่วงนี้เธออยู่ทำโอทีทุกวันเพื่อหาเงินจ่ายค่ากวดวิชาให้อรลดา

โชคดีที่คืนนี้ไม่ต้องรอนาน พอออกมาถึงด้านหน้านิคม รถประจำทางก็วิ่งผ่านมาพอดี ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หญิงสาวก็มาถึงตลาดหลังสถานีขนส่ง ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านได้

เธอไม่ได้แวะซื้อของกินระหว่างทาง คาดว่าน่าจะมีกับข้าวมื้อเย็นเหลือ จึงหอบท้องกลับมากินข้าวบ้าน พอจอดรถเสร็จ ก็ได้ยินเสียงมารดากับน้องสาวทุ่มเถียงกันลอยออกมาจากด้านในบ้าน

“โธ่! แม่ เพื่อนๆ เขาตกลงกันว่าจะนั่งโซนนี้ แล้วจะให้ฉันซื้อบัตรถูกๆ ไปนั่งหัวโด่อยู่ด้านหลังคนเดียวได้ยังไง” อรลดากระฟัดกระเฟียด

“บัตรอะไร อรจะไปไหน” เอื้อมดาวโผล่หน้าเข้าบ้าน ลืมเรื่องที่ตัวเองกำลังหิวโซไปสนิท

แม่และน้องสาวหันมามองเป็นตาเดียวกัน

นางสะอิ้งขึงตาใส่บุตรสาวคนเล็ก เป็นเชิงให้หุบปาก หากเรื่องนี้ถึงหูเอื้อมดาวซึ่งเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน แม้แต่บัตรที่นั่งด้านหลังสุด อรลดาก็อาจไม่มีโอกาสได้ครอบครอง

“ไม่มีอะไร ฉันจะขึ้นไปนอนแล้ว” อรลดาตัดบทดื้อๆ

เอื้อมดาวจ้องหน้าแม่และน้องสาวสลับกันด้วยสายตาคาดคั้น “ไม่มีอะไรได้ยังไง พี่ได้ยินว่ากำลังคุยเรื่องบัตรคอนเสิร์ตอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ”

เธอพอจะรู้ว่าน้องสาวเป็นแฟนคลับตัวยงศิลปินเกาหลี เพื่อนในโรงงานก็เพิ่งคุยกันถึงราคาบัตรคอนเสิร์ตที่แพงพอๆ กับเงินเดือนทั้งเดือน

“…เขามาจัดงานคอนเสิร์ต” อรลดาเอ่ยชื่อศิลปินในดวงใจที่คอเกาหลีได้ยินแล้วต้องร้องอ๋อ

“ก็ไปดูสิ ค่าบัตรเท่าไหร่” เอื้อมดาวไม่ขัด ถ้าน้องอยากจะไปดูคอนเสิร์ตซึ่งนานๆ จะจัดขึ้นสักครั้ง แม้รายได้แทบเดือนชนเดือน แต่ก็ยังอยากให้น้องสาวได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตาเหมือนกับคนในวัยเดียวกัน

“สองหมื่นห้า”

เอื้อมดาวตาเหลือกเมื่อได้ยินตัวเลขจากปากน้องสาว “พี่ฟังไม่ผิดใช่ไหม สองพันห้าหรือสองหมื่นห้า ทำไมถึงแพงขนาดนั้น”

“บัตรวีไอพีไง จะได้ถ่ายรูปคู่กับศิลปินด้วย”

“แต่สองหมื่นห้า จ่ายค่าเรียนพิเศษได้ทั้งเทอมเลยนะ อรไม่เสียดายเหรอ”

“ฉันไม่ไปติวก็ได้ ยังไงก็สอบไม่ติดอยู่แล้ว รับแค่เจ็ดร้อยแต่คนสอบเจ็ดหมื่น ฉันไม่เก่งอย่างพี่ สู้เอาเงินค่ากวดวิชามาซื้อบัตรดีกว่า” อรลดาพูดหน้าตาเฉย

“อย่าเพิ่งรีบดูถูกตัวเองสิ เกรดเฉลี่ยอรก็ใช้ได้ ทำไมไม่ลองสักตั้งล่ะ โรงเรียนกวดวิชาที่พี่หาให้ เด็กที่ติวกับเขาสอบติดโรงเรียนดังๆ ทั้งนั้น”

“ไม่รู้ ฉันอยากไปดูคอนเสิร์ต แล้วก็ไม่ยอมนั่งแถวท้ายๆ ด้วย” อรลดากระฟัดกระเฟียดลุกจากโต๊ะ เดินลงส้นเท้าขึ้นบันไดชั้นสองไป

เอื้อมดาวถอนหายใจเบาๆ เหนื่อยล้าทั้งกายและใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอเลิกงานดึกดื่น ยอมขาดเรียนในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อทำโอทีหาเงินจ่ายค่าเรียนกวดวิชา แต่น้องสาวตัวดีกลับจะเอาเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของเธอไปละลายกับบัตรคอนเสิร์ต

“ค่อยๆ คุยกับน้องไม่ได้หรือไง เอะอะจะออกคำสั่งอยู่เรื่อย ตอนโอบก็ทีหนึ่งแล้ว น้องขอไปทำงานพิเศษก็ไม่ยอมให้ไป จนมันเคืองไม่ยอมคุยกับแกแล้ว” นางสะอิ้งส่ายหัว อิดหนาระอาใจกับความเข้มงวดของบุตรสาวคนโต นางเองก็น้ำท่วมปาก ไม่อยากขัดใจเนื่องจากต้องแบมือขอเงินลูกใช้อยู่ทุกเดือน

“ฉันก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ไปเสียที่ไหน แค่ซื้อบัตรที่ถูกกว่าไม่ได้หรือไง เงินสองหมื่นห้าไม่ใช่น้อยๆ ใช้ทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ”

“เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็แบบนี้ เดี๋ยวแม่ไปขอยืมป้าสอางค์สักสองหมื่นแล้วทยอยใช้คืนเอาทีหลัง เอื้อมออกให้น้องสักห้าพันก็แล้วกัน เพื่อนๆ เขานั่งรวมกันโซนนี้ ถ้าน้องไปนั่งโซนด้านหลังคนเดียว อายเขา”

“แล้วที่ต้องไปยืมเงินป้าสอางค์ แม่ไม่อายบ้างหรือไง” เอื้อมดาวขึ้นเสียงใส่มารดา “ไม่รู้แหละ บัตรโซนถูกสุดเท่าไหร่ ฉันให้เท่านั้น ห้ามแม่ไปขอยืมเงินป้าเด็ดขาด ฉันอาย” เอื้อมดาวย้อนคำมารดาเข้าให้บ้าง

มารดามักใจอ่อนกับน้องๆ เสมอ เดี๋ยวเธอจะต้องโทร.ไปกำชับรุ่งอรุณขอให้ช่วยห้ามอีกแรง อย่าให้แม่ของเธอยืมเงิน เพราะคนที่ต้องตามใช้หนี้ก็หนีไม่พ้นเธออยู่ดี

 



Don`t copy text!