กระบือสื่อรัก บทที่ 15 : ผมขายบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้ขายยา (2)

กระบือสื่อรัก บทที่ 15 : ผมขายบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้ขายยา (2)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

วันเวลาผ่านไปอย่างแทบไม่ได้หายใจหายคอ เอื้อมดาวเดินเรื่องติดต่อประสานทั้งทนายความและเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีไปพร้อมๆ กับเตรียมตัวเปิดร้านขายลูกชิ้นปั้นสดที่ตลาดน้ำ เจ้าตัวหัวหมุนและวิตกกังวลจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ยังไม่วายถูกมารดาค่อนขอดให้เสียน้ำใจ

“มัวแต่ห่วงขายของอยู่ได้ ทำไมไม่รีบหาทางประกันตัวน้องออกจากคุกเสียที”

“ต่อให้ฉันหยุดขายของไปนั่งเฝ้าที่โรงพักทุกวัน โอบก็ยังออกมาไม่ได้ ฉันก็ร้อนใจไม่แพ้แม่หรอก ทนายเขากำลังรีบเดินเรื่องอยู่”

“ป่านนี้ไม่ผอมจนหนังติดกระดูกแล้วเหรอ ปกติก็เป็นคนกินยากอยู่แล้ว”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกแม่ ฉันส่งข้าวส่งน้ำทุกวันไม่ได้ขาด แล้วลุงติ๊กรู้จักตำรวจบนโรงพัก เขาก็คอยสอดส่องดูแลให้อยู่ แต่ต้องเข้าใจว่านั่นมันห้องขัง จะให้สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านคงไม่ได้”

เอื้อมดาวสะท้อนใจ มารดาเป็นห่วงโอบบุญกลัวว่าจะผ่ายผอมตรอมใจเพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ไม่เคยถามไถ่สักคำว่าเธอกินได้นอนหลับหรือไม่

การวางท่าแข็งแกร่งใช่จะดีเสมอไป เพราะบางทีก็ถูกมองข้ามเอาได้ง่ายๆ แต่เอื้อมดาวไม่ใช่คนที่จะยอมแสดงความอ่อนแอออกมาเพื่อหวังให้คนอื่นมาเห็นอกเห็นใจ ต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็ตาม

โอบบุญถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจร่วมสิบวันและถูกนำตัวไปฝากขังในเรือนจำ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เอื้อมดาวยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่บ้าง เมื่อบรรจบช่วยหาหลักฐานมายืนยันว่าน้องชายของเธอขายแค่บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

ทนายความยื่นเรื่องขอประกันตัวผู้ต้องหาตามขั้นตอนและศาลมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว วันนี้เอื้อมดาวจึงเดินทางมารับตัวน้องชายกลับบ้านได้ในที่สุด

ในช่วงเที่ยงวัน ขณะที่รถกระบะของดินแดนกำลังติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกใหญ่บนทางหลวงเชื่อมระหว่างจังหวัด เจ้าตัวซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีก็โพล่งทำลายความเงียบขึ้นมา

“แวะกินอะไรก่อนไหม โอบน้ำหนักหายไปหลายกิโลก็ไม่แปลก แต่เจ๊น่ะสิ ทำไมผอมเป็นไม้เสียบผีขนาดนี้”

“โอบอยากกินอะไรไหม เราแวะห้าง…ก่อนได้นะ” เอื้อมดาวพยายามเอาอกเอาใจน้องชาย

“พี่เอื้อมอยากจะแวะที่ไหนก็แวะเถอะ โอบกินอะไรก็ได้” น้ำเสียงยังคงซังกะตายเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ทั้งที่ควรจะดีใจที่เพิ่งได้รับอิสรภาพมาหมาดๆ

เอื้อมดาวหน้าแห้ง หันมองหน้าคนขับอย่างขอความช่วยเหลือ

“ถ้าอย่างนั้น แวะกินสุกี้ที่ห้างแล้วกัน กูอยากกินเป็ดย่าง” ดินแดนตัดสินใจให้

ตัวเลขสีแดงบนแผงสัญญาณไฟจราจรนับถอยลงเรื่อยๆ คนขับเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนรถแต่ต้องแตะเบรกเอาไว้ เมื่อจู่ๆ คนนั่งด้านหลังก็ผลุนผลันเปิดประตูลงไป

“โอบ! จะทำอะไร” เอื้อมดาวร้องเสียงหลง กลัวน้องชายจะคิดสั้นกระโดดลงไปให้รถชน

โอบบุญกระโจนข้ามไปอีกฝั่งถนน ถลาเข้าหารถบรรทุกหกล้อซึ่งกำลังเตรียมออกตัวเช่นกัน

“จอด! จอดเดี๋ยวนี้!” คนกำลังเลือดเข้าตาถลันออกไปยืนขวางกลางถนน ทำเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่หลายคันตกอกตกใจเช่นกัน

เอื้อมดาวผวาลงจากรถตามน้องชายไปติดๆ ในขณะที่ดินแดนเคลื่อนรถผ่านสี่แยก ก่อนหักรถชิดริมขอบทาง เปิดสัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉิน หลบหลีกรถที่ทยอยออกตัวข้ามถนนตามไป

คนขับรถบรรทุกหกล้อบีบแตรถี่ๆ ไล่ แต่ดูจะเปล่าประโยชน์ ในที่สุดจำต้องเปิดประตูปีนลงมาเคลียร์กับคนที่ยืนจังก้าขวางทางอยู่

ดินแดนจำได้ทันทีว่าเป็นคนงานของโชคเจริญสุขฟาร์ม

“ไอ้โอบ มึงจะขวางทำไม กูยิ่งรีบๆ อยู่” คนขับซึ่งรู้จักโอบบุญเป็นอย่างดีเช่นกัน ตะโกนด่า

“ผมไม่ให้พี่ไป พี่จะเอาหอมเงินกับหอมทองไปไหน ไหนว่ากำหนดส่งสิ้นเดือนยังไงล่ะ”

โอบบุญกำลังถึงจุดเดือดไม่ต่างจากแสงแดดยามเที่ยงวันที่แผดเผาลงบนศีรษะ เขาตะคอกเสียงดัง กางไม้กางมือกลางอากาศราวกับคนเสียสติ เอื้อมดาวที่ตามมาต้องเข้าไปตะครุบตัวน้องชายไว้ ไม่ให้ปรี่เข้าไปประจันหน้ากับคนขับที่ดูท่าทางเอาเรื่องเช่นกัน

“ฉิบหาย กูจะไปตรัสรู้ได้ยังไง พี่ขวัญชัยสั่งให้ขับไปส่งวันนี้ มึงไปคุยกับเขาเอง อย่ามาทำให้กูเดือดร้อนไปด้วย” คนขับส่ายหัว

ยานพาหนะที่จอดต่อกันเป็นทิวแถวไม่สามารถเคลื่อนได้เพราะติดรถบรรทุกหกล้อ พร้อมใจกันบีบแตรเสียงดังสนั่น ยิ่งทำให้สถานการณ์ตรงหน้าดูเลวร้ายลงไปอีก

“บนรถนั่น หอมเงินกับหอมทองเหรอ”

เอื้อมดาวยึดแขนน้องชายไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เลยถูกลากถูลู่ถูกังไปที่ท้ายรถด้วยกัน หันไปตะโกนถามดินแดน

โอบบุญสะบัดออกอย่างแรงจนพี่สาวทรุดแหมะลงไปบนพื้นถนนร้อนระอุ เด็กหนุ่มกระโจนขึ้นไปสวมกอดควายสองตัวที่ยืนอยู่บนท้ายรถ

ดินแดนซึ่งมาถึงหลังสุดพยายามแก้ไขสถานการณ์ เขาออกไปยืนกลางถนน ยกมือขอโทษขอโพยพลางโบกให้รถคันที่ต่อท้ายขบวนหักออกทางเลนขวา

เมื่อการจราจรกลับมาไหลลื่นใกล้เคียงปกติ จึงเดินกลับไปหาคนขับที่ยืนคุยโทรศัพท์หน้าเครียด ยื่นมือออกไปขอคุยกับปลายสาย

“พี่ขวัญ ผมดินนะ บังเอิญเจอรถหกล้อของฟาร์มกำลังเอาหอมเงินหอมทองไปส่ง โอบมันไม่ยอม ตีโพยตีพายขวางถนนอยู่” เจ้าตัวรีบเรียบเรียงสถานการณ์ตรงหน้าโดยไว

ผ่านไปชั่วอึดใจ ดินแดนวางสาย เดินไปหาสองพี่น้องที่ท้ายรถหกล้อ

“คุยกับพี่ขวัญชัยแล้ว เขาจะลองเกลี้ยกล่อมคนซื้อให้เปลี่ยนใจดู เดี๋ยวจะติดต่อกลับมา”

เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุป คนขับจึงเคลื่อนรถไปจอดริมทางรอคำตอบเช่นกัน

เอื้อมดาวถอยไปทรุดตัวลงนั่งยองๆ ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ มองฝ่าเปลวแดดไปยังน้องชายซึ่งปักหลักอยู่ท้ายรถบรรทุก มีเพื่อนสนิทกำลังพยายามกล่อมให้เย็นลงแต่ดูไม่ค่อยเป็นผลนัก

สักพักใหญ่ๆ ดินแดนรับโทรศัพท์อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหน้าดำคร่ำเคร่งมาหาเธอ

“คนซื้อยอมขายต่อ แต่ขอเพิ่มสองหมื่น ถ้าอยากได้ก็จ่ายสามแสนให้ฟาร์ม อีกสองหมื่นโอนให้คนที่ซื้อไป เจ๊ว่าไง”

ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา เอื้อมดาวเหมือนนั่งอยู่บนเรือที่แล่นเข้าสู่ใจกลางพายุ หลังจากประกันตัวน้องชายออกมาได้ก็คิดว่าคลื่นลมจะบรรเทาลง แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเช็กยอดเงินในบัญชีธนาคาร คิดอย่างเซ็งๆ ว่าถ้าเติมศูนย์เพิ่มขึ้นอีกตัวทางด้านหลัง ชีวิตคงมีทางเลือกมากกว่านี้

หลังจากจ่ายค่าทนายความและค่าประกันตัวโอบบุญแล้ว เธอยังพอเหลือเงินติดบัญชีเอาไว้จ่ายค่ามัดจำแผงที่ตลาดน้ำ แต่ถ้าจะช่วยน้องไถ่ควายคืนมา ต่อให้เอาเงินที่กันไว้จ่ายค่ามัดจำแผงมาใช้ก่อนก็ยังไม่พออยู่ดี

เห็นน้องชายที่นั่งคอตกอยู่บนท้ายรถบรรทุกแล้ว เอื้อมดาวรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น้องชายตกอยู่ในสภาพนี้ โอบบุญต้องดิ้นรนหาเงินด้วยวิธีผิดกฎหมาย บานปลายถึงขั้นติดคุกติดตะรางเพราะเธอพรากควายสองแม่ลูกไปจากเขา

ภาพวันที่โอบบุญยืนคอตกน้ำตาคลอ มองรถบรรทุกควายสองตัวแล่นห่างออกไป หวนคืนมาราวกับหนังฉายซ้ำ

วันนั้นไม่เพียงแต่เสียควายไป แต่เธอเสียน้องชายไปด้วยอีกคน

ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้โอบบุญคนเดิมคืนมา เอื้อมดาวจะไม่ยอมพลาดอีกเป็นเด็ดขาด แม้จะต้องปล่อยให้แผงขายลูกชิ้นที่ตลาดน้ำหลุดลอยจากมือไป เธอจะต้องหาทางซื้อควายกลับคืนมาให้ได้



Don`t copy text!