กระบือสื่อรัก บทที่ 6 : ฉันมาไถ่ทอง ไม่ได้มาซื้อ (2)

กระบือสื่อรัก บทที่ 6 : ฉันมาไถ่ทอง ไม่ได้มาซื้อ (2)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

ดินแดนเดินออกจากสาขาของธนาคารในห้างสรรพสินค้าพร้อมเงินสดหนึ่งปึกในกระเป๋าคาดเอว เจ้าตัวโฉบเข้าไปในร้านขายรองเท้า ตั้งใจมองหารองเท้าแตะหนังดีๆ สักคู่ให้บิดาเป็นของขวัญ หลังจากมีโอกาสได้จับเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต

ลูกควายที่ประคบประหงมเลี้ยงดูมาร่วมปี ถูกเกษตรกรมือใหม่ที่รู้จักกันผ่านโซเชียลมีเดียซื้อไปในราคาแปดหมื่นบาท นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นอกจากนี้ยังมีคนติดต่อซื้อควายตัวเมียซึ่งยังโตไม่เต็มที่ เอาไปเลี้ยงต่อ เขายังลังเลใจอยู่เพราะอยากเก็บไว้เป็นแม่พันธุ์ของคอกตัวเอง

ทางเดินกลับไปลานจอดรถต้องผ่านแผงขายโทรศัพท์ ชายหนุ่มในเสื้อฮาวายถือถุงกระดาษใส่กล่องรองเท้าหนังเตร่เข้าไปดูสมาร์ตโฟนมือสอง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพี่สาวของโอบบุญในชุดยูนิฟอร์มโรงงานยืนอยู่หน้าตู้กระจกถัดไปไม่ไกล ดูเหมือนกำลังเจรจาต่อรองกับคนขาย

เขายืนสังเกตการณ์เงียบๆ จนกระทั่งการซื้อขายสิ้นสุดลง เอื้อมดาวสาวเท้าออกไปแล้ว เขาจึงเตร่เข้าไปเลียบเคียงถาม

“ผู้หญิงคนนั้น เขามาซื้อเครื่องใหม่เหรอพี่”

“เปล่า เขาเอาไอโฟนมาแลก เปลี่ยนเอาเครื่องที่ตกรุ่นแล้วไปแทน ท่าทางเสียดายน่าดูแต่คงมีเรื่องต้องใช้เงิน” เจ้าของร้านยื่นสมาร์ตโฟนที่เพิ่งรับซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ให้ เผื่อลูกค้าใหม่จะสนใจ “เป็นรุ่นก่อนหน้าแต่สภาพกริบ เจ้าของเก็บกล่องไว้อย่างดี ถ้าน้องจะเอา พี่ขายต่อให้แต่ขอบวกจากที่ซื้อมาสักหน่อย” เจ้าของร้านบอกราคา

ร้านขายโทรศัพท์เรียงรายนับสิบร้าน คนขายจึงไม่กล้าบอกราคาแรงเพราะลูกค้ามีทางเลือกมากกว่า

ดินแดนรับโทรศัพท์มาดู หน้าจอถูกล้างให้กลับสู่โหมดโรงงาน แสดงว่าเธอวางแผนที่จะขายมาล่วงหน้าเพราะล้างเครื่องมาเรียบร้อยแล้ว

“ผมเอาเครื่องนี้แหละ” ดินแดนรูดซิปกระเป๋าคาดเอว ควักเงินสดออกมานับแล้วยื่นส่งให้

เจ้าของร้านรีบกุลีกุจอบรรจุโทรศัพท์ใส่กล่องและซ้อนถุงกระดาษอย่างดีให้อีกชั้น “ก่อนซื้อ พี่เช็กเครื่องแล้ว แต่ถ้ามีปัญหา เอาใบรับประกันที่ร้านออกให้มาเคลมได้ เครื่องมือสองรับประกันหกเดือน”

ดินแดนหิ้วถุงใส่สมาร์ตโฟน สอดส่ายสายตามองหาเอื้อมดาวอีกรอบ หวังว่าเธอจะยังไปไหนไม่ไกล

สุดทางเดินก่อนเข้าสู่โซนห้างสรรพสินค้าเป็นร้านทอง ดินแดนมองเห็นแผ่นหลังคนในยูนิฟอร์มโรงงานไวๆ ตัดสินใจเดินตามเข้าไป

เคาน์เตอร์กระจกยาวมีพนักงานประจำอยู่หลายคน เอื้อมดาวกำลังคุยกับพนักงานคนหนึ่ง ดินแดนกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ อาศัยลูกค้าอีกคนที่กำลังเลือกดูทองช่วยบังสายตา

บทสนทนาทำให้รู้ว่าเอื้อมดาวไม่ได้มาซื้อทองอย่างที่เข้าใจ แต่มาไถ่ทองคืนต่างหาก

เขาก้มหน้าทำทีเป็นเลือกดูสร้อยคอทองคำ แสร้งทำเป็นไม่เห็นหญิงสาว

หลังตรวจเช็กน้ำหนักถูกต้อง เอื้อมดาวจ่ายเงินสดและรับสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าสะพาย ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พอเงยหน้าขึ้น สายตาก็ปะทะกับคนในเสื้อฮาวายที่กำลังก้มหน้าก้มตาเลือกดูทองในตู้กระจกถัดไป เธออยากจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินออกไปเงียบๆ แต่คิดอีกทีตัดสินใจเข้าไปทัก

“บังเอิญจัง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่”

ดินแดนเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก แสร้งทำหน้าตาเหลอหลา “เพิ่งขายควายได้ เลยจะมาดูทองให้แม่หน่อย แล้วเจ๊ล่ะ โบนัสออกหรือไง ซื้อไปกี่บาท”

หญิงสาวส่ายหัวก่อนตอบสั้นๆ “มาไถ่ ไม่ได้มาซื้อ”

เอื้อมดาวไม่มีความจำเป็นต้องปกปิด คนที่ขาดสภาพคล่องก็ย่อมจะแปรทองคำในมือให้เป็นเงินสด เอาตัวรอดกันไปก่อน ดินแดนสนิทกับโอบบุญ ทำไมจะไม่รู้สถานะครอบครัวของเธอหลังเสียบิดาไป

แต่หญิงสาวจำเป็นต้องปิดบังความจริงอีกอย่างที่น่าตกใจเอาไว้

อรลดาแอบขโมยทองของนางสะอิ้งมาจำนำ ถ่ายเอกสารบัตรประชาชนและปลอมลายเซ็นมารดาดิบดี ร้านทองเห็นเอกสารครบถ้วนจึงรับจำนำไว้

คอนเสิร์ตผ่านไปแล้ว เอื้อมดาวเข้าใจว่าน้องสาวเปลี่ยนใจไม่ได้ไปดู เพราะไม่ได้มาขอเงิน เธอมารู้ภายหลังเมื่อรุ่งอรุณเปิดโทรศัพท์ให้ดู

‘ดูสิ ยายอรไปงานคอนเสิร์ตดาราเกาหลี ลงรูปคู่หราเชียว ขนาดถ่ายรูปด้วยได้ บัตรต้องไม่ใช่ถูกๆ มันเอาเงินมาจากไหน ใช้วิธีผิดๆ หาเงินหรือเปล่า ฉันล่ะกลัวใจวัยรุ่นสมัยนี้จริงๆ’

‘น้องตั้งค่าไว้ไม่ให้ฉันมองเห็นแน่ๆ เลย’ เอื้อมดาวไล่ดูรูปถ่ายที่น้องสาวโพสต์ลงในอินสตาแกรม

อรลดาแต่งตัวหรูหรา สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมยอดฮิตในหมู่วัยรุ่น เกาะแขนศิลปินในดวงใจยิ้มระรื่น มีคนเข้ามากดไลก์รูปนี้หลายร้อยคน

กลับถึงบ้าน ยังไม่ทันได้คาดคั้นเอาความจริง นางสะอิ้งก็ยื่นตั๋วจำนำให้ด้วยหน้าตาจืดเจื่อน ‘เอื้อมมีเงินไปไถ่ทองให้แม่ไหม อีกสิบวันจะครบกำหนดแล้ว’

เหมือนนักมวยที่ถูกหมัดน็อกโดยไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นเสียงใส่มารดาอย่างโกรธเกรี้ยว

‘ทำไมแม่เพิ่งมาบอกตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเอาเงินจำนำทองไปให้อรซื้อบัตรคอนเสิร์ต’

‘ก็น้องมันอยากดู ประท้วงไม่ยอมกินข้าวกินปลา นอนร้องไห้จนตาบวม แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง’ พอถูกต้อนมากๆ เข้า นางสะอิ้งก็กระฟัดกระเฟียดใส่กลบเกลื่อนความผิด

เอื้อมดาวเห็นตัวเลขในตั๋วจำนำแล้วแทบจะล้มทั้งยืน ‘ค่าบัตรสองหมื่นห้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยอดจำนำทองตั้งห้าหมื่น’

นางสะอิ้งอ้ำอึ้ง ‘น้องบอกว่า ชุดที่มีอยู่ดูปอนไป อยากได้เสื้อผ้าใหม่สักชุดใส่ไปถ่ายรูปกับดาราเกาหลี’

‘แล้วแม่ก็เอาทองไปจำนำโดยไม่ปรึกษาฉันสักคำ’

‘เปล่า แม่ไม่ได้ให้ น้องมันแอบเปิดลิ้นชักหยิบทองไปเอง มันมาสารภาพหลังจากซื้อบัตรแล้ว’ นางสะอิ้งอ้ำอึ้ง

หญิงสาวโมโหจนควันออกหู กระโจนขึ้นบันได ตบประตูห้องน้องสาวเสียงดังปึงปัง

โอบบุญแง้มประตูห้องฝั่งตรงข้ามออกมา เมื่อเห็นหน้าพี่สาวก็ปิดประตูลงเงียบๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าแม้แต่หน้าเขาก็ไม่อยากมอง ทำให้เอื้อมดาวยิ่งของขึ้น

อรเปิดประตูออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้’

ดึกป่านนี้ น้องนอนแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้’ นางสะอิ้งซึ่งวิ่งตามขึ้นมา ยุดแขนบุตรสาวคนโต

‘ดึก? แม่รู้ด้วยหรือว่าตอนนี้มันดึกแล้ว ฉันกลับบ้านดึกทุกวันเพราะอยู่ทำโอที เวลาใช้เงินคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า’ เอื้อมดาวโกรธจนต้องร้องไห้ออกมา หันไปเคาะประตูห้องน้องสาวรัวๆ ‘อร ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้’

ประตูเปิดผลัวะออกมา เอื้อมดาวถลาเข้าไปในห้องโดยไม่ทันตั้งตัว แสงไฟในห้องส่องสว่างให้เห็นรูปถ่ายขนาดใหญ่ใส่กรอบสวยงามบนผนังเหนือหัวเตียง เป็นรูปเดียวกันกับที่เห็นในอินสตาแกรม บนหัวเตียงมีกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมใบสวยเก๋วางอยู่

‘อรทำได้ยังไง ริอาจขโมยทองแม่ไปจำนำ’ เอื้อมดาวปาตั๋วจำนำใส่หน้าน้องอย่างคนฟิวส์ขาด

‘ก็แค่จำนำไม่ได้ขาย ทำไมพี่เอื้อมจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย’

‘ขโมยของไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเป็นของคนอื่น อรติดคุกได้เลยนะ’

‘ถ้าอยากให้น้องตัวเองติดคุก พี่เอื้อมก็ไปแจ้งตำรวจจับฉันได้เลย แจ้งเลยสิ’ น้องสาวเท้าสะเอวท้าเหยงๆ

‘ไปกันใหญ่แล้วพี่น้องคู่นี้ ไปๆ แยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้อรต้องไปโรงเรียน เอื้อมก็ต้องไปทำงาน ไว้ใจเย็นลงแล้วค่อยมาคุยกัน’ นางสะอิ้งพยายามห้ามทัพ

‘อรก็รู้ ครอบครัวกำลังลำบาก จะใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว’

‘พอแล้ว อรไม่อยากฟัง ถ้าลำบากนัก ไม่เรียนก็ได้ อรไม่เคยพูดสักคำว่าอยากกวดวิชา พี่เอื้อมต่างหากที่เป็นคนวิ่งไปจองคิวจ่ายเงินเสร็จสรรพ’

การโต้เถียงในคืนนั้นหาข้อยุติไม่ได้ กว่าจะฉุดเอื้อมดาวออกจากน้องนอนบุตรสาวคนเล็กได้ นางสะอิ้งก็หอบฮัก

‘ถ้าไม่มีเงินไปไถ่คืนก็ไม่ต้องไถ่ ปล่อยให้หลุดไป ฉันก็แค่เสียดายเพราะมันเป็นสร้อยที่พ่อแกเอามาหมั้นฉัน’ มารดาเสียงเครือ

เอื้อมดาวนอนคิดไม่ตกอยู่หลายคืน เธอไม่อยากทำร้ายจิตใจน้องด้วยการบังคับขายกระเป๋าใบสวย ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจแม่ด้วยการปล่อยทองให้หลุดจำนำ

หวยจึงมาออกที่สมาร์ตโฟนที่ใช้อยู่ แม้จะเป็นของที่บิดาซื้อให้ แต่เธอจำเป็นต้องแลก เพราะสร้อยทองซึ่งเป็นของหมั้นหมายของแม่สำคัญกว่า

เอื้อมดาวโบกมือลาคนรู้จัก ก่อนจะจ้ำออกจากร้านทอง ไม่มีกะจิตกะใจเดินดูของสวยๆ งามๆ เหมือนทุกครั้ง

“จะกลับแล้วเหรอ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” ดินแดนไม่ยอมปล่อยพี่สาวเพื่อนไปง่ายๆ

หญิงสาวชะงักฝีเท้า หันไปมองคนที่เดินตามมาอย่างแทบไม่เชื่อหู

“วันนี้ฉันเพิ่งขายควายได้ อยากกินอะไรจิ้มเลย” เจ้าตัวตบกระเป๋าคาดเอวเป็นเชิงอวด

ดวงหน้าหมองคล้ายจะสดใสขึ้น เมื่อนึกถึงของอร่อยที่อยากกิน “จริงนะ ถ้าฉันเลือกของแพง นายจะเทไหม”

“คำไหนคำนั้น เลือกมาเลย อยากกินร้านไหน” ดินแดนผายมือ

เอื้อมดาวเดินนำตัวปลิว มุ่งหน้าสู่ร้านสเต๊กสัญชาติฝรั่ง บุฟเฟต์สลัดตักได้ไม่อั้น เมื่อก่อนอยากกินตอนไหนก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ถือเป็นมื้อหรูที่เธอจะอนุญาตให้ตัวเองได้กินเดือนละครั้งก็นับว่าเกินตัวแล้ว

“โธ่ นึกว่าจะกินอะไรที่มันแพงกว่านี้ อาหารญี่ปุ่นไหม ปลาดิบ ซูชิ ซาชิมิ” ดินแดนชี้ไม้ชี้มือไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ติดกัน

เอื้อมดาวส่ายหัวดิก ดิ่งเข้าร้านสเต๊กไปอย่างไม่ลังเล

ชายหนุ่มแย้มริมฝีปาก อดเอ็นดูท่าทางตื่นเต้นเมื่อเห็นร้านอร่อยถูกใจของหญิงสาวไม่ได้

เนื่องจากเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ลูกค้าจึงค่อนข้างแน่น หลังจากได้โต๊ะ เลือกเมนูสเต๊กที่ต้องการเสร็จคนในชุดยูนิฟอร์มโรงงานก็แทบจะกระโดดออกไปยังเคาน์เตอร์บุพเฟต์สลัดที่ตั้งอยู่กลางร้าน ใช้เวลาไม่นานก็ถือจานสลัดกลับมาที่โต๊ะ

ดินแดนมองสลัดที่พูนเต็มจานอย่างทึ่งๆ “กินผักเก่งขนาดนี้ สงสัยชาติที่แล้ว เจ๊น่าจะเป็นกระต่าย”

“นายออกไปตักสลัดสิ เดี๋ยวฉันเฝ้าของให้”

“ไม่เอาละ ฉันมันคนบ้านๆ กินสลัดไม่เก่ง กินเป็นแต่น้ำพริกผักต้ม”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอก จริงๆ ไปกินอาหารอีสานก็ได้นะ ฉันกินได้ทุกอย่าง ขอให้อร่อยเป็นใช้ได้”

“เลี้ยงง่ายดี ฉันชอบ” ดินแดนหยอดแต่ยังปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้

แม้จะดูแปร่งหู แต่เอื้อมดาวเลือกที่จะไม่คิดอะไร ปกติดินแดนมักจะเกรียนใส่เธออย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกอยู่แล้ว อย่างเรียกว่า ‘เจ๊’ ทุกคำนี่ก็ใช่

แรกๆ หญิงสาวก็ฉุน รู้สึกว่าเพื่อนน้องชายไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย แต่นึกอีกที เขากับเธอก็รุ่นราวคราวเดียวกัน แม้จะปากเสียไปบ้างแต่ดูเป็นคนจริงใจ คอยช่วยเหลือโอบบุญเสมอ เธอจึงไม่คิดถือสา

“นายมีเสื้อฮาวายกี่ตัว เจอกันไม่เคยเห็นใส่ซ้ำเดิมเลย”

“ช่างสังเกตเหมือนกันนะ” ดินแดนรับจานสเต๊กปลาจากพนักงานเสิร์ฟ เลื่อนมาวางให้ตรงหน้าหญิงสาว

“เห็นกี่รอบก็ใส่แต่เสื้อฮาวาย นายเลียนแบบสตีฟ จ็อบส์ เหรอ” เอื้อมดาวเอ่ยถึงผู้ก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์ที่มักจะสวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์เสมอ

“ไม่ใช่ละ คนละแนวกันสิ้นเชิง คนอะไรใส่ชุดไพรเวตให้กลายเป็นเครื่องแบบ ฉันฉูดฉาดกว่าเยอะ ฮ่าๆๆ” เจ้าตัวหัวเราะร่วน หั่นเนื้อในจานของตัวเองให้พอดีคำ ก่อนจิ้มไปวางลงบนจากสลัดของคนร่วมโต๊ะ “เสื้อฮาวายไม่ร้อน ใส่แล้วรู้สึกคึกคักเหมือนทุกวันเป็นวันสงกรานต์ ใครเห็นก็พลอยมีความสุขไปด้วย”

“เออ เหตุผลนายประหลาดดีแต่ก็พอฟังขึ้น” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ มองเนื้อในจานสลับกับใบหน้าคมเข้มคร้ามแดด สัมผัสได้ว่าภายใต้ท่าทีห่ามๆ เขาก็มีมุมละมุนอยู่ไม่น้อย

เมื่อเห็นดวงหน้าแฉล้มดูแจ่มใสขึ้น ไม่หม่นหมองเหมือนตอนเดินออกจากร้านทอง ดินแดนจึงเลียบเคียงถาม “อย่าหาว่าละลาบละล้วง ฉันเห็นเจ๊เดินอยู่แถวร้านขายโทรศัพท์ก่อนเข้าร้านทอง เอาเงินที่ขายโทรศัพท์ได้มาไถ่ทองใช่ไหม”

ดวงหน้าแช่มชื้นกลับหดลงเหลือสองนิ้วอีกครั้ง เจ้าตัววางอุปกรณ์ในมือลง กลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ลงไปอย่างฝืดคอ “อืม…ช่วงก่อนหน้าต้องหมุนเงินจ่ายค่าเรียนกวดวิชาของโอบกับอร เลยเอาทองมาจำนำไว้ พอดีเป็นทองเก่าของพ่อ ฉันไม่อยากทิ้งไว้นาน วันนี้เงินโอทีออก รวมๆ กับเงินขายโทรศัพท์ก็พอไถ่คืนได้” แม้จะพยายามกดน้ำเสียงให้ราบเรียบ แต่ความเสียดายสมาร์ตโฟน ทำให้หญิงสาวรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจอยู่ดี

ดินแดนหยิบถุงกระดาษจากเก้าอี้ขึ้นมา เลื่อนไปวางตรงหน้า “เปิดดูสิ ฉันให้”

สีหน้าสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในถุง จำกล่องใส่สมาร์ตโฟนของตัวเองได้เพราะมีตำหนิอยู่ที่กล่อง

เอื้อมดาวไสถุงกระดาษกลับคืนไปตรงหน้าชายหนุ่ม “มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องรับของจากนาย แล้วนายมาสะกดรอยตามฉันทำไม”

“ฉันไม่ได้สะกดรอยตาม แค่เห็นเจ๊ที่ร้านขายโทรศัพท์เลยลองเข้าไปถามเจ้าของร้าน พอรู้ว่าเจ๊เอาโทรศัพท์มาขาย ฉันก็เลยซื้อมา”

“ซื้อมาแล้วก็เอาไปใช้สิ รุ่นนี้ใช้ดี ถ่ายรูปสวยมากด้วย” เอื้อมดาวยังคงยืนกราน ไม่ยอมรับความปรารถนาดีจากชายหนุ่ม

“ถ้าไม่อยากได้ฟรีๆ ถ้าอย่างนั้นมาแลกกัน เอาโทรศัพท์ของเจ๊มาให้ฉัน”

หญิงสาวยังคงนั่งกัดริมฝีปากนิ่ง ไม่ยอมทำตามคำสั่ง “นายจ่ายเงินซื้อรุ่นใหม่ จะแลกเอาเครื่องตกรุ่นไปใช้ทำไม”

“เครื่องรุ่นใหม่มันทันสมัยเกินไป ฉันใช้ไม่คุ้มค่าหรอก อีกอย่างวันๆ คลุกอยู่กับควาย ไม่รู้จะเอาสมาร์ตโฟนแพงๆ ไปอวดใคร เจ๊เอาเครื่องเดิมไปใช้จะได้ไม่น้อยหน้าคนที่โรงงานยังไงล่ะ สาวๆ ในโรงงาน เขาประชันกันด้วยของแบบนี้”

เสียงข้อความเรียกเข้าขัดจังหวะการสนทนา ดินแดนก้มลงดูโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์ของตัวเอง กดอ่านข้อความก่อนยิ้มกว้าง

“แน่ะ อานิสงส์จากการเลี้ยงข้าวส่งผลทันที ฉันขายควายได้อีกตัวแล้ว รับไว้เถอะนะ ถ้าเจ๊อยากตอบแทนน้ำใจฉัน เงินเดือนออกเมื่อไหร่ เลี้ยงหมูกระทะร้านริมคลองก็แล้วกัน”

หัวใจหญิงสาวสั่นไหวแปลกๆ ทำไมเพื่อนของน้องชายคนนี้ถึงได้เผื่อแผ่น้ำใจมาถึงเธอ ภาพความรุนแรงที่ผ่านสื่อต่างๆ ทำให้เอื้อมดาวเคยรู้สึกว่าเด็กอาชีวะไม่น่าคบหา แต่วันนี้ดินแดนทำให้เธอเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเด็กอาชีวะไปโดยสิ้นเชิง

 



Don`t copy text!