กระบือสื่อรัก บทที่ 14 : ลูกชิ้นราดน้ำจิ้ม ไม่ใช่ยำลูกชิ้น (2)

กระบือสื่อรัก บทที่ 14 : ลูกชิ้นราดน้ำจิ้ม ไม่ใช่ยำลูกชิ้น (2)

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

 

มื้ออาหารเย็นวันนี้ สมาชิกครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ข้าวปลาอาหารวางเต็มโต๊ะอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นเคย

โอบบุญกินข้าวไปเงียบๆ จมอยู่ในภวังค์ความคิด ในขณะที่อรลดากินไปกดโทรศัพท์ในมือไปพลาง

เอื้อมดาวอดรนทนไม่ได้จึงเอ่ยปากออกมา “อรกินข้าวให้เสร็จก่อนได้ไหมแล้วค่อยเล่นโทรศัพท์”

“อรไม่ได้เล่น อรกำลังหาเงินอยู่” เจ้าตัวตอบ แต่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองพี่สาว

“หาเงิน?” เอื้อมดาวทวนคำพูดน้องสาว ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ใช่ ฉันหุ้นกับเพื่อน กดซื้อตั๋วแฟนมีตติ้งใบละสามพัน ได้มายี่สิบใบ เอามาปล่อยต่อใบละสี่พัน”

“อรเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อบัตรตั้งหลายหมื่น”

เหตุการณ์คราวก่อนที่อรลดาหยิบสร้อยของแม่ไปจำนำ ทำให้เอื้อมดาวระแวง กลัวน้องสาวจะใช้วิธีหาเงินแบบคาดไม่ถึงอีก

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่เอาอะไรในบ้านไปจำนำหรอก” อรลดาเสียงแข็งขึ้นทันที “เพื่อนฉันเอาบัตรเครดิตของแม่มาใช้ ฉันมีหน้าที่กดจองบัตรแล้วก็โพสต์ขาย ถ้าไม่เชื่อก็โทรไปคุยกับแม่เพื่อนได้เลย” น้องสาวคนเล็กเลื่อนโทรศัพท์ส่งให้

อรลดาเป็นสมาชิกกลุ่มแฟนคลับดาราเกาหลีอยู่หลายกลุ่ม รู้ล่วงหน้าว่าดาราคนไหนจะเดินทางมาจัดกิจกรรมในเมืองไทย จึงมีโอกาสจองซื้อบัตรได้ก่อน เด็กสาวอาศัยลู่ทางนี้ นำบัตรที่ซื้อไว้มาขายทำกำไรต่อ ได้ค่าขนมหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น เจ้าตัวจึงมีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ แม้พี่สาวจะจำกัดค่าขนมประจำเดือนก็ตาม

เอื้อมดาวมีท่าทีลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะเชื่อใจน้อง “ไม่ต้องหรอก พี่เชื่อว่าอรไม่โกหก”

“แล้วถ้าบัตรที่ซื้อมาขายออกไม่หมด จะไม่เข้าเนื้อหรือลูก” นางสะอิ้งถามด้วยความกังวลเช่นเคย

“ไม่หรอก มีแต่ซื้อมาไม่พอขาย รอบนี้ยี่สิบใบขายสองวันก็หมดแล้ว เสียดาย รู้อย่างนี้ซื้อเพิ่มอีกสิบใบก็ดีได้กำไรอีกหนึ่งหมื่นเหนาะๆ” อรลดาถอนหายใจ

“ได้กำไรมาก็เก็บไว้บ้าง อย่าซื้ออะไรพร่ำเพรื่อ ถ้าสอบติดต้องเข้าไปอยู่กรุงเทพ ค่าใช้จ่ายตามมาอีกเยอะ”

“ฉันก็พอจะมีลู่ทางหารายได้พิเศษ ไม่ต้องให้พี่เดือดร้อนไปมากกว่านี้หรอก” แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงแต่ยังคงเคืองพี่สาวคนโตอยู่

อรลดาถูกลงโทษที่ขโมยสร้อยทองไปจำนำด้วยการหักค่าขนมเดือนละห้าร้อยบาทไปจนกว่าจะครบค่าบัตรคอนเสิร์ต แม้จะไม่ใช่เงินมากมายก็ตาม แต่เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนถูกหักหน้าอย่างรุนแรง

เอื้อมดาวเป็นแค่พี่สาว กลับลงโทษเธอ ในขณะที่แม่แค่ตักเตือนว่าอย่าทำอีก

“พี่พูดเพราะหวังดี ข้าวของเครื่องใช้ก็อย่าให้แพงเกินตัวนัก เราไม่ได้ฐานะดีแบบเพื่อนเขา” เอื้อมดาวจำเป็นต้องกระตุกน้องสาวไว้บ้าง เพราะอรลดาติดใช้เงินเกินตัวไปมาก

เธอมารู้ราคากระเป๋านักเรียนที่น้องสาวหิ้วจากรุ่งอรุณ ทำเอาขนหัวลุก สงสัยว่าน้องแอบขอเงินแม่มาซื้อแต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเธอยังเก็บสร้อยทองที่ไถ่มาไว้กับตัว ไม่คืนให้นางสะอิ้ง เพราะกลัวว่าแม่จะใจอ่อน ยอมให้อรลดาเอาสร้อยไปจำนำอีก

‘เอาน่า เอื้อม แม่ก็ไม่เห็นว่าอรจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายตรงไหน จะมีแค่ไปดูดาราเกาหลีที่ชอบบ้างก็เท่านั้น’ นางสะอิ้งแก้ต่างแทนบุตรสาวคนเล็ก

‘แม่ก็ลองถามดูสิว่ากระเป๋านักเรียนที่หิ้วอยู่ใบละเท่าไหร่’ แม้ไม่อยากเป็นพี่สาวขี้ฟ้อง แต่จำเป็นต้องให้มารดาได้รับรู้ความจริง จะได้ช่วยปรามอีกแรง เผื่ออรลดาจะระมัดระวังการใช้จ่ายขึ้นกว่าเดิม

“ฉันใช้เงินเก็บของตัวเอง ไม่ได้ขอเงินที่บ้านไปซื้อ ทำไมพี่ต้องเดือดร้อนด้วย หรือพี่อิจฉาที่ฉันหิ้วกระเป๋านักเรียนใบละสี่พันส่วนพี่หิ้วถุงผ้าใบละร้อย”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะ” เอื้อมดาวทิ้งช้อนส้อมลงในจานเสียงดังเปรื่อง หงุดหงิดเป็นกำลังที่น้องสาวไม่ยอมฟังเธอบ้าง

“พอเถอะ พี่น้องคู่นี้ คุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง” นางสะอิ้งอ่อนอกอ่อนใจ

แม้จะอยากตามใจอรลดามากแค่ไหน แต่สิ่งที่บุตรสาวคนโตซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวพูดก็มีเหตุผล

“ถึงจะเป็นเงินเก็บของตัวเอง แต่อรก็ต้องคิดก่อนใช้ แค่กระเป๋านักเรียนจำเป็นต้องแพงขนาดนั้นไหม ราคาที่จ่ายไปคุ้มค่ากับการใช้งานหรือเปล่า” เอื้อมดาวพยายามอธิบายด้วยเหตุผล

“ทำไมจะไม่คุ้มล่ะ อรถ่ายรูปกระเป๋าลงอินสตาแกรม มีคนมาติดตามตั้งเยอะ โพสต์ขายบัตรแฟนมีตติ้ง แป๊บเดียวก็ขายหมด”

อรลดาสร้างภาพฝันบนบัญชีอินสตาแกรมของตัวเอง มีข้าวของมากมายใน ‘บัคเก็ต ลิสต์’ ที่เจ้าตัวหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของในสักวันหนึ่ง เริ่มจากของชิ้นเล็กๆ ในราคาที่จับต้องได้ ไปจนถึงของชิ้นใหญ่ๆ ที่ตอนนี้ได้แค่เพียงเฝ้ามอง

“เมื่อไหร่จะกลับไปขายของ หยุดมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว” มารดาลอบสบตาบุตรสาวคนเล็กเป็นเชิงให้สงบปากสงบคำ

“น่าจะอีกสักสองสามวัน”

เอื้อมดาวรู้ว่ามารดาตั้งใจเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอจากน้องสาว แต่ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะประกาศให้รับรู้

“ตั้งแต่เดือนหน้า ฉันจะไปขายลูกชิ้นที่ตลาดน้ำทุกเสาร์อาทิตย์นะ พี่รุ่งกับป้าสอางค์จะหุ้นด้วย คุยกันเรียบร้อยแล้ว”

เหมือนหย่อนระเบิดลงบนโต๊ะอาหาร โอบบุญชะงัก เงยหน้าขึ้นจากจานข้าว หันมองหน้าพี่สาวอย่างใช้ความคิด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา มารดาก็แหวขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันเพิ่งเตือนแกไปหยกๆ ว่าอย่าทำอะไรเกินตัว ขาดทุนขึ้นมาจะเอาเงินที่ไหนไปคืนป้าเขา”

เอื้อมดาวแสยะยิ้ม มารดาของเธอไม่เห็นด้วยอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด

“ลูกชิ้นฉันอร่อย เด็กๆ ที่โรงเรียนยังชอบ ไปขายข้างนอกจะไม่มีคนซื้อกินก็ให้มันรู้ไป”

สถานการณ์บนโต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางสะอิ้งไม่ยอมอ่อนข้อให้บุตรสาวคนโตเหมือนเช่นเคย

“แกเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง ตัดสินใจแล้วค่อยมาบอก ขายของอยู่โรงอาหารยังไม่ทันเข้าที่เข้าทาง ก็หาเรื่องไปขายที่ใหม่ จะต้องลงทุนอีกสักเท่าไหร่กัน” นางสะอิ้งรวบช้อน หมดอารมณ์กินข้าว “สร้อยพระของพ่อไถ่ออกมาตั้งนมนาน เอามาคืนได้แล้ว อย่าคิดเอาไปหมุนทำทุนขายของเชียว”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงฉันจำเป็นต้องใช้เงิน แต่หัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่เอาสร้อยทองของพ่อไปจำนำแบบที่แม่ยอมให้ยายอรทำแน่นอน” บุตรสาวคนโตแขวะมารดากลับ

โอบบุญที่นั่งฟังแต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนารวบช้อมเงียบๆ เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเอื้อมดาวแล้ว รู้สึกหมดหวังอย่างบอกไม่ถูก ความคิดที่จะขอให้ช่วยไถ่ควายคืนอีกแรงคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เมื่อพี่สาวประกาศหนักแน่นว่าจะไม่ยอมให้ใครเอาสร้อยของพ่อไปจำนำอีก

เจ้าตัวปวดหนึบในหัวใจเมื่อนึกถึงควายสองแม่ลูก หอมเงินและหอมทองเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เขามีร่วมกับบิดา อยากเก็บรักษาไว้

เวลาร่นเข้ามาเต็มที เขาจะหาเงินจากที่ไหน แม้ดินแดนเอ่ยปากว่าจะช่วยแต่ก็ยังไม่พออยู่ดี



Don`t copy text!