‘กราโนล่า – มูสลี่’ ความเหมือนในความต่าง

เรื่องราวรอบตัวน่ารู้น่าอ่านกับหลากหลายสิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ในคอลัมน์ Lifestyle โดย Hoot-Hoot ที่อ่านออนไลน์แล้วรับรองมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตอย่างแน่นอน เพราะเรื่องราวดีๆ ที่รายล้อมรอบตัว #มีให้อ่านที่อ่านเอา

เมื่อกลางวัน Hoot-Hoot ออกไปซุปเปอร์มาเก็ตช้อปของเข้าบ้านมาค่ะ จริงๆ แล้วก็เหมือนวันอื่นๆ แต่พอดีที่ห้างมีตั้งบูธอาหารเพื่อสุขภาพอยู่เล็กๆ พอโฉบเข้าไปก็เลยได้เรื่องมาเล่าสู่กันอ่าน เป็นเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพสองชนิดที่เข้าใจเองมาโดยตลอดว่า มันคือสิ่งเดียวกัน แต่พอวันนี้…กระจ่างค่ะว่า …กราโนล่า กับมูสลี่ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน!!

กราโนล่า เหมือนกับ มูสลี่ตรงที่ทำมาจากธัญพืช เมล็ดถั่ว และผลไม้แห้งชนิดต่างๆ เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นข้าวโอ๊ต, ถั่วชนิดต่างๆ อย่างวอลนัทหรืออัลมอนด์, ผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด แครนเบอร์รี่ แอปริคอต หรืออินทผาลัม, เมล็ดเจีย งา หรือเมล็ดแฟลกซ์ นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงธัญพืชอื่นๆ เช่น ข้าวบาร์เลย์ คีนัว หรือลูกเดือย

ส่วนความแตกต่างของทั้งสองอยู่ที่วิธีการทำค่ะ แต่ก่อนที่จะไปรู้ว่าทำต่างกันยังไง มาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของอาหารเพื่อสุขภาพทั้งสองกันสักนิดละกันนะคะ

‘กราโนล่า’ คิดค้นและสร้างขึ้นโดยแพทย์ชาวอเมริกัน James Caleb Jackson เป็นเมนูอาหารเช้าที่คนอเมริกันส่วนใหญ่นิยม โดยการทำกราโนล่ากิน มักจะมีการปรุงก่อนเสมอ คือนอกจากส่วนผสมอย่างถั่ว ข้าวโอ๊ต และผลไม้แห้ง จะมีการเติมน้ำมันและสารให้ความหวานจำพวกน้ำผึ้ง น้ำเชื่อมเมเปิ้ล หรือน้ำตาลอ้อย แล้วนำไปอบ เพื่อให้เกิดความกรุบกรอบเวลากิน

‘มูสลี่’ คิดค้นและสร้างขึ้นโดย Maximillian Bircher-Benner แพทย์และนักโภชนาการชาวสวิตเซอร์แลนด์ โดยมูสลี่จะมีความดิบและไม่สามารถกินได้ทันที ต้องผ่านการปรุงก่อน นั่นคือ อาจนำไปแช่ในนมหรือน้ำผลไม้ค้างคืนแล้วจึงกินได้ โดยมูสลี่เป็นเมนูสุขภาพที่นิยมกินกันเป็นมื้อเช้าในยุโรป

สำหรับคุณค่าสารอาหารของทั้งสองเมนูนี้ คงต้องบอกว่า ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ซึ่งหากเปรียบเทียบระหว่างกราโนล่า 1/2 ถ้วย ในปริมาณ 56 กรัม กับมูสลี่ 1/2 ถ้วย ในปริมาณ 43 กรัม จะให้คุณค่าสารอาหารดังนี้

หลายคนอ่านแล้วอาจคิดว่า มูสลี่ให้น้ำตาลน้อยกว่า นั่นเพราะไม่ใส่สารให้ความหวาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำตาลจะน้อยเสมอไปนะคะ เพราะหากมีการเติมผลไม้แห้งเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมลงไป น้ำตาลก็เยอะขึ้นมากตามไปด้วยนั่นเองค่ะ

แล้วสงสัยไหมคะว่า ระหว่าง 2 ชนิดนี้ ชนิดไหน มอบสุขภาพดีให้กับเรามากกว่ากัน คำตอบคือ ให้สุขภาพดีแบบเสมอกันค่ะ เนื่องจากทั้งสองชนิดเป็นซีเรียลที่ทำจากข้าวโอ๊ต จึงให้เบต้ากลูแคนที่ดีต่อสุขภาพทั้งคู่ ซึ่งเบต้ากลูแคนเป็นไฟเบอร์ประเภทหลักในข้าวโอ๊ต จึงดีต่อสุขภาพของลำไส้ ช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก และลดระดับน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล และความดันโลหิต นอกจากนี้ทั้งสองชนิด ยังมีถั่วและเมล็ดพืช ซึ่งให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ จึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

มาถึงตรงนี้ เราได้ไขความเหมือนและความต่างของเมนูสุขภาพสองเมนูนี้แล้ว แต่ขอไม่ตัดสินนะคะว่า กินอะไรดีกว่ากัน เพราะการกินนั่น ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่ว่า กินอะไร แต่สัมพันธ์ไปที่ว่า กินในปริมาณเท่าไหร่ด้วยต่างหาก แม้จะเป็นเมนูสุขภาพ ถ้ากินในปริมาณที่มากไป ก็อาจไม่ก่อให้เกิดผลดีกับสุขภาพได้นะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.healthline.com และ https://www.thekitchn.com/