ศรีนาง ตอนที่ 20 : เชี่ยนหมาก

ศรีนาง ตอนที่ 20 : เชี่ยนหมาก

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สมาชิกบนโต๊ะรับประทานอาหารเช้านี้มีเพียงสามคน คือหม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธร เบนจามิน และสาริน ส่วนที่เหลือยังไม่ตื่น

“นุ้ยเป็นยังไงบ้าง” ฉัตรชลธรถามหลานชาย

สารินไม่ตอบในทันที คิดหาคำพูดมาใช้อธิบายศรีนาง “หมดสภาพครับ”

ฉัตรชลธรส่ายหน้า เรื่องนี้โทษใครไม่ได้นอกจากคนรัก “แมนดี้นี่ปล่อยคลาดสายตาไม่ได้เลยจริงๆ แล้วนายหนึ่งล่ะ ฟื้นหรือยัง”

“ตอนผมออกมาคุณหนึ่งยังไม่ตื่น” เมื่อคืนสารินอุ้มศรีนางไปส่งถึงห้อง วานให้สอางค์มานอนเป็นเพื่อนหญิงสาว ส่วนเขาแบกหนึ่งนริศที่อาการหนักกว่าใครเข้าห้อง สารินจึงนอนห้องเดียวกับลูกพี่ลูกน้อง

“รัญนี่ใจเด็ดแฮะ สงสารนายหนึ่ง”

“เรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกครับ”

“จริงของนาย”

หลังมื้อเช้า สารินขึ้นไปดูศรีนางในห้องเดิมของแม่ ยังไม่ทันเปิดประตู สอางค์ก็มาตามให้ไปรับโทรศัพท์ คนที่โทร.มาทั้งที่ยังเช้าอยู่มากและรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่คงหนีไม่พ้น…

“สวัสดีครับคุณพ่อ”

“แกอยู่ที่นั่นจริงๆ สินะ หรูหราสะดวกสบายดีไหมริน” ดนูถามประชด เมื่อหลายวันก่อนลูกสาวคนเล็กเล่าว่าเจอเมียสารินซื้อของเต็มไม้เต็มมือในย่านการค้า ส่วนเมื่อวานเย็นเขาก็รู้ว่าคุณชายฉัตรชลธรเปิดวังจัดงานวันเกิด ดนูไม่อยากให้ลูกชายสนิทสนมกับญาติฝั่งแม่ เพราะกลัวสารินติดนิสัยหรูหราฟุ่มเฟือย ดนูคงลืมไปว่าครอบครัวใหม่ของเขาพยายามมากแค่ไหนเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น ทั้งหมดทั้งมวลคือนายพันเอกไม่พอใจที่โดนลูกชายคนโตตลบหลัง สบคบคิดกับเนรัญชรา ให้ฝ่ายหญิงเอ่ยปากปฏิเสธการหมั้นหมาย

“คุณพ่อมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“ต้องมีธุระหรือ พ่อถึงจะเจอรินได้” ดนูเอาความโกรธทั้งหมดโยนใส่สาริน ไม่สนว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร “หนูดีบอกว่าเจอนุ้ยที่โรงเรียนกวดวิชา”

สารินยกหูโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อยเพื่อถอนหายใจ เขาอยู่กับพ่อมาตลอดชีวิตจึงรู้ว่าบิดาต้องการอะไร “เย็นนี้ผมจะพาน้องไปกินข้าวเย็นที่บ้านนะฮะ”

ก่อนหน้านี้ดนูไม่ยอมให้สารินพบ เมื่ออารมณ์เย็นลง บวกกับคิดว่าลูกเอาตัวออกหาก หันไปใกล้ชิดกับคนในวังปรียาธรจึงเริ่มร้อนรนทนไม่ได้ อีกเหตุผลคือลออกับลูกๆ ทั้งสามคนมองว่าศรีนางยุยงปั่นหัวให้สารินห่างเหินกับครอบครัวทางนี้ ทั้งที่ความจริงก็แค่อิจฉาเห็นใครดีกว่าไม่ได้

“หน้าเครียด” ฉัตรชลธรยืนพิงกรอบประตู จิบกาแฟดำ เอ่ยวิจารณ์ทันทีที่เห็นสารินวางหู “โทรมาด่าแต่เช้า พ่อนายอยากได้อะไรวะ”

สารินฝืนยิ้ม ไม่ตอบคำถามน้าชาย แม้จะไม่พอใจสิ่งที่บิดาทำ แต่ชายหนุ่มไม่เคยเอ่ยแม้ครึ่งคำว่าร้ายผู้ให้กำเนิด

“ไปดูเมียนายเถอะ สอางค์บอกว่าตื่นมาอ้วก”

 

เช้านี้ศรีนางอาเจียนไปสามครั้ง ครั้งสุดท้ายขย้อนออกมาหมดไส้หมดพุง ชุดสวยที่ใส่เมื่อคืนเลอะคราบอาเจียนจนสอางค์ต้องหาชุดคุณหญิงบัวมาให้ใส่

“มึนหัวค่ะพี่อางค์” ศรีนางได้ยินเสียงกุกกัก หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอลากตัวเองมานั่งบนพื้น ทิ้งศีรษะหนักอึ้งกับขอบเตียง นอกจากมึนหัวยังมวนท้องจนนอนราบไม่ได้ จึงนั่งหลับตากุมอก สภาพชวนเวทนา

“ใครใช้ให้กินเยอะขนาดนั้น” สารินดุ

ตอนแรกศรีนางคิดว่าสอางค์ เมื่อเป็นสารินเธอเพียงเปิดเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่ง “คุณแมนดี้คะยั้นคะยอ นุ้ยไม่รู้ว่าเหล้านอกสีสวยๆ มันทำให้…”

“เมา” สารินอยากต่อว่าแต่ความสงสารมีมากกว่า ยิ่งเห็นว่าเช้าแล้วแต่ศรีนางยังไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มจึงเริ่มเป็นกังวล “วันนี้วันอาทิตย์ จำได้ไหม”

ศรีนางยังมึนศีรษะ หน้าซีด ขอบตาแดง สติรับรู้ไม่เต็มร้อย ครู่ต่อมาสาวน้อยก็สะดุ้ง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พยายามลุกแต่ห้องหมุนจนต้องนั่งกุมศีรษะ “นุ้ยต้องไปเรียนพิเศษ”

“ก็จำได้นี่” สารินทั้งฉุนทั้งขำเมื่อเห็นสีหน้าศรีนาง

“ฮือ ต้องไปเรียน”

“นั่งตรงๆ ยังทำไม่ได้เลย จะไปเรียนยังไง หืม” น้ำเสียงสารินไร้รอยตำหนิ แต่ความนิ่งเรียบบวกกับท่าทางยืนกอดอกเหมือนพ่อดุลูก ทำคนเมาค้างเสียใจจนน้ำตาร่วงแหมะ “อ้าว ร้องทำไม เจ็บตรงไหน ปวดหัวหรือปวดท้อง” สารินเริ่มตระหนก

“ไปไหว ฮือออ เสียดายเงิน”

สารินกลั้นขำ อาการหนักขนาดนี้ควรห่วงตัวเองก่อน

“พี่ริน นุ้ยเป็นอะไร” หนึ่งนริศร้องถามจากหน้าประตูที่เปิดกว้าง ไม่ได้ก้าวเข้ามาในห้อง “ได้ยินเสียงร้องไห้ไปถึงห้องผม”

“นุ้ยขอโทษ” คราวนี้ศรีนางร้องไห้หนักกว่าเดิม นอกจากเสียดายเงินที่สารินจ่ายให้โรงเรียนกวดวิชาแต่เธอไม่ได้ไปเรียน ยังเสียดายเวลา เสียดายความรู้ที่ควรจะได้รับในคาบเรียนวันนี้ “ฮือออ พี่รินนุ้ยไม่ได้ตั้งใจ นุ้ย…” ศรีนางคลานตุบๆ ไปกอดขาสารินแล้วสะอึกสะอื้น โวยวายโทษตัวเองฟังไม่รู้เรื่อง

เดิมมีแค่หนึ่งนริศ แต่เสียงร้องไห้ดังลั่นวังปรียาธร ฉัตรชลธร เบนจามิน แมนดี้ สอางค์ รวมถึงยายเอี่ยมยังออกจากครัวมาชมเหตุการณ์ด้วยอีกคน

“เกิดอะไรขึ้น” ฉัตรชลธรถามจากหน้าประตู มีแมนดี้เกาะแขนมองดูภาพนั้นด้วยแววตาสงสัย “นุ้ยเป็นอะไร นี่นายดุเมียเรื่องเมื่อคืนหรือริน”

“พี่ริน ไม่เอาน่า ปกติใจดีจะตาย” หนึ่งนริศพยายามแก้ตัวแทนศรีนาง รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ

“ไม่น่าเชื่อว่ารินหัวโบราณ” แมนดี้โบกมือแสดงความคิดเห็นเชิงตำหนิ “น้าแค่สอนนุ้ยกินเหล้าเข้าสังคม ไม่รู้ว่ากินแล้วจะ…เมาหมดสภาพ”

“นุ้ยเสียใจ” ศรีนางน้ำหูน้ำตาแตก กอดขาสารินแน่นกว่าเดิม คำว่าเสียใจของเธอหมายถึงเสียใจที่ไม่ได้ไปเรียน แต่เหมือนทุกคนพร้อมจะเข้าใจเป็นอีกอย่าง

“นายก็ทำเกินไป แค่กินเหล้าเอง” ฉัตรชลธรอยู่ข้างหลานสะใภ้

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” สารินพยายามอธิบาย แต่ศรีนางทำสถานการณ์แย่ลง

“พี่ริน ฮือออ…นุ้ยขอโทษ นุ้ยผิดเอง นุ้ยจะไม่ทำอีกแล้ว” ภาพสาวน้อยร้องไห้เสียงดังลั่นบ้านกอดขาอ้อนวอนชายหนุ่ม ใครเห็นก็สงสารและเข้าข้างศรีนาง

สารินถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ “ทุกคนช่วยออกไปก่อนนะครับ คุณหนึ่ง…ปิดประตูให้ด้วย”

คนที่ปกติสุภาพเรียบร้อยเมื่อจริงจังขึงขังประกอบกับใบหน้านิ่ง ผมสั้นเกรียน คนที่อยู่นอกธรณีประตูเชื่อฟังเหมือนโดนสะกดจิต หนึ่งนริศปิดประตูตามคำสั่ง ทำท่าขนลุกขนพอง

“น่ากลัวแฮะ ไม่เคยเห็นพี่รินอารมณ์เสีย นุ้ยจะรอดไหมอาฉัตร”

ฉัตรชลธรอมยิ้ม ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปจริงๆ “ปล่อยให้เป็นเรื่องของผัวเมียเถอะน่า”

ภายในห้องนั้น ‘ผัว’ ปลดมือ ‘เมีย’ ออกจากขา ขยับตัวออกห่างศรีนาง ฟังเธอร้องไห้คร่ำครวญเสียอกเสียใจเรื่องขาดเรียนอีกพักใหญ่อย่างใจเย็น กระทั่งศรีนางเหนื่อยและเลิกร้องไห้แต่ยังคงสะอึกสะอื้น

“กินไม่เป็นก็อย่ากินอีก เข้าใจมั้ย”

ศรีนางพยักหน้าหงึกๆ

“เรื่องเรียน ลองถามเพื่อนในคลาสดูว่าเรียนไปถึงไหนแล้ว สัปดาห์หน้าจะได้ตามเพื่อนทัน ส่วนวิชาภาษาอังกฤษของคุณรัญเดี๋ยวพี่โทรไปยกเลิกให้”

“ขอบคุณค่ะ”

“ล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปกินข้าว”

ศรีนางส่ายหน้า คลานขึ้นเตียง ทิ้งตัวนอนคว่ำ ซุกหน้ากับหมอน พูดเสียงอู้อี้ “ปวดหัว นุ้ยขอนอนต่อ กินข้าวตอนนี้ก็อ้วกออกมาหมด”

“ตามใจ” สารินไม่ใจดีกับเด็กที่ทำให้เขาปวดหัวและถูกมองเป็นตัวร้ายในสายตาคนอื่น

 

เพราะดื่มเหล้าครั้งแรก เมาค้างครั้งแรก และโดนสารินดุครั้งแรก ศรีนางจึงใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าที่คิด

หลังเที่ยง หญิงสาวลุกจากที่นอน ล้างหน้าล้างตา แล้วเดินไปหายายเอี่ยมในครัว ขอข้าวต้มเละๆ ไม่ใส่เครื่องปรุง แค่เติมเกลือเม็ดลงไปเล็กน้อย รสเค็มปะแล่มๆ เข้ากันกับรสหวานธรรมชาติของข้าวหอมมะลิ ศรีนางรู้สึกสบายท้อง เธอกินได้ไม่เยอะเมื่อยังรู้สึกพะอืดพะอม

“ชุดของคุณหญิงรึ” ยายเอี่ยมถาม แม้อายุมากแต่ความจำของนางข้าหลวงเก่าที่ติดตามเจ้านายออกจากวังเดิมมารับใช้ลูกหลานท่านนับว่าแม่นยำ

“ค่ะ นุ้ยไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”

“คิดถึงคุณหญิงบัว เสียดาย ท่านบุญน้อย” นัยน์ตายายเอี่ยมฉ่ำน้ำเมื่อเอ่ยถึงหม่อมราชวงศ์ช่อนลินี “เสียดายแทนท่าน ไม่ได้เห็นคุณรินโต…โตจนมีเมีย ไม่นานคงมีหลาน”

“เอ่อ…” ศรีนางอึกอักแต่ไม่ได้ปฏิเสธ “ท่านเป็นคนยังไงหรือคะ ยายเอี่ยมเล่าเรื่องคุณแม่พี่รินให้นุ้ยฟังได้ไหม”

ยายเอี่ยมก็เหมือนสอางค์ คือลึกๆ แล้วรู้สึกเสียดาย นางรับใช้เจ้านายมาตลอดชีวิต อดไม่ได้ที่จะคาดหวังเรื่องชาติตระกูลของสะใภ้ แม้สารินไม่มีฐานันดร ทว่ามีแม่เป็นคุณหญิง ฝ่ายพ่อก็รับราชการเป็นทหารมาหลายรุ่น เมื่อคืนนางข้าหลวงเก่าเห็นเนรัญชรา อดเปรียบเทียบหญิงสาวทั้งสองคนไม่ได้

“ท่านใจดี สวยหวาน มองแล้วสบายตา คุยแล้วสบายใจ” ยายเอี่ยมยกชายเสื้อขึ้นซับน้ำตา ควานหายานัตถุ์ในเชี่ยนหมาก แต่สายตาพร่ามัวทำหญิงชราหาไม่เจอสักที

“ยายเอี่ยมเอาอะไรจ๊ะ นุ้ยหยิบให้”

“ยานัตถุ์”

ศรีนางยื่นหลอดเล็กๆ ที่ทำจากทองเหลืองให้ยายเอี่ยม ผู้สูงวัยรับและสังเกตเห็นแหวนบนนิ้วศรีนาง มันพอดีกับนิ้วเรียวยาว สวมแล้วสวยเหมือนเจ้าของเดิม

“นุ้ยขอกินหมากยายเอี่ยมคำนึงได้ไหมคะ”

“กินเป็นรึ”

“เป็นค่ะ” ศรีนางหยิบกรรไกรคีบหมาก ผ่า ลิดเปลือก แล้วเจียนเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งใส่กระปุกทองเหลืองในเชี่ยนยายเอี่ยม “ที่บ้าน…ตากับแม่เฒ่ากินหมากเหมือนกันค่ะ มีต้นหมาก พลูก็ปลูกเอง นุ้ยมีหน้าที่เก็บหมากเก็บพลูใส่เชี่ยน ก็เลยกินเป็น เคี้ยวๆ แล้วคาย ไม่ได้กลืน นุ้ยกลัวยันหมาก อุ๊ย…” ศรีนางหัวเราะเมื่อเผลอใช้คำศัพท์ภาษาใต้

“เมาหมากใช่ไหม ยายเอี่ยมรู้จักคำนี้” ผู้สูงวัยมองสาวน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน ศรีนางมีความเป็นเด็กและเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัว เมื่อมองข้ามเรื่องชาติกำเนิด จึงเกิดความเอ็นดู

“กินหมากแล้วคิดถึงบ้าน” น้ำเสียงศรีนางแผ่วลง

มือเหี่ยวย่นของยายเอี่ยมจับมือศรีนางมาลูบๆ คลำๆ นางชะงักเมื่อสัมผัสกลางฝ่ามือเล็ก “ทำไมมือหยาบกร้านอย่างนี้ฮึ”

“ทำงานตั้งแต่เด็กค่ะ” ศรีนางเคี้ยวหมากจนละเอียด ตอนยายเอี่ยมถามเธอลืมคายทิ้งเผลอกลืนลงคอ “ช่วยแม่เฒ่าตัดหวาย ตัดเตยหนาม เหลาไม้ไผ่ ทำไม้กวาด ทำเสื่อ นุ้ยทำเป็นทุกอย่าง”

“โถ แม่คุณ” ยายเอี่ยมอยู่มาหลายแผ่นดิน แม้ไม่ได้สุขสบายตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยลำบาก “ต่อไปนี้ไม่ต้องลำบากแล้ว คุณรินเธอเป็นคนดี”

“คนดีของยายเอี่ยมดุนุ้ย พี่รินไม่พอใจที่นุ้ยกินเหล้า” ศรีนางทำปากยื่นตอนพูดถึงลูกชายคุณหญิงบัวของยายเอี่ยม

หญิงชราหัวเราะ เอ็นดูศรีนางจนอยากให้ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่

“ยายเอี่ยมคะ นุ้ยว่านุ้ยยันหมาก” เดิมก็พะอืดพะอมอยู่ก่อน เพิ่มอาการเมาหมากเข้าไปอีกอย่าง ศรีนางเริ่มวิงเวียน ไม่สนว่าอยู่ในครัว เธอซบหน้าบนโต๊ะที่ใช้ทำกับข้าว เป็นภาระให้คนแก่วุ่นวายหามะขามเปียกมาให้กินแก้เมา

“ทำไมวันนี้ขยันสร้างเรื่องจัง” สารินมาตอนไหนไม่รู้ แต่ทันเห็นยายเอี่ยมป้อนมะขามเปียกใส่ปากศรีนาง

“ทำไมวันนี้ดุจัง” ศรีนางพลิกหน้า ถามสารินด้วยรูปประโยคเดียวกัน

สองหนุ่มสาวสบตากันครู่หนึ่ง แววตาสารินอ่านได้ว่าเด็กซนโดนทำโทษแน่ๆ ส่วนศรีนางมองกลับอย่างท้าทาย รู้ดีว่าทุกคนพร้อมเข้าข้างเธอ

“เข้าครัวมาหายายเอี่ยม คุณรินอยากได้อะไรจ๊ะ”

“เย็นนี้เราต้องไปกินข้าวเย็นกับคุณพ่อครับ ผมออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ไม่อยากไปมือเปล่า ยายเอี่ยมช่วยทำอะไรง่ายๆ ให้ผมสักอย่างนะครับ” พูดจบก็เดินจากไป ไม่สนใจเมียเด็กที่เมาเหล้า เมาหมากเลยสักนิด

“พี่รินอารมณ์ไม่ดีค่ะยายเอี่ยม” ศรีนางฟ้องผู้สูงวัย “ดุนุ้ย”

“ไม่เคยเห็น” ยายเอี่ยมแปลกใจเล็กน้อย “ปกตินิ่งๆ ไม่ค่อยพูด”

“ไม่พอใจที่นุ้ยกินเหล้า” ศรีนางสะบัดหน้าใส่แผ่นหลังคนที่มาสั่งแล้วก็ไป

ยายเอี่ยมหัวเราะเบาๆ เข้าใจสาริน ความรักทำให้ชายหนุ่มนิ่งขรึมเปลี่ยนไป

“ยายเอี่ยมจะทำอะไรหรือคะ” หลังจากได้มะขามเปียก อาการพะอืดพะอมบรรเทา ศรีนางประจบประแจงแม่ครัวใหญ่ เธอไม่อยากออกจากครัวไปให้สารินบ่น “อะไรง่ายๆ ที่พี่รินสั่ง”

“ว่าจะทำหมี่กรอบส้มซ่า…ส้มซ่าที่ปลูกไว้โตพอดีเลย”

ศรีนางอาสาเป็นลูกมือ ไม่คิดว่า ‘อะไรง่ายๆ’ ในความหมายของยายเอี่ยมจะยุ่งยากหลายขั้นตอน…เริ่มจากเก็บผลส้มซ่ามาสี่ห้าลูก ล้างจนสะอาด ระหว่างนั้นแม่ครัวก็เตรียมเครื่องปรุงมากกว่าสิบอย่าง

ยายเอี่ยมเริ่มที่ทอดเส้นหมี่แห้งในน้ำมันร้อนจัดแล้วพักไว้จนสะเด็ดน้ำมัน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนหมด จากนั้นเริ่มทำซอส แม่ครัวเปลี่ยนไปใช้กระทะใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ยายเอี่ยมตั้งไฟอ่อน ใส่หอมแดงผัดจนส่งกลิ่นหอม ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ ผัดจนน้ำตาลละลายจึงใส่น้ำกระเทียมดอง ตามด้วยซอสมะเขือเทศและซอสพริก

“ซอสมะเขือเทศทำให้สีสวย ส่วนซอสพริกจะเพิ่มรสเผ็ดแล้วก็เปรี้ยว” ยายเอี่ยมคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงโดยเฉพาะเมื่ออยู่หน้าเตา “คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วก็ใส่น้ำปลา น้ำมันหอย ที่ขาดไม่ได้คือเกลือ…ใส่นิดเดียวก็ช่วยชูรสชาติ”

“เคล็ดลับยายเอี่ยม” ศรีนางพยายามจำสูตรหมี่กรอบ

“ทีนี้ก็ใส่น้ำมะขามเปียกลงไป” แม่ครัวผัดทุกอย่างให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าลงไปแล้วหรี่ไฟ ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ เคี่ยวส่วนผสมจนน้ำซอสเริ่มเดือดจึงเติมน้ำส้มซ่าเพื่อเพิ่มความหอม ตามด้วยน้ำมะนาว เสร็จแล้วยายเอี่ยมให้ศรีนางลองชิม “ชอบรสนี้หรือเปล่า อาหารโบราณส่วนใหญ่หวานนำ แต่ถ้าไม่ชอบหวานก็ปรุงรสอื่นได้”

“กลมกล่อมมากค่ะ หวาน เค็ม เปรี้ยวกำลังดี”

เมื่อน้ำซอสที่เคี่ยวในกระทะเริ่มงวด ยายเอี่ยมแยกซอสไว้ครึ่งหนึ่ง ใส่หมี่ที่ทอดลงไปคลุกเคล้าในกระทะทีละนิดเพื่อให้หมี่กับซอสเข้ากันมากที่สุด

“ทำไมต้องแยกซอสคะ”

“เดี๋ยวมันจะเยอะเกินไป ค่อยๆ เติม”

“อ๋อ ค่ะ”

ยายเอี่ยมคลุกเส้นหมี่อย่างชำนาญ จากนั้นโรยผิวเปลือกส้มซ่าลงไปเป็นลำดับสุดท้าย อาหารว่าง ‘ง่ายๆ’ ของยายเอี่ยมก็พร้อมรับประทาน

ศรีนางชิมแล้วติดใจ ทบทวนสูตรในหัว มีเวลาว่างเมื่อไรเธอลองทำแน่ๆ

 

เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองเดือนที่สองหนุ่มสาวกลับมาที่นี่ ในมือสารินเป็นถุงกระดาษใส่หมี่กรอบส้มซ่า ข้างกายเป็นหญิงสาวที่หน้าตาซีดเซียวไม่สดชื่น ศรีนางยังมึนศีรษะและรู้สึกมวนท้อง สารินไม่ได้ต่อว่า เชื่อว่าสาวน้อยคงเข็ดไปอีกนาน ตอนนี้เขาเป็นห่วงอาการเมาค้างของเธอมากกว่าที่ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นสักที

“นุ้ย ทำไมวันนี้เธอไม่ไปเรียน”

สารินเลิกคิ้ว ประหลาดใจเมื่อพบว่ามีคนนอกอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มแปลกหน้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันแสบตา หน้าตาดี ท่าทางมั่นใจในตัวเอง และไม่กลัวใคร

“เอ๊ะ นี่ภาครู้จักยายนุ้ยด้วยเหรอ” คุณนายลออรับไหว้สารินกับศรีนางส่งๆ

“เรียนกวดวิชาห้องเดียวกันครับ แต่วันนี้นุ้ยโดดเรียน” ภาคินสังเกตว่าศรีนางหน้าซีด เขาเลื่อนสายตามามองสารินอย่างท้าทาย

“พี่ริน…นี่พี่ภาคค่ะ พี่ภาคคะ คนนี้พี่ริน พี่ชายหนูดี” ลาวัลย์ออกมาสมทบ แนะนำสองหนุ่มให้รู้จักกัน วันนี้เธอดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อภาคินอาสามาส่งถึงบ้านหลังเลิกเรียน ตอนแรกลาวัลย์คิดว่าชายหนุ่มลูกชายนักธุรกิจใหญ่เริ่มสนใจในตัวเธอ ไม่ได้ฝืนทำเพราะผู้ใหญ่สั่งเหมือนครั้งก่อนๆ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ภาคินมองศรีนางกับคำถามเป็นห่วงเป็นใย ในใจลาวัลย์ก็รุ่มร้อนไปหมด

“ว่ายังไงนุ้ย ทำไมเธอไม่ไปเรียน” ภาคินถามศรีนาง แต่สายตาสำรวจรูปร่างหน้าตาสาริน อีกฝ่ายสูงโปร่ง ผิวกายขาวสะอาด และหล่อเหลาน่ามอง

“นุ้ยไม่ค่อยสบาย” ศรีนางตอบตามจริง แต่ไม่บอกว่าเป็นอะไร

“เราก็คิดอย่างนั้น พยายามติดต่อเธอ แต่ติดต่อไม่ได้ว่ะ จำได้ว่าเธอเป็น…” ภาคินมองศรีนางกับสารินสลับกัน ไม่เพียงท่าทางเหมือนนักเลง ใจของภาคินก็นักเลงเหมือนกัน เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา “เป็นพี่สะใภ้หนูดี ก็เลยมาหาเธอที่นี่ เราไม่รู้ว่าเธอแยกไปอยู่ข้างนอกกับ…”

“ภาคมาหานุ้ยทำไมหรือ” ศรีนางถาม ใช้ปลายนิ้วคลึงข้างขมับเบาๆ พลางดมยาดมที่ขอมาจากยายเอี่ยม

“อาจารย์แจกชีตแนวข้อสอบปีหน้า เราเก็บไว้ให้เธอ” อันที่จริงภาคินสามารถให้ชีตกับศรีนางสัปดาห์หน้าก็ได้ แต่วัยรุ่นใจร้อน อยากรู้ว่าเด็กสาวที่ตั้งใจเรียนขนาดนั้น ขาดเรียนทำไม

“ขอบคุณครับ” สารินยื่นมือไปรับกระดาษปึกใหญ่แทนศรีนาง “เพื่อนน้องนุ้ยมีน้ำใจมาก” ชายหนุ่มย้ำคำว่า ‘เพื่อน’ ให้ภาคินได้ยินชัดๆ

“ขอบใจนะภาค” ศรีนางยิ้มน้อยๆ ให้กับความมีน้ำใจของภาคิน

“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรากลับละ” ตอนแรกภาคินตอบรับคำชวนของเจ้าบ้านอยู่รับประทานมื้อเย็น แต่เมื่อเห็นหน้าสาริน ภาคินก็รู้สึกฝืดคอ กินไม่ลง

“อ้าว พี่ภาคจะกลับแล้วหรือคะ ไม่กินข้าวเย็นเหรอ” ลาวัลย์วิ่งตามชายหนุ่มที่ก้าวยาวๆ ไปขึ้นเก๋งคันหรู

“เพิ่งนึกออกว่าต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน” ภาคินพูดเท่านั้นแล้วขับรถออกไปทันที

“คุณเดี่ยวรอพวกเธอสองคนในห้องทำงาน” คุณนายลออเชิดหน้าพูด มองศรีนางด้วยหางตา ไม่พอใจที่เห็นเด็กสาวบ้านนอกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างดี หน้าตาแม้จะซีดเซียวแต่ก็สะอาดสะอ้าน ที่สำคัญคือเด็กนั่นใส่รองเท้าส้นสูง เพียงไม่กี่เดือน…ศรีนางก็ปรับตัวกลายเป็นคนเมือง

 

พันเอกดนูนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะทำงาน ก่อนพับเก็บเมื่อลูกชายกับลูกสะใภ้มาถึง คนเป็นพ่อมองสำรวจลูกคนโต แม้ทำงานที่เดียวกัน แต่เพราะสั่งไม่ให้อีกฝ่ายเข้าพบ ดนูจึงไม่เจอสารินหลายสัปดาห์ ชายเจ้าของบ้านสังเกตว่าแววตาลูกชายแจ่มใส ใบหน้ามีความสุข…ไม่เหมือนตอนอยู่ที่นี่

เขาเลื่อนสายตามาที่ศรีนาง สะดุดตากับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ เสื้อแขนล้ำสีขาวกับกระโปรงสีลูกพิกุล จำได้แม่นว่าเป็นของอดีตภรรยา

คำพูดเผ็ดร้อนที่ตั้งใจใช้ต่อว่าสารินกับเมียเหลือเพียง…

“ได้เวลาอาหารเย็นพอดี”

สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร เดินตามเจ้าบ้านไปเงียบๆ

ครอบครัวสุขสันต์ของบิดาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในเย็นวันอาทิตย์ ประกอบด้วยแม่เลี้ยงและน้องๆ ทั้งสามคน

“หล่อนเรียนกวดวิชากับเขาด้วยรึแม่นุ้ย” คุณนายเปิดฉากซักฟอกศรีนาง

“ค่ะ นุ้ยเตรียมตัวเอนทรานซ์ปีหน้า”

“ตาเด่นก็สอบปีหน้า…ไม่เห็นต้องสิ้นเปลืองไปเรียนพิเศษ” คนพูดคงลืมว่าลูกสาวคนเล็กก็เรียนเหมือนกัน

“คณะที่นุ้ยจะสอบคะแนนสูงค่ะ”

ลออบิดริมฝีปากดูถูกดูแคลนศรีนาง เห็นเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและไร้สาระ

“เธอจะเรียนอะไร” เป็นครั้งแรกที่ดนูสนใจความเป็นไปของลูกสะใภ้ หลังจากพลาดหวังไม่ได้ดองกับนายพลสัญญา “สอบเข้าคณะไหน”

ป้าแอ๊ดเริ่มตักข้าวใส่จานให้สมาชิกในบ้าน กับข้าวฝีมือแม่บ้านวันนี้มีแต่ของมันของทอด ศรีนางเห็นแล้วไม่อยากกิน โดยเฉพาะมัสมั่นไก่มันเยิ้ม เห็นแล้วมวนท้องขึ้นมาทันที

“ยายนุ้ย คุณเดี่ยวถาม ทำไมหน่อยไม่ตอบ ไม่มีมารยาท”

“น้องไม่ค่อยสบายครับ” สารินพูดแทนศรีนาง เมื่อเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี “ที่คุณพ่อถาม…น้องนุ้ยตั้งใจสอบเข้าคณะแพทย์ น้องอยากเป็นหมอครับ”

เสียงช้อนร่วงกระทบจาน ตามด้วยเสียงหัวเราะของลัดดากับเลิศพงศ์ ส่วนลาวัลย์ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“เรียนหมอเหรอ โอยยยย ขำ” เลิศพงศ์หัวเราะเสียงดังเหมือนตลกเต็มประดา

ศรีนางไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ตอนที่น้องชายสารินหัวเราะน่าเกลียด น้ำลายอีกฝ่ายกระเด็นมาโดนเธอ คนเมาค้างรู้สึกขยะแขยง ศรีนางพะอืดพะอม ทำท่าเหมือนจะขย้อนตลอดเวลา สารินเห็นท่าไม่ดีรีบพาหญิงสาวไปห้องน้ำ

ครู่เดียวสมาชิกห้าคนบนโต๊ะกินข้าวก็มองหน้ากัน ตอนได้ยินเสียงโอ้กอ้าก…

“ไม่ได้เป็นหมอแล้วม้าง งานนี้สงสัยได้เป็นแม่” เลิศพงศ์ตักมัสมั่นไก่ใส่จาน “โธ่ ทำตัวสูงส่งทรงความรู้ แต่ไม่รู้จักวิธีคุมกำเนิด”

ดนูมัวแต่สนใจอาการลูกสะใภ้ จึงไม่ทันสังเกตว่าเลิศพงศ์ใช้คำพูดกระแนะกระแหนสาริน

 



Don`t copy text!