ศรีนาง ตอนที่ 8 : บัดราด

ศรีนาง ตอนที่ 8 : บัดราด

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในกะละมังสังกะสีเป็นน้ำสีเหลืองอมน้ำตาลมีไอน้ำลอยเอื่อย ซึ่งได้จากการต้มใบมะละกอตัวผู้ ขณะรอให้น้ำอุ่น ตาสายม้วนยาเส้นใส่ใบจาก จุดสูบ แล้วพ่นควันที่ให้กลิ่นเฉพาะตัว

“พี่รินสูบยามั้ย” ศรีนางถาม สองมือง่วนกับการช่วยเตรียมของให้ตาสาย วันนี้หมองูจะทำการเจาะแผลบนหลังเท้าสาริน นับเป็นการรักษาขั้นตอนสุดท้าย

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่สูบครับ”

“จำเป็น?” ศรีนางไม่เข้าใจ

“ครับ บางทีพี่ก็เครียดจนจำเป็นต้องพึ่งสารนิโคตินในใบยาสูบ” สารินจำเรื่องวิตกกังวลของตัวเองได้ดี “แต่ปกติพี่ไม่สูบบุหรี่”

“ดีค่ะ นุ้ยไม่ชอบ…มันเหม็น” เด็กสาวกระซิบเบาๆ ไม่ให้ชายชราที่กำลังพ่นควันปุ๋ยๆ ได้ยิน “แล้วพี่รินกินเหล้าหรือเปล่า”

“เอ่อ…ดื่มบ้าง เวลารวมตัวกับเพื่อนๆ”

“ใช่ๆ พี่เป็นทหารนี่นา”

สองหนุ่มสาวสนทนาอย่างออกรส นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตาสายสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ สารินสุภาพเรียบร้อย ไม่ได้รุ่มร่ามถึงเนื้อถึงตัวหรือเกี้ยวพาราสีอย่างชายเจ้าชู้มากรัก มีเพียงสายตาอ่อนโยนที่ใช้มองศรีนาง ฝ่ายหลานสาวนั้น ตาสายดูไม่ออก รู้เพียงศรีนางให้ความสนิทสนมเป็นกันเองกับนายทหารชาวกรุง

“พี่รินไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ตาใช้ใบมีดใหม่ กรีดตื้นๆ เอาหนองออก” ศรีนางจัดอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว ปากก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามประสาเด็กช่างพูด “บางคนมาหาตาตอนมือเน่า ตีนเน่า นิ้วเน่า แต่ตารักษาหายทุกคน พวกที่อาการหนักอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ ก็มี กรณีพี่รินถือว่าธรรมดา ผ่านเจ็ดวันแรกมาได้ก็เก่งแล้ว”

“โชคดีที่คนเจอพี่คือน้องนุ้ย”

ศรีนางหยุดมือที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ ก่อนเงยหน้ามองสาริน ดวงตาเขาอบอุ่นอ่อนโยนเสมอจนเธอเผลอยิ้ม…ยิ้มโดยไม่รู้ว่าทำใจชายวูบวาบหวั่นไหว

สารินรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์ความคิด เขาเลื่อนสายตาจากดวงหน้าสวยแปลกตามาที่มือบางซึ่งกำลังจัดเตรียมข้าวของจำเป็นอย่างคล่องแคล่ว

“น้องนุ้ยเก่ง ช่วยตาสายได้มากเลยครับ”

“นุ้ยเห็นตั้งแต่เด็กค่ะ อีกอย่างมันก็สนุกดี” ศรีนางมองไปรอบๆ ที่นี่ห่างไกลความเจริญ สาธารณูปโภคยังเข้าไม่ถึง ถ้าไม่ไปโรงเรียน ศรีนางก็ขลุกอยู่กับตาสาย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดหลังสิ้นมารดาคือตอนอ่านหนังสือให้ตาฟัง

“น้องนุ้ยอยากเรียนต่อใช่ไหม” สารินถาม แต่ศรีนางไม่ตอบ สายตาสาวน้อยจับจ้องอะไรบางอย่างที่นอกระเบียง “อยากเรียนอะไรครับ”

เหมือนสารินพูดอยู่คนเดียว ศรีนางยังเงียบ เธอเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง

“หลายวันมานี้ น้องนุ้ยช่วยงานตาสายได้ดีมากๆ…จะดีแค่ไหนถ้าน้องได้เป็นหมอ”

ศรีนางหันขวับมามองคนพูดด้วยดวงตาตื่นตะลึง ความปรารถนาของเธอไม่ใช่ความลับก็จริง แต่ศรีนางไม่เคยบอกสาริน “ทำไมพี่รินรู้ว่านุ้ยอยากเรียนหมอ”

“ไม่รู้หรอกครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง พอใจที่เดาถูก “แค่รู้สึกว่าน้องทำได้”

“นุ้ยอยากเรียน อยากเป็นหมอ…”

“ได้สอบเอนทรานซ์หรือเปล่า”

หญิงสาวส่ายหน้า ขอบตาเริ่มแดง พูดเสียงเบาราวกระซิบ “ไม่ได้สอบค่ะ”

“ปีนี้เขาจัดสอบไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นสอบปีหน้าดีไหม ระหว่างนี้ก็เตรียมตัวอ่านหนังสือ อืม…มีโรงเรียนกวดวิชาด้วยนะ เรียนหมอต้องสอบเลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อะไรพวกนี้ น้องเรียนสายวิทย์หรือเปล่า”

“ค่ะ”

สารินอมยิ้มให้ท่าทางกระตือรือร้นของศรีนาง แม้เธอจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ความจริงคือเด็กอายุสิบแปดที่เพิ่งจบมัธยมปลาย คิดได้อย่างนั้นคนที่อายุมากกว่าหลายปีต้องย้ำเตือนตัวเอง…น้องยังเด็ก

“เป็นไปได้เหรอคะ” ท่าทีสดใสของศรีนางเฉาลงทันทีเมื่อตระหนักว่าเธอขาดแคลนหลายอย่าง…เงินทอง โอกาส และวาสนา “นุ้ยไม่มีอะไรเลย”

“น้องนุ้ยมีพี่ไงครับ…ลืมแล้วหรือ”

“คะ?” ศรีนางยังไม่ทันทำความเข้าใจประโยคสั้นๆ ของสาริน น้ำต้มใบมะละกอก็อุ่นได้ที่ ตาสายโยนก้นยาสูบใบจากทิ้งลงกระโถน จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดย่ามหยิบมีดหมอที่ห่อด้วยผ้าขาวม้าสีแดงมาบริกรรมคาถา ลากปลายมีดลงอาคมบนหลังเท้าบวมเป่งของสาริน จากนั้นหมองูก็ท่องคาถาอีกหลายนาที

นายทหารหนุ่มพนมมือตลอดเวลา ทำจิตใจให้มีสมาธิ ไม่ว่อกแว่ก กระทั่งตาสายเก็บมีดหมอ เปลี่ยนมาใช้ใบมีดเล็กๆ คล้ายมีดโกนหนวดห่อในกระดาษ จากนั้นก็เริ่มกรีด รีดเลือดรีดหนองออกมา…

สารินกลั้นหายใจ พบว่าเจ็บน้อยกว่าที่คิด ชายหนุ่มไม่มีประสบการณ์รักษากับหมอบ้านมาก่อน ทว่าเขาไม่เคยคลางแคลงสงสัย สิ่งเดียวที่สารินทำคือ ‘เชื่อ’

เพราะความเชื่อคือพื้นฐานของความ ‘ศรัทธา’

“คนที่บวมน้อยๆ ตาไม่ได้ใช้มีดเหมือนพี่ริน” ศรีนางชวนคุยเมื่อเห็นสารินเกร็งตอนสายตากดรอบๆ แผล

“แล้วใช้อะไรครับ”

“ใช้หนาม”

“หนาม?”

“หนามมะกรูด”

หลายอย่างจากคำบอกเล่าของสาวชาวบ้านนับเป็นความรู้ใหม่ของหนุ่มชาวกรุง เริ่มจากหนาม เรื่อยไปถึงผลไม้ชื่อแปลกๆ ที่สารินไม่เคยได้ยิน

“แถวๆ บ้านก็มีลูกซัมซัม ลูกพุ้งพิ้ง หลุมพี”

สารินเพียงกะพริบตาปริบๆ สาบานว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ชายหนุ่มเพลิดเพลินกับเรื่องเล่าของสาวน้อยช่างพูด รู้ตัวอีกทีตาสายก็กระแอมน้อยๆ เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ บริกรรมคาถาเป็นครั้งสุดท้าย

“ล้างแผลกับน้ำใบบักหุ่งเช้าเย็น สามวันก็หาย”

“ขอบคุณตาสายครับ” สารินพนมมือไหว้หมองูทุกครั้งหลังชายชราทำการรักษา

“ใกล้หายแล้วพี่ริน พอหายบวม พี่รินก็เดินได้ปกติ แต่รอบัดราดก่อน”

“บัดราด? คืออะไร”

“ก่อนรักษา ตั้งราดไหว้ครู” ศรีนางถอนหายใจพลางอธิบายให้สารินฟังอีกครั้ง “ทีนี้พอพี่หายดี ก็ต้องออกราด ต้องดูฤกษ์ ต้องรอวันดีถึงจะบัดราดได้” สาวน้อยกัดริมฝีปากเบาๆ ครุ่นคิดถึงของที่ต้องเตรียม “ปกติต้องมีหมูมีไก่ ของคาวของหวาน เหล้าขาว ผลไม้ แต่พี่รินไม่มีเงิน นุ้ยก็ไม่มีเงิน กำลังคิดว่าจะหาอะไรมาแทน ไก่…แม่ไก่ของนุ้ยเพิ่งฟักไข่ด้วยสิ ทำไงดี”

“ขอโทษนะ ลำบากน้องนุ้ยอีกแล้ว” ตอนนั้นเองที่สารินนึกถึงสัมภาระซึ่งโยนทิ้งส่งๆ ในพุ่มไม้ข้างสระแก้ว ชายหนุ่มภาวนาอย่าให้ใครเจอ นายทหารยศร้อยตรีที่เพิ่งเข้ารับราชการไม่นาน มีเงินเดือนสามพันหนึ่งร้อยบาท สารินพกเงินติดตัวไม่มาก ก่อนลงใต้ฉัตรชลธรยัดเงินจำนวนหนึ่งไว้เติมน้ำมันรถและไว้ใช้จ่ายตอนช่วยงานเบนจามิน ก่อนประสบเหตุคืนนั้น สารินมีเงินในกระเป๋าสตางค์ราวๆ ห้าร้อยบาท “พี่ทิ้งกระเป๋าไว้ที่สระแก้ว”

“อ้าว ทำไมเพิ่งบอก” ศรีนางทำเสียงดุคนที่อายุมากกว่า

“เพิ่งคิดออกครับ” สารินอมยิ้มทั้งที่โดนสาวน้อยตำหนิ

“เดี๋ยวนุ้ยไปหาให้ ไม่รู้หมาคาบหรือลิงค่างเอาไปหรือเปล่า” ศรีนางไม่ได้พูดเกินจริง ผืนป่าแถวนี้อุดมสมบูรณ์ สระแก้วอยู่ใกล้เชิงเขา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ลงมาให้เห็นบ่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติ

 

เช้าวันถัดมาศรีนางก็ปรากฏตัวต่อหน้าสารินพร้อมกระเป๋าสัมภาระ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อของทุกชิ้นยังอยู่ครบ

“มีเงินซื้อของแล้ว ไม่ต้องรบกวนน้องนุ้ย” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะซีดเซียวแต่ความหล่อเหลากลับเจิดจ้าจนศรีนางใจแกว่ง สาวน้อยดึงสติกลับมา ห้ามตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านเหลวไหล

“ทำไมพี่รินทิ้งกระเป๋าไว้ตรงนั้น จำได้ไหม” อันที่จริงศรีนางถามสารินตั้งแต่วันแรกๆ ที่รู้สึกตัว เธอสงสัยว่าเกิดอะไรกับเขา แต่เมื่อชายหนุ่มจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้ สาวน้อยไม่คาดคั้น “เอาเงินมาหนึ่งร้อยบาท นุ้ยต้องซื้อของบัดราดให้พี่”

น้ำเสียงบวกท่าทางทำสารินหลุดขำ ยื่นธนบัตรใบสีแดงให้ศรีนางแล้วเปรยไม่จริงจัง “นักเลงร้านชำตัวจริงเสียงจริง น้องนุ้ยเหมือนพวกรีดไถเงิน”

ศรีนางหน้างอ ปากยื่น ก่อนหรี่ตามองสารินเมื่อเขาวางเหรียญใส่มือ

“พี่คืนเงินครับ สามบาทของน้องนุ้ย”

“ไม่เป็นไรค่ะ นุ้ยไม่เอา” ศรีนางรับไว้แค่เงินหนึ่งร้อยบาท “ร้อยเดียวก็ใช้ไม่หมด พรุ่งนี้นุ้ยจะเข้าตลาด ไปซื้อของบัดราดให้พี่ริน”

“พอหรือ น้องบอกว่าใช้ของหลายอย่าง”

“พอซี้ ซื้อแป้ง น้ำตาลทรายมาทำขนมโค หมูไก่ขีดสองขีดก็พอ หมดนี่ไม่ถึงร้อยหรอก ส่วนผักไม่ต้องซื้อ เก็บข้างบ้าน”

“พี่ช่วยเก็บนะ เดินไกลๆ ได้แล้ว”

ศรีนางทำท่าคิด ก่อนพยักหน้าตกลง “วันนี้นุ้ยจะไปช้อนกุ้ง พี่รินอยากไปหรือเปล่า”

“ช้อนกุ้งหรือ ที่ไหนครับ”

“ในคลอง”

ในหัวสารินมีคำถามมากมาย จินตนาการถึงกุ้งในคลอง “กุ้งแม่น้ำหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ กุ้งตัวใหญ่ต้องดำน้ำ งมไปจับ มันอยู่ในซอกหิน ขอนไม้ รากไม้ใต้น้ำ” ศรีนางอธิบายแจ้วๆ “กุ้งที่เราไปช้อน อยู่ในซำ…หมายถึงพืชที่ขึ้นในน้ำ เป็นกอ ใบยาวๆ เอาชนางไปช้อนตักกุ้งในซำ”

“น่าสนุก” สารินเริ่มเบื่อเมื่ออยู่เฉย นั่งๆ นอนๆ ร่วมสิบวัน

“อร่อยด้วยค่ะ” ศรีนางยิ้มกว้างเหมือนเด็กมีเพื่อนเล่น “เดี๋ยวนุ้ยจะทอดเบือให้พี่รินกิน”

“เบือ? ทำไมฟังดูคล้ายๆ ยาเบื่อ”

“ทอดเบือกุ้งใส่ใบเล็บครุฑ” ศรีนางอธิบายพลางหัวเราะ “กินตอนทอดเสร็จใหม่ๆ แป้งกรอบๆ จิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก”

“ไม่แสลงใช่ไหม” สารินถามเสียงเบา สิบวันที่ผ่านมาเขาได้รับอนุญาตให้กินเฉพาะอาหารอ่อน รสจืด

“ตาบอกว่าหายแล้ว กินได้”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง จากนั้นเขาเดินตามศรีนางต้อยๆ เหมือนลูกไก่เพิ่งฟักออกจากไข่ ตอนเด็กๆ สารินเคยย้ายตามบิดาไปอยู่ในค่ายทหารที่จังหวัดหนึ่งไม่ไกลเมืองหลวง เพราะยังเด็กมากจึงจำชีวิตช่วงนั้นไม่ได้ หลังสิ้นแม่ พ่อก็ย้ายกลับกรุงเทพฯ อีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นสารินจึงไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตเยี่ยงชาวบ้านทั่วไป

ต่างจากศรีนางอย่างสิ้นเชิง…

สาวน้อยริมคลองอิปันคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง เธอคว้าชนางกับตะข้องที่แขวนไว้ใต้ถุนเรือนมาถือ ก่อนยื่นงอบที่ทำจากกาบหมากให้สาริน จากนั้นใช้สายตาสำรวจหนุ่มชาวกรุงสีหน้าครุ่นคิด

“พี่รินเดินไหวหรือเปล่า รอที่บ้านก็ได้นะ”

“ไหวครับ ให้พี่ลงจากเรือนบ้างเถอะ นั่งๆ นอนๆ พี่ก็เบื่อเหมือนกัน”

“งั้นก็ตามมาค่ะ” ระหว่างทางไปช้อนกุ้ง ศรีนางชี้ชวนให้ชายหนุ่มดูนั่นนี่รอบกาย อธิบายแจ้วๆ เหมือนเด็กที่มีเพื่อนมาเยี่ยมบ้าน “ท่าน้ำแถวนี้มีชื่อเรียกหมดเลย ท่าที่มีหินยื่นลงไปในคลองเรียกท่าหิน ท่าน้ำใต้สะพานเรียกท่าพาน ส่วนท่าน้ำที่เราจะไปเรียกท่าทอน”

“ท่าทอน?” สารินถาม สายตาสำรวจสองข้างทางซึ่งมีทั้งแปลงผัก จอมปลวก ไม้ยืนต้นสูงใหญ่หลากหลายชนิด ที่มีมากคือมะพร้าวและหมาก

“อืม…ทอนหมายถึงที่ลุ่ม ทางน้ำไหล” ศรีนางกระซิบกระซาบ “ท่าทอนน่ะ น้ำตื้นที่สุดแล้ว สันดอนก็ใหญ่มาก ช้อนไม่กี่ทีก็ได้กุ้งเต็มตะข้อง”

“ขนาดนั้นเลย” สารินเลิกคิ้วสูง

“คอยดูฝีมือนุ้ยแล้วกัน”

ครู่เดียวสองหนุ่มสาวก็มาถึงท่าทอน เป็นครั้งแรกที่สารินเห็นคลองอิปันตอนกลางวัน ชายหนุ่มมองสายน้ำใสสะอาดแล้วอยากลงไปช่วยช้อนกุ้ง แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างนั้น เพราะแผลบนหลังเท้ายังไม่หายดี จึงทำได้เพียงนั่งมองจากริมตลิ่ง

แดดช่วงกลางวันร้อนจัด ทว่าริมท่าทอนมีต้นยางนาสูงใหญ่ให้ร่มเงาทอดยาวถึงกลางลำคลอง ลูกยางแก่ได้ที่ร่วงพลิ้วปลิวตามลมก่อนตกกระทบผิวน้ำ บรรยากาศสงบ สบาย และเรียบง่าย สารินละสายตาจากลูกยางมาที่สาวน้อย เธอกำลังไถชนางบนใบอะไรสักอย่างลอยปริ่มน้ำ ศรีนางส่งยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อเธอช้อนกุ้งได้เยอะเป็นที่น่าพอใจ

“น้องนุ้ยเก่ง” สารินเอ่ยชมจากริมตลิ่ง

“ท่าทอนมีกุ้งเยอะค่ะ ไม่ค่อยมีคนมาหากุ้งที่นี่”

“อ้าว ทำไมหรือ”

“เขาว่าท่าทอนมีผีพราย” เงียบไปอึดใจหนึ่งศรีนางก็พูดต่อ “แต่นุ้ยไม่กลัว ไม่ได้ลบหลู่อะไร แค่มาหากุ้งหาปลา”

สารินนั่งรอไม่กี่อึดใจ ศรีนางก็ช้อนกุ้งได้เต็มตะข้อง หญิงสาวถอดงอบมาโบกไล่ความร้อนขณะเดินขึ้นตลิ่ง เมื่อเห็นลูกยางหล่นเกลื่อนจึงหยิบแล้วโยนเล่นอย่างนึกสนุก ฝ่ายคนมองอมยิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดู ก่อนตระหนักว่าศรีนางนั้น

…เด็กเหลือเกิน

“ขากลับนุ้ยต้องแวะเก็บใบเล็บครุฑ”

สารินหลุดจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มขันอาสา “ให้พี่ช่วยนะ”

“เอ๊ะ เท้าพี่บวมหรือเปล่า” ศรีนางนิ่วหน้า ทรุดกายลงนั่ง สำรวจปลายเท้าสาริน น้ำเสียงไม่สบายใจ “สงสัยเดินเยอะ นุ้ยไม่น่าพาพี่มาเลย เจ็บมั้ย”

“ไม่เจ็บครับ บวมนิดเดียวเอง ให้พี่เดินออกกำลังบ้างเถอะ กลับถึงบ้าน นั่งพัก เดี๋ยวเดียวก็หาย” หลังเท้าสารินบวมก็จริง แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บ เพียงเสียวแปลบเป็นบางครั้งเท่านั้น

ส่วนศรีนางคิดเร็วทำเร็ว หญิงสาวหาไม้ง่ามบริเวณนั้นให้สารินใช้พยุงตัวและช่วยผ่อนแรง

“ตรงนั้นปลูกอะไรบ้าง” ชายหนุ่มถามเมื่อทั้งคู่เดินมาสวนหลังบ้านซึ่งค่อนข้างรก ต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ ในสายตาหนุ่มเมืองกรุงเขาไม่รู้ว่าอะไรกินได้กินไม่ได้

ศรีนางกระชับตะข้องในมือแล้วชี้ “อันนี้ยอดเขลียง (1)  เอาไปแกงเลียง ต้มกะทิ ผัดหรือจะลวกก็ได้ อันนี้ก็ยอดเตาเบาภาษากลางบ้านพี่รินเรียกกระถิน ยอดมัน…มันสำปะหลังน่ะค่ะ เอาไปลวกจิ้มน้ำพริกได้เหมือนกัน” สาวน้อยชี้ให้ดูสวนผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ “ส่วนนี่ผักขม (2) กำลังสวย เด็ดยอดเอาไปผัดน้ำมัน แค่นี้ก็ได้กับข้าวสองสามอย่างแล้ว พรุ่งนี้นุ้ยว่าจะทอดหมู แกงเลียง ผัดผัก แกงไก่ใส่ลูกกล้วย น้ำพริกผักลวก แล้วก็ขนมโค”

“ผักไม่ต้องซื้อจริงด้วย”

“พี่ชอบกินผักไหม จะได้เก็บไปเยอะๆ”

“ชอบครับ พี่ช่วยเก็บนะ”

ศรีนางจึงใช้งานคนป่วยด้วยการสั่งให้คนตัวสูงกว่าเก็บยอดกระถินกับใบเหลียง สองหนุ่มสาวก็เดินช้าๆ เลียบคลอง เจ้าถิ่นชี้ชวนให้ดูนู่นนี่ ปากก็เล่าวิถีชีวิตเจื้อยแจ้ว

“ตรงนี้เรียกท่าหิน พี่รินเห็นหินที่ยื่นลงไปในคลองมั้ยจ๊ะ”

“อันนั้นเหรอครับ” สารินชะโงกตัวมองแนวโขดหินที่ทอดตัวจากริมตลิ่งลึกไปครึ่งคลอง

“มีหอยด้วยนะ หอยจุ๊บเกาะที่หิน ส่วนหอยกาบจะอยู่ในทราย มีกุ้งแม่น้ำด้วย นุ้ยเคยดำน้ำลงไปจับกุ้ง”

“เก่งมาก ตัวก็เล็กแค่นี้” สารินเอ่ยอย่างจริงใจ ชื่นชมความสามารถของศรีนาง

“เมื่อก่อนดำน้ำหากุ้งบ่อยค่ะ แม่นุ้ยชอบกินกุ้งแม่น้ำต้มกะทิ” จู่ๆ ศรีนางก้มหน้าจนปลายคางชิดอก “นุ้ยดำน้ำลึกเกือบทุกวันจนเจ็บหู มันปวดตุบๆ อยู่ข้างใน จำได้ว่าเจ็บมากค่ะ นอนร้องไห้ทุกคืน พอแม่รู้แม่ก็ไม่กินกุ้งอีกเลย” น้ำเสียงสาวน้อยเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน

“ความดันครับ แรงดันน้ำจากภายนอกทำให้เยื่อแก้วหูโป่ง พี่ก็เคยเป็นตอนฝึกภาคสนาม” สารินเล่าเรื่องตัวเอง รับรู้ถึงความเสียใจของสาวน้อย “น้องนุ้ยเป็นเด็กดี พี่เชื่อว่าแม่รับรู้และภูมิใจในตัวน้อง”

“บางทีนุ้ยก็ฝันถึงแม่” ศรีนางช้อนตามองสาริน บอกเล่าความรู้สึกอ่อนไหว “บางครั้งก็กลัวค่ะ กลัวมาก”

“น้องกลัวอะไร”

“กลัวถูกบังคับให้แต่งงาน นุ้ยไม่อยากแต่ง นุ้ยอยากเรียนต่อ”

บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้น ศรีนางเก็บผักได้เต็มงอบ ส่วนสารินเดินตามหลังสาวน้อยเงียบๆ ด้วยจิตใจเป็นกังวล

 

พิธีบัดราดของสารินเป็นเช้าวันถัดมาซึ่งเป็นวันดีที่ไม่ใช่วันพระ ของที่ใช้ในพิธีประกอบด้วยเหล้าขาว ข้าวสวย กับข้าวแบ่งเป็นสิบสองจาน ส่วนของหวานเป็นขนมโค ยังมีดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู และเงินใส่ราดตามกำลังศรัทธา ซึ่งทุกอย่างใช้เงินของสารินซื้อ หลังศรีนางเจอเป้ที่เขาทิ้งไว้ในพุ่มไม้

วันนี้ตาสายเตรียมทำพิธีตั้งแต่เช้า ฝ่ายศรีนางตื่นมาทำกับข้าวหลายอย่าง ผสมแป้งทำขนมโคตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ส่วนสารินช่วยหยิบจับทำงานเล็กๆ น้อยๆ

ในระหว่างพิธี ชายหนุ่มจับจ้องแผลบนหลังเท้าที่เหลือเพียงรอยสะเก็ดจางๆ น่าอัศจรรย์ที่การรักษากับหมอบ้าน ด้วยสมุนไพร ด้วยคาถาอาคม และความเชื่อความศรัทธาทำให้เขากลับมาหายใจ กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ขณะนั่งขัดและพนมมืออยู่ด้านหลังตาสาย สารินไม่มีสมาธิ ชายหนุ่มว่อกแว่ก แอบลืมตา ลอบชำเลืองมองศรีนางซึ่งนั่งพับเพียบพนมมืออยู่ห่างๆ ใบหน้าของเธอสดใสชวนมองอย่างเด็กที่กำลังโตเป็นสาว

“อะแฮ่ม” ตาสายกระแอมกระไอเมื่อเห็นสายตาคนไข้หนุ่มลอบมองหลานสาว “คุณริน…ตั้งใจ มีสมาธิ”

“ครับตาสาย”

พิธีบัดราดแล้วเสร็จช่วงสาย หมองู หลานสาวหมองู และคนไข้หนุ่มนั่งล้อมวงกินข้าวเช้าด้วยสีหน้าแจ่มใส โดยเฉพาะสาริน ชายหนุ่มเจริญอาหารกว่าทุกวัน ปกติเขาได้กินแค่อาหารอ่อน อย่างข้าวต้มหรือข้าวสวยกับแกงจืดเพราะศรีนางห้ามนั่นห้ามนี่ด้วยเหตุผลว่าเป็นของแสลง กระทั่งเมื่อวานมีโอกาสได้กินทอดเบือกุ้งใส่ใบเล็บครุฑรสชาติจัดจ้าน ส่วนวันนี้อาการเขาดีขึ้นเกือบหายเป็นปกติ หลานสาวหมองูจึงเลิกจุกจิก อนุญาตให้เขาได้กินกับข้าวรสดีฝีมือเธอ

“น้องนุ้ยทำอาหารอร่อยมากครับ อร่อยทุกอย่างเลย” สารินเอ่ยชมขณะสูดจมูก ไม่คุ้นชินกับรสชาติเผ็ดร้อน “น้ำพริกกะปิรสดีมาก แต่แกงไก่เผ็ดไปนิด”

“พี่รินอย่าราดน้ำแกงเยอะสิ ตักเอาๆ แบบนั้นมันก็เผ็ด”

“อร่อยครับ พี่ไม่เคยกินแกงไก่ใส่กล้วยดิบแบบนี้ แปลกแต่อร่อย หยุดกินไม่ได้เลย” สารินสูดจมูกอีกครั้ง เมื่อรสร้อนแรงทำเอาน้ำมูกไหล น้ำตาซึม

“ชอบเหรอ เดี๋ยวทำให้อีกก็ได้”

“ขอบคุณครับ น้องนุ้ยใจดี”

“ตอนนี้คุณรินก็หายดีแล้ว” ตาสายเรียกคนไข้อย่างสุภาพ เพราะรู้ว่าชายหนุ่มเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร “จะกลับบ้านเมื่อไหร่”

สารินชะงัก รสกลมกล่อมในปากพลันขมฝืดคอ ชายหนุ่มวางช้อนสังกะสี มองหน้าสบตาศรีนาง แต่เด็กสาวก้มหน้าก้มตาเหมือนไม่สนใจคำถามของตาสาย

“ผมไม่ได้ไล่ อย่าเข้าใจผิด คุณจะอยู่ต่อจนแผลหายสนิทก็ได้ แต่นุ้ยบอกว่าคุณรินเป็นทหาร หยุดงานหลายวัน กลัวจะมีปัญหา”

สารินดื่มน้ำฝนในขันสีเงิน รสเย็นสดชื่นไม่ได้ทำให้เขาแจ่มใส ตรงกันข้าม สารินไม่อยากไปไหน เมื่อรู้เต็มอกว่า ‘ใจ’ ผูกพันกับคนทางนี้เสียแล้ว

“ส่งข่าวไปบอกที่บ้านหรือยัง ป่านนี้คงเป็นห่วงมาก”

สารินไม่ตอบ เพราะชายหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าคนทางบ้านเป็นห่วงหรือเปล่า

เมื่อบรรยากาศระหว่างมื้อเช้าเริ่มตึงเครียด ทุกคนจึงวางช้อน ศรีนางเริ่มเก็บกวาดสถานที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนตาสายเดินลงจากเรือนเดินไปจุดยาสูบใบจากที่ริมคลอง ฝ่ายศรีนางเข้าครัวเพื่อล้างจาน มีสารินอาสาช่วยอีกแรง ทว่าโดนปฏิเสธ

“พี่รินไม่ต้องช่วย นุ้ยล้างเองได้”

“พี่…”

ยังไม่ทันที่สารินจะพูดอะไร เสียงเอะอะก็ดังขึ้นเสียก่อน

“อ้าว หายแล้วเหอ นึกว่าตาย” คำพูดแรกของคนที่บวชชีหลายวันทำคนฟังอึ้ง “วันนี้บัดราด ได้จ่ายค่าครูม่าย” รุ่งเท้าสะเอวถามสาริน

“พี่รินไม่มีเบี้ย แล้วก็ตาไม่เคยคิดค่ารักษา” ศรีนางตอบแทนชายหนุ่ม

“แล้วค่าอยู่ค่ากิน”

“พี่รินกินแค่น้ำข้าว ปกตินุ้ยเททิ้งด้วยซ้ำ” ศรีนางไม่พอใจที่ป้ารุ่งหน้าเงิน ทวงถามค่ารักษา ทั้งที่ตาสายไม่เคยคิดเงินคนไข้สักบาท

“ได้พรือ ถ้าไม่จ่ายก็ออกไปให้พ้น ที่นี่ไม่ใช่โรงทาน”

“ป้ารุ่งพูดแรงเกินไป” ศรีนางออกโรงปกป้องชายหนุ่ม

“มึงก็เหมือน อีนุ้ย เรือนหลังนี้ไม่ใช่ของมึง แขบๆ เก็บของออกจากเรือนข้าว”

“ทำไมต้องเก็บ” ศรีนางนิ่วหน้าถาม สังหรณ์ใจอย่างไรพิกล

“มึงต้องไปอยู่โรง’บาล” คราวนี้คนพูดไม่ใช่ป้ารุ่ง แต่เป็นยายจันทร์ซึ่งยืนฟังบทสนทนาระหว่างลูกกับหลานมาสักพัก

“ไปโรง’บาล? แม่เฒ่าจะให้นุ้ยไปทำไม” เด็กสาวถาม สีหน้างุนงง

“ตอเช้าหัวเช้า (3) กำนันกับเมียแกจะมารับมึงไปโรง’บาล มึงต้องไปเฝ้าคมสันต์” ยายจันทร์อารมณ์ดีจนเก็บสีหน้าชื่นมื่นไม่อยู่ “คนใหญ่เขาตกลงกันแล้ว ค่อยหมั้นค่อยแต่งทีหลัง พันพรือๆ ก็แหลงไว้แล้ว”

ใจศรีนางหล่นวูบ ใบหน้าซีดสลดไร้สีเลือด เผลอมองสารินด้วยสีหน้าแววตาเหมือนเด็กหลงทาง

 

เย็นมากแล้วแต่ศรีนางยังไม่จุดตะเกียงน้ำมันก๊าด หญิงสาวนั่งบนบันไดขั้นแรกมองกองไฟกาบมะพร้าวที่จุดไล่ยุง ก่อนเลื่อนสายตาจับจ้องดอกหางนกยูงสีแดงเพลิงข้างเรือนข้าว กลีบดอกร่วงพราวอยู่ใต้ต้นในยามอาทิตย์อัสดง หญิงสาวไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมความงมงามของบรรยากาศ เมื่อในหัวคิดวุ่นวายสับสน เธอเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบเล็กตามคำสั่ง ศรีนางไม่ได้เชื่อฟังยายจันทร์เพียงแค่เฝ้ารอสิ่งที่เรียกว่า…โอกาส

โรงพยาบาลอยู่ในเมือง…ที่นั่นมีทั้งรถไฟและรถประจำทาง

“ทำไมน้องไม่จุดตะเกียง หืม” เสียงนั้นอ่อนโยนทั้งยังเจือด้วยความเข้าอกเข้าใจ สารินหยิบตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางข้างประตูมาจุดกับกองไฟไล่ยุง ครู่เดียวรอบกายสองหนุ่มสาวก็สว่างในขณะที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี

“พี่รินเคยน้อยใจชีวิตมั้ย” ศรีนางถาม เงยหน้ามองสารินด้วยดวงตาแดงก่ำ “นุ้ยไม่มีอะไรเลย ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีเงิน ไม่มีโอกาส”

สารินรับฟัง คิดตามคำพูดของศรีนาง ชีวิตเขาดีกว่าสาวน้อยคนนี้แค่เรื่องความเป็นอยู่ แต่ที่เหมือนกันคือสารินไม่เคยมีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง

“พี่…ตัดสินใจแล้ว พี่จะไปพรุ่งนี้เช้าครับ”

ศรีนางพยักหน้า ตอนแรกสารินตั้งใจอยู่ที่นี่ต่อจนหายสนิท แต่บ้านที่มียายจันทร์และป้ารุ่ง ไม่น่าอยู่เลยสักนิด

“ขอบคุณตาสาย ขอบคุณน้องนุ้ย” สารินมองศรีนางที่ยังนั่งนิ่ง สายตาสาวน้อยจับจ้องลูกไฟเล็กๆ ที่ประทุวาบบนกาบมะพร้าว “พี่ยังยืนยันคำเดิมครับ เพื่อน้องนุ้ย…พี่รินทำได้ทุกอย่าง”

คราวนี้ศรีนางมองคนที่ค่อยๆ ย่อกายจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เด็กสาวเอียงคอ พิจารณาใบหน้าชายหนุ่มที่เธอรู้จักไม่นาน ก่อนปล่อยคำถามที่ทำสารินสะดุ้งตกใจจนเสียหลักล้มหงายหลัง

“นุ้ยขอ…ขอเป็นเมียพี่รินได้ไหม”

 

เชิงอรรถ :

(1) ใบเหลียง เรียกต่างกันในแต่ละพื้นที่

(2)  ผักโขม

(3) พรุ่งนี้ตอนเช้า

 



Don`t copy text!