ศรีนาง ตอนที่ 22 : ลมใต้ปีก

ศรีนาง ตอนที่ 22 : ลมใต้ปีก

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หลังจากวันนั้นศรีนางมีโอกาสเปิดบ้านต้อนรับบิดาสารินอีกสองสามครั้ง ส่วนคำถามว่าอยากเป็นหมอทหารหรือเปล่า เธอไม่เคยให้คำตอบ อีกฝ่ายก็ไม่เคยถามซ้ำ ความสนิทสนมระหว่างศรีนางกับเนรัญชราทำให้เธอคุ้นเคยกับมหาวิทยาลัย ที่นั่นเป็นแรงบันดาลใจ เป็นภาพที่ศรีนางใฝ่ฝัน เพราะฉะนั้นเธอมีคำตอบอยู่แล้ว

หญิงสาวยังคงมุ่งมั่นบนเส้นทางสายนี้ จันทร์ถึงศุกร์เธออ่านหนังสือมากกว่าวันละสิบสองชั่วโมง เสาร์อาทิตย์เรียนกวดวิชา ส่วนภาษาอังกฤษจำเป็นต้องหยุดเรียนกับเนรัญชรา เพราะอีกฝ่ายได้งานประจำในกระทรวงการต่างประเทศ

‘รัญยังไม่อยากทำงาน’ เนรัญชราบ่นกับศรีนางเมื่อสัปดาห์ก่อน ‘ความจริงอยากเรียนต่อ แต่ก็ขี้เกียจท่องหนังสือ รัญเป็นคนแบบนี้แหละนุ้ย โลเล เหลวไหล ใจเสาะ’

‘ไม่เลยค่ะ พี่รัญเก่ง มีความรับผิดชอบ’

‘รัญไม่ห่วงนุ้ย หัวไว จำศัพท์ได้เยอะแล้ว อ่านเองก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าสงสัย ถามรัญได้ตลอดเวลา ต้องโทรมานะ โทรมาคุยกับรัญ’

‘นุ้ยโทรไปรบกวนพี่รัญแน่ๆ ค่ะ’ ศรีนางมั่นใจ

‘แอบใจหายนะเนี่ย รัญสอนนุ้ย…’ เนรัญชราทำท่าคิด ‘ครึ่งปีแน่ะ’

‘ขอบคุณพี่รัญมากๆ ค่ะ ถ้าคิดเงิน มีหวังพี่รินกระเป๋าแบน’ คนที่เป็นลูกศิษย์ซาบซึ้งในความเอื้อเฟื้อของพี่สาวคนสวย

‘ส่งเสีย…เอ๊ย…ส่งเสริมให้เมียเรียนหนังสือ พี่รินน่านับถือออก’ เนรัญหัวเราะคิกคัก

‘พี่รินเป็นคนดีค่ะ’

‘นุ้ยโชคดีมากๆ ที่เจอพี่ริน’ เนรัญชราหมายความเช่นนั้น เธอคิดไม่ออกว่าถ้าอีกฝ่ายไม่เจอศรีนางแล้วถูกบังคับให้แต่งงานกันจะเป็นอย่างไร เธอจะรักสารินได้ไหม แล้วสารินจะมองเธอด้วยแววตาอย่างที่มองศรีนางหรือเปล่า ‘อยากโชคดีแบบนุ้ยบ้าง’

‘นุ้ยเชื่อว่าวันหนึ่งพี่รัญจะเจอคนคนนั้นค่ะ’

หลังจากร่ำลากัน เนรัญชราให้หนังสือนิยายโรมานซ์ภาษาอังกฤษมาเล่มหนึ่ง ทำหน้าจริงจังขึงขังบอกว่าไว้ฝึกอ่าน ถ้าไม่เข้าใจว่าตัวละครทำอะไรกันให้ถามสาริน ศรีนางคิดในใจ…กล้าถามที่ไหนเล่า

วันเสาร์กลางเดือนพฤศจิกายน หลังกลับจากโรงเรียนกวดวิชา ศรีนางพบว่าสารินยังไม่กลับจากบ้านบิดา ตั้งแต่ปฏิเสธไม่กลับไปอยู่บ้าน ชายหนุ่มจำเป็นต้องชดเชยเวลาด้วยการอุทิศวันหยุดครึ่งวันเพื่อสรุปข่าวทั้งสัปดาห์ให้พันเอกดนูฟัง แต่ที่ศรีนางไม่รู้คือท่านเสนาธิการกดดันลูกชายให้เกลี้ยกล่อมเมียสอบเข้าแพทย์ทหาร

เมื่อสารินไม่อยู่บ้าน ศรีนางจึงแอบอ่านนิยายอีโรติก สาวน้อยรู้สึกเหมือนทำผิดตอนพลิกหน้ากระดาษ แม้ภาพปกจะธรรมดาๆ แต่เนื้อหากลับไม่ใช่ ความอยากรู้อยากเห็นแห่งวัย บวกกับข้ออ้างว่าต้องการฝึกภาษา ทำให้เธอนั่งห้อยขาอ่านหนังสือในฤดูน้ำหลาก ข้างกายมีดิกชันนารีของสาริน

“อานุ้ยลื้อไปลอยกาทงที่หนาย” แปะโฮ่วร้องทักตอนพายเรือขายก๋วยเตี๋ยวมาถึงท่าน้ำบ้านศรีนาง

“วันนี้วันลอยกระทงหรือคะแปะ” ศรีนางรีบปิดหนังสือ ยื่นหน้าข้ามระเบียงเพื่อสนทนากับชายสูงวัยชาวจีน ทว่าคนที่ตอบคำถามไม่ใช่พ่อค้าแต่เป็นลูกสาวตัวแสบ

“ย่ะ น้ำขึ้นสูงจะท่วมบ้านแล้ว เธอยังไม่รู้อีก” จิงจูได้ทีจิกกัด

“ลืมน่ะ” ศรีนางไม่ถือสา “เอาเหมือนเดิมค่ะแปะ ขอลูกชิ้นเยอะๆ นุ้ยจะลอยกระทงตรงนี้แหละ อยู่ติดคลองจะไปที่อื่นทำไม”

“ที่อื่นเขาจัดงานไงยะ” จิงจูจีบปากจีบคอสาธยาย “เตี่ยจะพาฉันไปแดนเนรมิต มีประกวดนางนพมาศด้วย เสียดายว่าปีนี้ฉันสมัครไม่ทัน แต่ปีหน้าจะไปประกวด”

“ถ้าจิงจูประกวด นุ้ยจะชวนพี่รินไปดู”

“จริงหรือเปล่า” จิงจูถาม แก้มขาวๆ แดงระเรื่อเพียงได้ยินชื่อสาริน

“จริงสิ” ศรีนางนั่งยองๆ บนบันไดขั้นแรก ตอนนี้ระดับน้ำสูงปริ่มบันไดขั้นที่สอง หญิงสาวยื่นมือไปรับชามก๋วยเตี๋ยว ใช้ตะเกียบคนเส้นจนเข้ากัน ดมกลิ่นน้ำซุปของแปะโฮ่วที่จิงจูเคยบอกว่าเป็นสูตรลับจากมณฑลกวางตุ้ง แต่ปรับเปลี่ยนให้ถูกปากคนไทย ยังไม่ทันตักเส้นเข้าปากก็ตกใจจนทำชามตก

“กรี๊ดดดดด” จิงจูกรีดร้องเสียงดังลั่นคลอง จากนั่งท้ายเรือ สาวหมวยลุกยืนกะทันหันสะบัดมือเร่าๆ จนเรือลำเล็กเกือบพลิกคว่ำ ศรีนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ช่วยจับกราบเรือ “เตี่ย ตัวอะไรกัดอั๊วก็ไม่รู้ ฮือออ เจ็บ”

“จิงจูขึ้นมาก่อน” ศรีนางจับแขน ช่วยประคองหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันขึ้นเรือน ขึ้นมาได้อีกฝ่ายก็ทรุดกายนั่งคุดคู้กุมนิ้วตัวสั่นเทิ้ม “แปะขึ้นมาก่อนค่ะ ไม่รู้ตัวอะไรกัดจิงจู”

“ไอหยา อีโดนตะขาบกัด” แปะใช้ไม้พายกดตะขาบตัวใหญ่สีแดงเข้มเกือบดำ เดาว่าหนีน้ำมาอยู่ในเรือ “ตัวใหญ่มากอานุ้ย”

ภาพขายั้วเยี้ยของสัตว์เลื้อยคลานสีเข้ม ทำจิงจูที่หันไปเห็นพอดีกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เหมือนเสียงจะดังกว่าเดิม

“จิงจูหายใจเข้าออกช้าๆ นะ” ศรีนางพยายามปลอบคนที่เสียขวัญ ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก ตัวสั่น ใบหน้าขาวซีด “ขอนุ้ยดูหน่อยนะ”

จิงจูเลิกกุมมือ ยื่นปลายนิ้วสั่นระริกให้ศรีนาง

“บวม แดง มีเลือดซึมที่รอยเขี้ยว” พิษตะขาบไม่ร้ายแรงเท่างูก็จริง แต่ตัวที่กัดจิงจูมีขนาดใหญ่ ปริมาณพิษที่ได้รับจึงมากตามไปด้วย “ต้องล้างแผลก่อน”

“เตี่ย อั๊วเจ็บ อั๊วกำลังจะตาย” จิงจูปวดแสบปวดร้อนไปทั้งนิ้ว ลามไปทั้งมือและแขน เริ่มวิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก ทั้งจากอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อพิษ และความกลัวสัตว์เลื้อยคลานเป็นทุนเดิม

“ไม่ตาย” ศรีนางปลอบ ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดอย่างใจเย็น สังเกตว่าบริเวณที่โดนกัดบวมเบ่งและแดงจัด เมื่อครั้งที่อยู่ริมคลองอิปัน หญิงสาวเคยช่วยตาสายรักษาคนที่โดนตะขาบกัดหลายครั้ง รู้ว่าต้องรับมืออย่างไร “แปะมีเหล้าขาวมั้ยคะ”

“มะ…มี” แปะโฮ่วทำอะไรไม่ถูก ละล้าละลังพักหนึ่ง ควานหาเหล้าจีนจากหัวเรือ มักแอบจิบระหว่างวันไม่ใครลูกสาวเห็น

“ร้อน…มันร้อนไปทั้งแขน” จิงจูร้องไห้เหมือนจะขาดใจ “ฮืออออ”

“จิงจูฟังนุ้ยนะ จิงจูหายใจเข้าออกช้าๆ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้ปวดแสบปวดร้อนใช่ไหม” จิงจูพยักหน้าทั้งที่น้ำตาอาบ พยายามไม่ร้องแต่ยังสะอึกสะอื้น ศรีนางประคองนิ้วมือสาวหมวย นึกถึงครูบาอาจารย์ก่อนท่องคาถาที่ตาสายถ่ายทอด “จิงจูหลับตา แล้วเชื่อนุ้ย…เชื่อว่านุ้ยช่วยได้”

คำพูดของศรีนางฟังดูประหลาด แต่คนเจ็บกลับวางใจ วางนิ้วบนฝ่ามือกร้านของอีกฝ่าย จู่ๆ ความรู้สึกทุรนทุรายร้อนผ่าวไปทั้งแขนก็ทุเลาลงอย่างน่าไม่น่าเชื่อ เหลือเพียงความรู้สึกตุบๆ ที่ปลายนิ้ว

“ดีขึ้นไหม”

จิงจูเลิกร้องไห้ แต่น้ำตายังอาบแก้ม สาวหมวยพูดไม่ออก เพียงพยักหน้าหงึกๆ สติสตังเริ่มกลับมา

“รอแป๊บนะ เดี๋ยวนุ้ยกลับมา” ศรีนางวิ่งหายไปทางริมรั้วติดกับบ้านยายประภา เพราะตัวเล็กแขนสั้นจึงกระโดดเหยงๆ เพื่อคว้าเถาตำลึง ความรีบร้อนทำให้เริ่มหงุดหงิด ตอนนั้นเองคนที่สูงกว่าก็เอื้อมเก็บยอดตำลึงให้

“ทำอะไร ขโมยตำลึงยายประภาหรือ” สารินถามไม่จริงจัง

“พี่ริน” ศรีนางดีใจที่ชายหนุ่มกลับมาทันเวลา “มาพอดีเลย เก็บตำลึงให้หน่อย เอามาทั้งหมดเลย” จากนั้นศรีนางก็เล่าเร็วๆ ว่าจิงจูโดนตะขาบกัด นิ้วบวม แดง บวกกับความกลัวจึงร้องไห้ลั่นบ้าน “พี่รินขยี้พอแหลกค่ะ ใส่เหล้าลงไปนิดนึง แปะโฮ่วมีเหล้าจีน”

“ปวดตุบๆ” จิงจูบอกตอนที่เห็นศรีนางกลับมาพร้อมสาริน ใบหน้าสาวหมวยซีดเผือด มีเหงื่อซึม

“ยังแสบร้อนอยู่ไหม”

“ไม่แสบ แต่ยังเจ็บ” จิงจูเช็ดน้ำตาพลางสูดน้ำมูก สายตาจับจ้องศรีนางเหมือนไม่เคยเห็น

“ตำลึงเป็นยาเย็น ช่วยเรื่องแสบร้อนได้ เหล้าก็ช่วยฆ่าเชื้อโรค จิงจูกินยาแก้ปวดแล้วนอนพักที่นี่ก่อน ดีขึ้นค่อยกลับ”

“ขอบใจลื้อมากอานุ้ย ตอนจิงจูอีล้อง อั๊วทำอาไลไม่ถูกเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะแปะ นุ้ยพอรู้เรื่องแมลงกัดต่อยอยู่บ้าง”

“เก่งมาก” สารินเอ่ยชม “แบบนี้ต้องตั้งราดมั้ย”

ศรีนางส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ความทรงจำที่มีร่วมกันปรากฏในห้วงความคิด “ไม่ต้องค่ะ ถ้าไม่แพ้ อาการพวกนี้จะหายเอง นุ้ยมีน้ำมันเสลดพังพอนติดมา เดี๋ยวแบ่งให้แปะโฮ่วเอาไปทาแผลให้จิงจู”

“ขอบใจๆ” แปะโฮ่วพนมมือไหว้ศรีนางปลกๆ

“แปะคะ ไม่ต้องไหว้ค่ะ นุ้ยกับจิงจูก็เพื่อนกัน อีกอย่างของพวกนี้ไม่ต้องซื้อ น้ำมันนี่ตาของนุ้ยก็สกัดเอง คืนนี้ทาน้ำมันนะคะ ถ้ายังบวมกลับมาหานุ้ย”

“น้องจะรักษายังไง” สารินกระซิบถาม

“เป่า” เป่าของศรีนางคือเป่าคาถา “แต่นุ้ยคิดว่าทาน้ำมันก็ดีขึ้น”

“ว่าที่คุณหมอ” สารินลดเสียงเพราะกลัวรบกวนจิงจูที่นอนพักบนชานเรือน มีแปะโฮ่วนั่งเฝ้าลูกสาวไม่ห่าง

“หมอบ้าน” ศรีนางแก้

“หมอที่รักษาคนก็เรียกว่าหมอ วันนี้รักษาจิงจูด้วยภูมิปัญญาไทยกับวิชาของตาสาย วันหน้าใส่กาวน์เดินราวน์วอร์ด”

“พี่รินว่านุ้ยจะสอบผ่านมั้ย” สาวน้อยถาม บางครั้งเธอก็มั่นใจว่าเตรียมตัวอย่างดี แต่บางทีก็กังวลสารพัด “ถ้านุ้ยไม่ได้เป็นหมอล่ะคะ”

“ความสำเร็จเป็นของคนพยายาม” สารินส่งยิ้มอ่อนโยนให้ศรีนาง เขาเห็นความมุ่งมั่นทุ่มเทของเธอมาตลอด “และน้องก็พยายามสุดความสามารถ”

“พี่รินเชื่อว่านุ้ยทำได้” ศรีนางตีความคำพูดของสารินได้อย่างนั้น ทว่าในความคิดกังวลของคนเตรียมตัวสอบปีหน้านั้น “แต่นุ้ยไม่ค่อยมั่นใจ”

“มีเวลาอีกห้าเดือน พี่ว่ากว่าจะถึงตอนนั้น น้องทำข้อสอบย้อนหลังได้สิบปีเลยมั้ง”

“โธ่ แค่นี้ก็จะอ้วกเป็นพีชคณิต” ศรีนางบ่นกระปอดกระแปด

“พี่ตั้งใจชวนน้องทำกระทง แต่คงไม่สะดวกแล้ว งั้นไปซื้อที่งานดีกว่า”

“งาน? พี่รินพานุ้ยไปงานลอยกระทงเหรอคะ”

“ใครๆ ก็ไปแดนเนรมิต แต่พี่จะพาไปลอยกระทงแถววัดภูเขาทอง”

“ภูเขาทอง” ศรีนางตาโต “วัดสระเกศน่ะหรือคะ”

“ใช่ครับ”

แปะโฮ่วเห็นว่าลูกสาวอาการดีขึ้นมากจึงคลายกังวล กระทั่งบ่ายแก่ๆ สองพ่อลูกก็พายเรือกลับบ้าน ก่อนไปแปะโฮ่วทำก๋วยเตี๋ยวเรือให้ศรีนางกับสารินชามใหญ่ โดยเฉพาะของศรีนางซึ่งเต็มไปด้วยลูกชิ้น ฝ่ายจิงจูตาแดง จมูกแดง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา

“นุ้ย ขอบใจมาก ต่อไปกินก๋วยเตี๋ยวพ่อฉัน เธอไม่ต้องจ่ายเงิน” จากเขม่น ไม่ชอบหน้า สาวหมวยประทับใจที่ศรีนางช่วยปฐมพยาบาล และทำอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าอาการแสบร้อน ทุเลาบรรเทาอย่างน่าอัศจรรย์

“ไม่เป็นไร ของซื้อของขาย” ศรีนางยิ้มให้จิงจู “ขอลูกชิ้นเยอะๆ ก็พอ”

“ย่ะ”

คล้อยหลังสองพ่อลูกแสงตะวันเริ่มโรยแสง สารินไล่ให้ศรีนางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปเที่ยวงานลอยกระทงที่วัดสระเกศฯ ตอนนั้นชายหนุ่มสังเกตเห็นหนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่ใต้ม้านั่งริมระเบียง หน้าปกเป็นรูปนกธรรมดาๆ สารินกรีดนิ้วบนสัน สุ่มเปิดหน้าหนึ่งจากกลางๆ เล่มพบว่า…

The activity, the orgasm was his, all his; she could strive for herself no more.

ใบหน้าชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ร้อนวูบ เมื่ออ่านเพียงประโยคเดียวในหนังสือภาษาอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสั่งห้ามขายในสหราชอาณาจักร สารินพลิกปกอีกครั้งแล้วอ่านชื่อเรื่องออกมาดังๆ

“Lady Chatterley’s Lover โดย D.H. LAWRENCE  (1)

“หนังสือนุ้ย” ศรีนางแย่งหนังสือจากมือสารินแล้วซ่อนไว้ข้างหลัง เธออ่านได้ไม่กี่หน้าเพราะต้องหยุดเพื่อแปล แต่รู้ว่าเป็นแนวโรมานซ์ “พี่รัญให้นุ้ยฝึกอ่านค่ะ”

“น้องอ่านถึงไหนแล้ว” สารินถามเสียงเบา

“อ่านไปไม่กี่หน้า จิงจูก็โดนตะขาบกัด” ศรีนางตอบเสียงเบากว่า

เงียบกันไปครู่หนึ่ง ในจังหวะที่แสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้า จันทร์วันเพ็ญเยี่ยมหน้าออกจากหมู่เมฆ แสงนวลส่งกระทบผิวแก้มแดงจางๆ เกิดภาพน่ามอง สารินสูดลมหายใจเข้าลึก จำข้อความในหนังสือได้ขึ้นใจ เขาพูดออกไปเพียงว่า…

“อ่านจบแล้วเล่าให้พี่ฟังด้วย”

ศรีนางเม้มปาก ให้ตายก็ไม่พูดเรื่องนี้เด็ดขาด

 

งานลอยกระทงวัดภูเขาทองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็มากับครอบครัว บ้างก็มากับเพื่อน และส่วนใหญ่ก็มาเป็นคู่…เหมือนเธอกับสาริน

“เดินเล่นก่อน มีของขาย มีเครื่องเล่น เหมือนงานวัดทั่วไป”

“ไม่เหมือน” ศรีนางพึมพำเหมือนละเมอ คนที่มาจากชนบทตื่นตาตื่นใจกับภาพงานวัดในเมืองหลวง โดยเฉพาะเจดีย์ยามต้องแสงไฟมองไกลๆ เหมือนอาบด้วยทอง สมชื่อ…ภูเขาทอง “งานวัดที่บ้านนุ้ยเล็กนิดเดียว ขายถั่วต้ม ข้าวหลาม ข้าวเหนียวกวน กับน้ำตาลปั้น ไม่มีเมียงู บ้านผีสิง ตรงนั้นคืออะไร ว้าว นั่นรถไต่ถัง ไปนะๆ นุ้ยอยากดู”

“ใจเย็น กินสายไหมก่อน” สารินยิ้มกว้างเมื่อเห็นประกายความสุขวิบวับแวววาวในดวงตากลม เธอสุขเขาก็สุข

ในมือศรีนางเป็นขนมสายไหม เจ้าตัวกระโดดบ้างชะเง้อบ้างเมื่ออยู่รอบนอกมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงโห่อย่างตื่นเต้น เจ้าของร่างเล็กพยายามแทรกตัวเข้าไปด้านใน แต่ทำไม่ได้

“ไม่ดูแล้ว” ใบหน้าสวยง้อง้ำ

“อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิ ทำไมวันนี้ความอดทนต่ำจัง” สารินคว้าข้อมือศรีนาง “รอให้หมดรอบนี้ก่อน เดี๋ยวคนข้างในก็ออกมา”

“ไม่อยากรอ มีอย่างอื่นให้ดู ให้เล่น อยากเข้าบ้านผีสิง อยากเห็นเมียงู อยากนั่งชิงช้าด้วย”

“ได้ดูครบแน่ๆ แต่น้องต้องใจเย็นๆ” สารินทั้งกล่อมทั้งหลอกล่อเหมือนพ่อพาลูกสาวมาเที่ยว

“ขอโทษพี่ริน นุ้ยตื่นเต้นค่ะ” ศรีนางทำหน้าเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่น เผลอเอาแต่ใจทั้งที่ไม่ควร หญิงสาวจึงสงบเสงี่ยม ทว่าครู่เดียวก็สนใจเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นของผู้คน

สารินตามใจศรีนางทุกอย่าง ทำหน้าที่จ่ายเงินอย่างยินดี งานวัดเป็นงานของคนทุกวัย ของกิน เครื่องเล่น รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ราคาไม่แพง

“ขึ้นไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุข้างบนนะ เสร็จแล้วไปลอยกระทงกัน”

เพราะที่นี่เป็นหนึ่งจุดหมายวันลอยกระทง ผู้คนจึงเบียดเสียดแออัด สารินกลัวพลัดหลงกันจึงถือวิสาสะกุมมือศรีนางไม่ปล่อย จนขึ้นถึงยอดภูเขาทอง กราบไหว้ขอพรนมัสการพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุในเจดีย์บนสุวรรณบรรพต

ศรีนางอธิษฐาน…ขอให้การสอบราบรื่น

“พี่รินขออะไร” สาวน้อยถามคนข้างๆ

“ขอให้สิ่งที่น้องขอสำเร็จ สมความปรารถนา”

“ได้ยังไง ทำไมไม่ขอพรให้ตัวเองเล่า ขอให้คนอื่นทำไม”

สารินอยากตอบว่าศรีนางไม่ใช่คนอื่น แต่ไม่ได้พูดเช่นนั้น “ช่วยขอพรอีกแรงไง”

“งั้นปีหน้านุ้ยจะมาขอพรให้พี่ริน”

“ปีหน้า…เราจะมาลอยกระทงด้วยกันอีกใช่ไหม”

ศรีนางชะงัก เธอมีสารินอยู่ในชีวิตจนเคยชิน เขาเป็นเหมือนครอบครัว เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเธอ ความคิดนั้นทำให้หญิงสาวหวาดกลัว กลัวว่าถ้าวันนั้นมาถึงจะอยู่อย่างไรโดยไม่มีสาริน

“พี่รินอย่าใส่ใจคำพูดนุ้ยเลยค่ะ” พูดจบศรีนางก็เดินลงภูเขาทอง ทิ้งให้ชายหนุ่มเดินตามเงียบๆ

สองเท้าสารินหนักอึ้ง เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าใจหาย เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกรักข้างเดียว ทว่าความรักของเขาคือการได้เห็นเธอมีความสุขและประสบความสำเร็จ ชายหนุ่มสูดหายใจเต็มปอด ลมราตรีพัดผ่านวูบหนึ่ง เขาคงเป็นได้แค่นี้…แค่ลมใต้ปีก

“ลอยด้วยกันนะคะ ซื้ออันเดียวพอ วันนี้นุ้ยใช้เงินพี่รินเยอะแล้ว” ศรีนางชวนคุยเมื่อเห็นสารินเงียบตั้งแต่ลงจากภูเขาทอง

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มให้สาวน้อยอธิษฐานก่อน ศรีนางใช้เวลาไม่นาน คงเพราะเธอมีเป้าหมายชัดเจน จากนั้นสารินยกกระทงใบตองอันเล็กขึ้นเสมอศีรษะ ไม่ได้เอ่ยขอขมาพระแม่คงคาหรือพูดอะไรทำนองนั้น ไม่คาดหวังว่าชาติหน้าจะมีจริง ชายหนุ่มเพียงตั้งจิตแล้วอธิษฐาน…

‘ขอให้ปีหน้าเราได้มาลอยกระทงด้วยกันอีก’

“อุ๊ย” ศรีนางโดนเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่เบียดจนเกือบล้ม แต่ยึดท่อนแขนสารินได้ทัน “เด็กเปรต ชนนุ้ยแล้วไม่ขอโทษสักคำ”

“เปรตต้องวัดสุทัศน์นะ” สารินแอบขำ วันนี้ศรีนางอารมณ์ร้อนจริงๆ “ปีนี้คนเยอะมาก อย่าหงุดหงิดเลย บางทีเราก็เผลอกระแทก ชน เหยียบเท้าคนอื่นเหมือนกัน ไม่มีใครตั้งใจหรอก”

“อยู่กับพี่รินนุ้ยเหมือนนางร้าย”

“อยากเดินต่อไหม” สารินถาม

“กลับบ้านดีกว่า เดินจนขาแข็งหมดแล้ว”

“วันนี้สนุกมาก พี่ดีใจที่ได้ลอยกระทงกับน้อง”

‘ใจ’ ศรีนางพองโตคับอก มันเต้นตึกตักเพียงเพราะประโยคสั้นๆ ของสาริน จะเป็นไปได้ไหมนะ…ปีหน้าและปีต่อๆ ไป ให้เราได้ลอยกระทงใบเดียวกันอย่างนี้

 

เชิงอรรถ : 

(1) ฉบับแปลเป็นภาษาไทยใช้ชื่อ ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์



Don`t copy text!