ศรีนาง ตอนที่ 9 : ทวงหนี้

ศรีนาง ตอนที่ 9 : ทวงหนี้

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“นุ้ยขอ…ขอเป็นเมียพี่รินได้ไหม”

“อะ…อะไรนะ” สารินใช้ฝ่ามือยันพื้น ยกตัวขึ้นมาอีกครั้งพลางถามซ้ำ เมื่อกี้ชายหนุ่มเชื่อว่าตัวเองน่าจะหูฝาด

“พี่รินมีคนรักหรือยัง” ศรีนางกัดริมฝีปาก สบตาสารินด้วยดวงตาคาดคั้นจะเอาคำตอบ ในเมื่อเขาพูดเองว่าติดหนี้เธอ เพราะฉะนั้นใจต้องกล้า หน้าต้องด้าน เพื่อ ‘ทวงหนี้’ ด้วยวิธีนี้ “ถ้าพี่ยังไม่มีเมีย…”

“น้องนุ้ย…”

“นุ้ยขอมากไปหรือพี่ริน” ศรีนางก้มหน้า ความหวังริบหรี่จนอยากกัดลิ้นตาย เด็กสาวแอบได้ยินป้ารุ่งกระซิบกับยายจันทร์ว่ารับเงินกำนันเกษมมาจำนวนหนึ่ง พอดีกับอีกฝ่ายอยากได้คนช่วยดูแลลูกชายที่เจ็บหนัก แผลที่โดนไฟไหม้ต้องดูแลใกล้ชิด ได้ยินว่าเตียงคนไข้ของคมสันต์ต้องใช้ผ้ายางปูทับ ไม่อย่างนั้นเนื้อที่ไม่มีผิวหนังห่อหุ้มจะยากต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด

“ไม่มีครับ พี่ไม่มีใคร แต่พี่ไม่…”

ใบหน้าสาวน้อยหมองลงเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ รู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสม ไม่ควรคิดอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ทว่าเธอจนตรอกสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ “ขอโทษค่ะ พี่รินทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องนี้ได้ไหม นุ้ยละอายใจที่พูดไม่คิด ทำให้พี่ลำบากใจ พรุ่งนี้พี่ก็กลับบ้านพี่ นุ้ยก็ต้องไปเหมือนกัน”

“พี่หมายถึงจู่ๆ น้องจะมาเป็นมะ…คือเราจะเป็นสามีภรรยากันได้ยังไง”

“นุ้ยจะบอกแม่เฒ่าว่าเรา…เอ่อ…” พวงแก้มสาวน้อยขึ้นสีระเรื่อ เธอกลั้นใจพูด “ได้เสียกันแล้ว”

“น้องเป็นผู้หญิง…น้องจะ…สะ…เสียหาย” สารินซ่อนใบหน้าในความมืด คนอายุมากกว่าก็เขินจนพูดตะกุกตะกักไม่เป็นคำ

“ก็แค่เสียหาย แต่นุ้ยไม่อยากเสียใจไปตลอดชีวิต”

ในวัยยี่สิบสี่สารินไม่เคยมอบหัวใจให้ใคร เมื่อโดนเด็กอายุสิบแปดขอให้รับเป็นเมียถึงกับไปไม่เป็น วิชาทหารที่ร่ำเรียนมานานหลายปีก็ไม่เคยสอนเรื่องนี้

“นุ้ยรู้ว่าพี่ลำบากใจ ขอร้องพี่รินแกล้งเออออยอมรับกับแม่เฒ่าว่าได้นุ้ยเป็นเมียได้ไหม” ศรีนางขยับลงจากบันได ทรุดนั่งบนพื้นใกล้สารินแล้วพนมมือไหว้ “นะคะ”

“ไม่ต้องไหว้” สารินรวบกำมือบาง อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทน เมื่อลึกๆ แล้วมีใจให้สาวน้อยที่ช่วยชีวิต แต่สิ่งที่ดึงรั้งชายหนุ่มคือเกียรติและศักดิ์ศรีของศรีนาง สารินใช้เวลาคิดและตัดสินใจไม่นาน “อะไรที่น้องต้องการ พี่ให้ได้ทุกอย่าง ถ้าน้องไม่อยากอยู่ที่นี่…”

“คะ?” แววตาศรีนางฉายแววฉงน ดวงตากลมโตค่อยๆ เบิกกว้าง เมื่อคิดและจินตนาการไปเอง “พี่รินจะพานุ้ยหนีไปเหรอ” สาวน้อยส่ายหน้าช้าๆ “นุ้ยไม่อยากได้ชื่อว่าหนีตามผู้ชายเหมือนแม่…แม่เฒ่าไม่ชอบพ่อ กีดกัน จะยกแม่ให้ลุงกำนัน แม่ก็เลยต้องหนีตามพ่อ”

สารินครางเบาๆ ในคอ เข้าใจแล้วว่าทำไมยายจันทร์จึงอยากยกศรีนางให้ลูกชายกำนันเกษมเพราะอดีตเคยผิดหวังจากลูกสาวมาก่อนนี่เอง

“พี่ตั้งใจขออนุญาตตาสายกับยายจันทร์” สารินยังพูดไม่ทันจบศรีนางก็เอ่ยแทรก เธอรู้นิสัยยายจันทร์ดี

“ไม่มีทาง แม่เฒ่าไม่ยอมให้นุ้ยไปกับพี่รินแน่ๆ อีกอย่างนุ้ยไม่อยากหนี อยากให้แม่เฒ่า ป้ารุ่ง ลุงกำนัน ป้าพะยอม พี่สันต์…” ศรีนางหลุบตาพลางสารภาพ “นุ้ยอยากให้ทุกคนรู้ว่านุ้ยไม่ชอบพี่สันต์ ไม่อยากหมั้น ไม่อยากแต่ง”

“พี่ขอเกริ่นกับยายจันทร์ก่อนได้ไหม” ชายหนุ่มยังคงพยายาม

“ถ้าพี่รินทำแบบนั้น แม่เฒ่าคงพานุ้ยไปให้ลุงกำนันตอนนี้เลย แม่เฒ่าไม่ไว้ใจพี่รินอีกแล้ว” เพราะบุคลิกสุภาพเรียบร้อยของสาริน ทำให้ยายจันทร์ไม่นึกระแวงสงสัยว่าทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน

“แต่ว่า…”

“นุ้ยขอไปกรุงเทพพร้อมพี่รินได้ไหม รบกวนพี่จ่ายค่ารถไฟให้นุ้ย สาบานว่าจะคืนเงินให้พี่จนครบ ยังไงนุ้ยก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ขอสักครั้งให้นุ้ยได้เลือกเส้นทางชีวิตตัวเอง”

คำว่า ‘เลือกเส้นทางชีวิต’ กระทบใจสารินอย่างจัง ชายหนุ่มเต็มใจและยินดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ตัดสินใจ ‘เลือก’ ชีวิตตัวเองเช่นกัน เลือกโดยไม่เกรงกลัวว่าทางบ้านเตรียมคู่หมั้นคู่หมายไว้แล้ว จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดของน้าชาย

ริน…ชีวิตเป็นของเรา

“น้องจะไปอยู่ที่ไหน เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวมันอันตราย”

ศรีนางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เอาเข้าจริงเธอไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น ขนาดเงินจ่ายค่าเดินทางยังไม่มี

“ดูเหมือนว่าเราไม่มีทางเลือก” สารินคิดใคร่ครวญ เวลาเหลือน้อยเต็มที คงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น “น้องนุ้ยไว้ใจพี่ไหมครับ”

“นุ้ย…” สาวน้อยวัยสิบแปดยังไม่ตอบ เธอรู้จักสารินเพียงช่วงสั้นๆ แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจคือเขาเป็นคนมีน้ำใจและเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว “ค่ะ นุ้ยไว้ใจพี่ริน”

“ถ้าอย่างนั้น เชื่อคำพูดของพี่…ชีวิตพี่เป็นของนุ้ย ให้พี่ดูแลน้อง พี่จะให้นุ้ยได้เรียนมหาวิทยาลัย”

ศรีนางกะพริบตาปริบๆ ใช้เวลาหลายอึดใจกว่าจะเข้าใจว่าสารินพูดอะไร แม้อายุเพียงสิบแปด แต่ผ่านประสบการณ์ชีวิตผกผันหลายครั้ง สาวน้อยรู้ดีว่าการจะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาต้องมีบางอย่างแลกเปลี่ยนเสมอ ด้านหลังสารินเป็นต้นหางนกยูงสูงใหญ่ ดอกสีแดงเจิดจ้ายังแจ่มชัดแม้รอบกายเริ่มมืดสลัว ที่ใต้ต้นซึ่งกลีบดอกบอบบางปลิดปลิวทิ้งกิ่งก้าน ศรีนางตัดสินใจถามเรื่องสำคัญ

“พี่รินจะเอานุ้ยทำเมียจริงๆ เหรอ”

สารินหลุดขำพรืด ใครสั่งใครสอนให้ใช้คำพูดแบบนี้กันนะ ชายหนุ่มถอนหายใจ ให้คำตอบที่บอกศรีนางและย้ำเตือนตัวเอง

“นุ้ยยังเด็กมากครับ”

คนฟังพยักหน้า เข้าใจไปเองว่าเขาคงไม่นึกพิศวาสเด็กบ้านนอกเนื้อตัวมอมแมมอย่างเธอ แต่ที่ยอมเพราะสารินเป็นคนดี เขาสำนึกบุญคุณที่เธอช่วยชีวิต ด้วยเหตุผลนี้ศรีนางจึงกลั้นใจทำเรื่องน่าอายและเห็นแก่ตัว

“ขอบคุณค่ะ”

“อยู่ในฐานะภรรยาก็ดีเหมือนกัน ดีกับเราทั้งคู่”

“คะ?”

“แน่ใจนะ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”

ศรีนางพยักหน้า แววตามุ่งมั่นแน่วแน่ มีความหวังตั้งแต่สารินบอกว่าจะช่วยให้เธอได้เรียนต่อ “ถ้าอย่างนั้น…เรามาเป็นผัวเมียกันนะคะ”

นายร้อยหนุ่มส่ายหน้าระอากับคำพูดคำจาตรงไปตรงมาแต่ก๋ากั่นอยู่ในที ชายหนุ่มไม่รู้อนาคต แต่รู้ว่าเขามีความสุขกับการเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง สารินเชื่อว่าชีวิตหลังจากนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

สี่นาฬิกา

สารินค่อยๆ ลุกจากที่นอน ชายหนุ่มพับผ้าห่มวางบนหมอน คว้าเป้มาสะพายบนไหล่ ก้าวย่างอย่างเงียบกริบ ค่อยๆ ลงจากเรือนใหญ่ริมคลอง เดินลอดใต้ถุนบ้าน สาวเท้าผ่านลานดิน ตรงไปยังเรือนหลังเล็กที่เคยเป็นยุ้ง ชายหนุ่มถอดรองเท้าคอมแบต ตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดทบทวนดีแล้ว

“พี่ริน” เมื่อถึงเวลานัดหมาย ศรีนางเอ่ยถามเงาร่างตะคุ่มๆ ที่ด้านนอกเบาๆ

“ครับ พี่เอง”

สาวน้อยวัยสิบแปดสูดลมหายใจเข้าลึก เปิดประตูต้อนรับชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ เมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่เล็กแคบ สองหนุ่มสาวเลือกนั่งคนละมุม ตรงกลางเป็นฟูกเล็กๆ กับมุ้งเก่าๆ เป็นครั้งแรกที่สารินได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของศรีนาง จากเงอะงะขัดเขินกับความใกล้ชิด กลายเป็นเข้าอกเข้าใจสาวน้อยผู้มีชะตาอาภัพ

“ขอบคุณพี่ริน” ศรีนางนั่งกอดขาวางคางบนเข่า เธอไม่ได้จุดตะเกียง อาศัยจันทร์ครึ่งดวงบนท้องฟ้าที่ให้แสงสลัวๆ ลอดผ่านช่องว่างระหว่างหลังคากับฝาผนัง “นุ้ยขอโทษล่วงหน้าค่ะ พี่รินโดนแม่เฒ่าด่าแรงแน่ๆ”

“น้องนุ้ยไม่ต้องกังวลครับ”

คำพูดเพียงหนึ่งประโยคกับน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจทำศรีนางผ่อนคลาย เธอหายใจหายคอสะดวกขึ้น ความตื่นเต้นทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน สาวน้อยรู้สึกอ่อนล้าแต่ยังฝืนทนเพราะอีกไม่นานก็เช้า ระหว่างรอ ศรีนางพยายามชวนสารินคุยเพื่อลดบรรยากาศอึดอัดขัดเขิน

“เป็นผัวเมียกันต้องทำยังไง” คำถามไร้เดียงสาของสาวน้อยทำคนฟังเลิ่กลั่กและไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นสักนิด

“อ่า…เอ่อ…ก็” โหนกแก้มสารินเปลี่ยนเป็นสีเข้มท่ามกลางความมืด “นอนด้วยกัน” ชายหนุ่มเหงื่อซึม หน้าร้อนหูร้อนไปหมด

“แล้วเราต้องนอนด้วยกันไหมพี่ริน” ศรีนางถามเสียงเบา

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มพรูลมหายใจออกมาหนักๆ “แค่เราอยู่ด้วยกันในนี้จนถึงเช้า ใครเห็นก็เข้าใจผิด คิดว่าเราสองคน…เอ่อ…”

“ได้เสียกันแล้ว” ศรีนางเสริมเมื่อสารินอึกอักไม่กล้าพูด เขาเป็นแบบนี้เสมอ สุภาพ ใจดี และให้ความรู้สึกอุ่นใจ

“ครับ ทำนองนั้น”

“นุ้ยนอนไม่หลับเลยค่ะ ตื่นเต้น กังวลไปหมด” ศรีนางเริ่มหาวเมื่อใกล้รุ่ง

“น้องนอนสักงีบไหม พี่ว่าอีกสักพักกว่าคนบนเรือนจะมาเจอ” ชายหนุ่มที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำเรื่องผิดแปลกแหกกฎ สารินจึงตื่นเต้นไม่แพ้ศรีนาง เขาก็นอนไม่หลับเช่นกัน ลุ้นระทึก ใจเต้นตึกตักกว่าตอนที่ฝึกภาคสนามเสียอีก

ยามเมื่อจันทร์ครึ่งดวงอ่อนแสงลง ศรีนางใช้ไม้ขีดจุดเทียนเล่มเล็ก แสงเพียงน้อยนิดส่องให้เห็นสองคนในพื้นที่เล็กแคบ น่าแปลกที่สาวน้อยเลิกกังวลเมื่อมีสารินอยู่ข้างๆ ความรู้สึกอุ่นใจ วางใจ ทำให้เลิกวิตก ตาโตหรี่ปรือ สัปหงกหลายครั้ง

“น้องนอนเถอะ พี่จะนั่งอยู่ตรงนี้”

ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ศรีนางถือแท่นเทียน แล้วเดินด้วยเข่าข้ามห้องมาหาสาริน

สาวน้อยสบตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายใต้แสงสลัวสีส้มจางๆ เธอมิอาจซ่อนผิวแก้มแดงระเรื่อ ตอนตัดสินใจเอื้อนเอ่ย…

“พี่ริน…นอนด้วยกันนะคะ นอนที่หมายถึงนอน”

“น้องนุ้ย…เราไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้” ใบหน้าสารินเปลี่ยนเป็นสีเข้มแข่งกับแสงเทียน

“นุ้ยเห็นพี่รินหาว” ศรีนางเลิกมุ้ง คลานไปนั่งบนฟูก เปิดมุ้งค้างไว้เพื่อรอชายหนุ่ม “เข้ามาเถอะค่ะ อย่าให้นุ้ยรู้สึกผิดกับพี่รินไปมากกว่านี้เลย เช้านี้มีศึกหนักรอเราอยู่ เพราะฉะนั้นต้องนอนพักเพื่อให้มีแรงค่ะ”

ตอนแรกสารินลังเล ทว่าสุดท้ายเขาทิ้งเหตุผลร้อยพันอย่างไว้ข้างหลัง รู้ตัวอีกทีก็คลานเข้ามุ้งเสียแล้ว

ถึงตอนนี้ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักว่า….

เรือนข้าวว่าเล็ก แต่ในมุ้งเล็กกว่า

“เล็กหน่อยแต่นอนได้ค่ะ” ศรีนางให้สารินนอนก่อน เธอแอบยิ้มเมื่อเห็นปลายขาชายหนุ่มยาวเลยฟูก หญิงสาวเป่าดับเทียน อาศัยความเคยชินล้มตัวลงนอน ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใดก็รู้ว่าเกร็งพอกันทั้งคู่ สองหนุ่มสาวขยับตัวจนชิดอีกด้าน เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ราวพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

ความง่วงสะสมทำสารินกับศรีนางดำดิ่งในห้วงลึกแห่งนิทรารมณ์ สาวน้อยพึมพำขอโทษ ส่วนนายทหารหนุ่มหลับไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

 

ฝนพรำยามย่ำรุ่งโปรยปรายเพียงวูบคล้ายมาทักทายแล้วจางหายไป ทิ้งไว้เพียงหมอกหนาห่มคลุมทั่วทั้งบริเวณกับร่องรอยฉ่ำชื้นชุ่มเย็น เสียงแม่ไก่ร้องกระต๊ากๆ ตามด้วยเสียงจิ๊บๆ ของลูกไก่ที่เดินตามแม่มัน นกน้อยกระพือปีกบินออกจากรังส่งสัญญาณว่าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว

เพราะสายฝนและหมอกจางๆ ทำให้ผู้คนไม่รีบร้อนลุกจากที่นอนเช่นทุกเช้า ยายจันทร์ไม่ได้ลุกมากวาดลานดิน และไม่มีใครใส่ใจว่าเหตุใดสาวน้อยบนเรือนข้าวไม่ออกมาหุงหาอาหาร

ศรีนางยังหลับสบายด้วยความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ลมหายใจของสาวน้อยเข้าออกสม่ำเสมอ โดยไม่รู้ตัว เธอเผลอเบียดกายเข้าหาไออุ่น ศีรษะเล็กไม่ได้อยู่บนหมอน แต่ซุกซบตรงอกสาริน

ชายหนุ่มตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงฝนโปรย แต่ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวสาวน้อยจะตื่น ยามหลับศรีนางน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าเรียวประกอบด้วยคิ้วคมได้รูป ตาโต แพขนตางอนยาว พวงแก้มอิ่มอย่างเด็กที่กำลังโตเป็นสาว รวมถึงจมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากอิ่มเต็ม เพราะความใกล้ชิด ปลายจมูกสารินอยู่เหนือหน้าผากมน ได้กลิ่นแป้งเด็กบนผิวเนียนละเอียด และกลิ่นหอมจางๆ จากเรือนผมดกดำ

ในเมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้ สารินยอมรับว่าหวงแหนคนในอ้อมแขน เขาเลือกแล้ว เลือกโดยไม่คาดหวังว่าจะถูกเลือกหรือเปล่า

ชายหนุ่มครุ่นคิด…โชคชะตาชักนำให้เขามาไกลถึงที่นี่ เพื่อให้ได้พบกับเธอ…ศรีนาง

เสียงย่ำเท้า เสียงพูดคุย รวมถึงเสียงแม่ไก่กระพือปีกทำคนหลับสนิทสะดุ้งตื่น สาวน้อยตกใจที่ตื่นสายจนด้านนอกสว่างจ้า แต่ตกใจกว่าเมื่อระลึกว่านอนอยู่บนฟูกกับใคร แถมเธอยังซุกกายหาไออุ่นในเช้าที่อากาศเย็นชื้นกว่าทุกวัน

“อรุณสวัสดิ์” สารินเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

“เช้าแล้ว” ผิวแก้มศรีนางร้อนผ่าว ทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่โตเป็นสาวยังไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหน แต่นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งมวลเธอเป็นคนเลือกเอง “นุ้ยเผลอหลับ”

“อืม หลับสบายเลย” สารินเย้าเสียงกลั้วหัวเราะ

“ลุกแล้วๆ” ศรีนางเผลอทำปากยื่นใส่คนช่างเย้า ยังไม่ทันพาตัวออกห่าง เสียงโครมครามก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำลายมนตร์ขลังบางอย่าง

“นุ้ย เปิดตู” เสียงยายจันทร์ตวาดลั่นอย่างกราดเกรี้ยวอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นรองเท้าคอมแบต “เกือกใคร กูถามว่าเกือกใคร เปิดตูเร็วๆ”

“พร้อมมั้ย” สารินจับไหล่เล็กๆ ที่เริ่มสั่น แม้ศรีนางจะกล้าหาญ แต่ความจริงเธอเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปี

อันที่จริงศรีนางยังไม่พร้อม ทว่าบานประตูที่ไม่ได้แข็งแรงนักหลุดออกมาทั้งกรอบ ยายจันทร์กับป้ารุ่งถลาขึ้นมาบนเรือนข้าว ทั้งคู่ตาเหลือกถลนจนแทบออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นว่าสองหนุ่มสาวตระกองกอดกันบนฟูก

“อีเปรต อีฉิบหาย กรด (1) เหมือนแม่มึง” ยายจันทร์ชี้หน้าด่า ส่วนป้ารุ่งเลิ่กลั่กมองศรีนางสารินที่กอดกันแนบแน่นสลับกับกำนันเกษมและภรรยาซึ่งยืนอึ้งอยู่ด้านล่าง ยายจันทร์โกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ หญิงชราปรี่เข้าไปกระชากแขนหลานสาวแล้วฟาดมือใส่ข้างแก้มและกกหูศรีนางอย่างแรง จนหญิงสาวล้มกระแทกพื้น

“อย่าครับ อย่าตีนุ้ย ผมผิดเอง” สารินเสียใจที่คว้าตัวสาวน้อยไม่ทัน สงสารคนตัวเล็กที่ล้มคว่ำอยู่บนพื้น ชายหนุ่มเอาตัวเข้าขวาง แต่ยายจันทร์ไวกว่าใช้สองมือจิกแล้วกระชากผมศรีนางอย่างแรงจนเด็กสาวหัวสั่นหัวโคลน

สามคนยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กลางเรือน ยายจันทร์ทั้งโมโห ทั้งเสียหน้า นางรีดเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีตบตีหลานสาวหลายที กว่าสารินจะคว้าตัวศรีนางออกมาได้ สาวน้อยก็โดนตบโดนตีจนแก้มนวลปรากฏรอยนิ้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวแดงเป็นจ้ำ คนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์รุนแรงตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

“ยายจันทร์อย่าตีน้องนุ้ยเลยครับ ผมผิดเอง ผมขอรับผิดคนเดียว”

“ไอ้ริน มึงมันคนอุบาทว์ กินบนเรือนขี้บนหลังคา กูให้ข้าวให้น้ำ ไอ้สายรักษามึงจนหาย ไม่โร้บุญคุณ มึงมันไอ้ฉิบหาย”

“ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับ ผมขอรับผิดชอบ ตอนนี้น้องนุ้ยเป็นเมียผมแล้ว” สารินสบตายายจันทร์ ป้ารุ่ง และอีกสองคนข้างนอก

ยายจันทร์หายใจแรง โกรธขึ้ง คับแค้นจนอยากตีศรีนางให้ตายคามือ ทว่านางต้องยอมรับความจริง…นุ้ยเป็นเมียไอ้ริน

ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเสียแล้ว แถมเหตุการณ์ทั้งหมดยังเกิดขึ้นต่อหน้ากำนันเกษมกับเมีย ความหวังจะดองกันดับวูบเพราะไอ้เวรสารินคนเดียว

“มึงจะรับผิดชอบพันพรือไอ้ริน ตังค์ก็ไม่มีสักบาท”

ศรีนางโดนทุบโดนตีก็จริง แต่เธออดทนไม่ร้องไห้สักแอะ ทว่าประโยคของยายจันทร์ทำเด็กสาวน้ำตาหยด สำหรับคนเป็นยาย เธอมีค่าเพียงสิ่งของเท่านั้น

“ตอนนี้ผมไม่มีเงินติดตัว แต่สัญญาว่าจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอให้ถูกต้องตามประเพณี” น้ำเสียงชายหนุ่มจริงจังและจริงใจ เขาใจหายวาบเมื่อเห็นตาสายมองด้วยสายตาผิดหวัง สารินจึงพนมมือไหว้ขอโทษคนช่วยชีวิต “ตาสายครับ ผมขอโทษ ผมขอดูแลน้องนุ้ย”

“มึงเห็นกูโม่แรงเหอะ” ยายจันทร์ชี้หน้าด่าสาริน ไม่ยอมฟังชายหนุ่มพูดจบ “ไอ้ริน มึงได้มันแล้ว มึงหลบบ้าน ทิ้งอีนุ้ยไว้กับกู มีลูกให้กูเลี้ยงพันนั้นม่าย”

สารินนิ่งเพราะกำลังเรียบเรียงคำพูดรัวเร็วของยายจันทร์ แต่เขาจับคำจนพอเข้าใจความหมาย ชายหนุ่มกุมมือสั่นๆ ของศรีนางแน่นตอนที่ประกาศต่อหน้าทุกคน

“ผมไม่วันทิ้งน้องไว้ที่นี่…นุ้ยจะไปอยู่กับผมครับ ไม่ใช่เพราะต้องรับผิดชอบ แต่เพราะผมรักน้องนุ้ย”

 

เชิงอรรถ :

(1) ร่าน

 



Don`t copy text!