ศรีนาง ตอนที่ 15 : อิสระ

ศรีนาง ตอนที่ 15 : อิสระ

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

อิทธิพลของพายุดีเปรสชันทำให้ฝนยังตกในบางพื้นที่ โชคดีที่ย่านนี้ไม่มีปัญหาน้ำท่วม ทว่าศรีนางกับสารินกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ทั้งคู่เพิ่งตระหนักว่า…จะหลับนอนอย่างไรในห้องเล็กๆ

เป็นศรีนางที่เลี่ยงมานั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ แอบชำเลืองมองเจ้าของห้องก่อนดึงสายตากลับ ส่วนสารินซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเตรียมเข้านอนนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ปลายเตียง

บรรยากาศระหว่างสองหนุ่มสาว อบอวลด้วยความอึดอัดระคนขัดเขิน เหมือนเช้ามืดในเรือนข้าวเมื่อหลายวันก่อนไม่มีผิด

“หนังสือพี่รินเยอะจัง” ศรีนางเอ่ยทำลายความเงียบ ทำทีเป็นสนใจชั้นหนังสือทั้งที่สำรวจหมดแล้ว

“อยากอ่านเล่มไหนก็หยิบอ่านได้เลยนะ” สารินค่อยผ่อนคลายเมื่อมีเรื่องให้คุยกัน

“นุ้ยอยากได้หนังสือเตรียมสอบกับพวกข้อสอบเก่าค่ะ” คราวนี้ศรีนางเลิกสนใจหนังสือบนชั้น เธอหมุนตัวมามองหน้าเจ้าของห้อง พวงผมดกดำสยายคลุมบ่า บางส่วนระกรอบหน้า ละมุนละไมจนคนมองไม่ยากถอนสายตา

“พรุ่งนี้พี่จะพาไปร้านหนังสือ ร้านใหญ่มาก มีทุกอย่างที่น้องอยากได้” สารินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของศรีนาง ทั้งๆ ที่ยังอยากคุย อยากมองหน้า อยากฟังเสียง แต่เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอติดกันหลายวัน บวกกับอาการหลังเท้าบวม ยาที่กินก่อนนอนทำชายหนุ่มตาปรือ สารินกลั้นหาว ไม่อยากนอนตอนนี้ แต่สภาพร่างกายเริ่มไม่ไหว

“พี่รินนอนได้แล้วค่ะ เอาหมอนข้างรองขา ยกเท้าสูง พรุ่งนี้ก็หายบวม” ศรีนางสั่ง

“น้องนุ้ย…อ่า…คือว่าสะดวกมั้ย พี่นอนบนพื้นดีกว่า” สารินพูดตะกุกตะกัก คว้าหมอนมาถือ ทำท่าจะลงไปนอนบนพื้นข้างเตียง

“ห้าม…ห้ามพี่รินนอนบนพื้นนะ ยังไม่หายดี อีกอย่าง…นี่ก็ห้องของพี่ อย่าลำบากเพราะนุ้ยอีกเลย”

“แต่…” สุภาพบุรุษเจ้าของห้องมีสีหน้าลำบากใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วงนุ้ยค่ะ”

สารินไม่มั่นใจว่าประโยคนั้นแปลว่าอะไร ภาพสุดท้ายก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอุ่นนุ่มคุ้นเคย คือสาวน้อยตากลมนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ เพราะหนุนหมอนใบเดียวกัน จึงได้กลิ่นแป้งเด็กผสมผสานกับกลิ่นหอมอ่อนไม่คุ้นชิน ระเรื่อยระรินติดปลายจมูก สารินหลับตา พึมพำบอกตัวเอง…

หอมเหลือเกิน

เจ้าของกลิ่นแป้งเด็กผสมกลิ่นดอกไม้ไล่นิ้วบนสันหนังสือทีละเล่ม ศรีนางกระตือรือร้น เธออยากอ่านหนังสือทุกเล่มบนชั้น!

หญิงสาวเหลือบมองเจ้าของห้องแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสารินหลับตา สีหน้าผ่อนคลาย ลมหายใจสม่ำเสมอ เธอตัดสินใจเลือกหนังสือหนึ่งเล่มจากบนชั้น หน้าปกเป็นภาพผู้หญิงญี่ปุ่น…เธอเลือกอ่าน เมืองหิมะ หรือ Snow Country ของยาสึนาริ คาวาบาตะ นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เธอพลิกอ่านปกหลัง ก่อนเริ่มอ่านบทที่หนึ่ง…

เสียงพลิกกระดาษถูกแทรกด้วยเสียงเคาะประตู ศรีนางวางหนังสือ มองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนลุกไปเปิดประตู สองคนที่ปรากฏตรงหน้าเวลานี้ ทำหญิงสาวประหลาดใจ

“รินล่ะ” พันเอกดนูถาม ด้านหลังเป็นคุณนายลออที่ยืนกอดอกใบหน้านิ่งเรียบ

“พี่รินหลับแล้วค่ะ เท้าบวม นุ้ยก็เลยให้กินยา”

“รินบอกเธอหรือยัง”

“คะ เรื่องอะไรหรือคะ”

สีหน้าแววตาของเด็กสาวอายุสิบแปด ทำให้พันเอกดนูต้องสูดหายใจเข้าลึก ในเมื่อสารินทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

“ตามฉันมา”

ศรีนางเดินตามเจ้าของบ้านเข้าห้องทำงานที่เคยเข้ามาครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ได้บนนั่งเก้าอี้ ดนูยืนนิ่งริมหน้าต่าง เปิดม่านออกทั้งหมด สายฝนยังคงโปรยปราย ลมพัดแรงจะต้นตะแบกริมรั้วส่ายไหว เกิดเป็นเงาตะคุ่มๆ น่ากลัว ส่วนคุณนายลออนั่งเชิดหน้าหลังตรงบนชุดโซฟามุมห้อง

“อยากได้เท่าไหร่” เมื่อสั่งบุตรชายไม่ได้ ดนูจึงใช้เงินแก้ปัญหา เชื่อว่าเด็กสาวบ้านนอกคงไม่ปฏิเสธเงินก้อนใหญ่ “หายไปจากชีวิตริน เธออยากได้เท่าไหร่”

ใบหน้าศรีนางร้อนวูบ แต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบเหมือนโดนราดด้วยน้ำเย็นจัด

“อย่าพิรี้พิไร หล่อนอยากได้เท่าไหร่ก็พูดมา ที่เรียกมาคุยด้วยนับว่าปรานีมากแล้วยายนุ้ย” คุณนายลออกัดฟัน ยอมเฉือนเนื้อเพื่อจบปัญหา มั่นใจว่าถ้าได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกับท่านนายพลสัญญา หน้าที่การงานของสามีจะรุ่งโรจน์ก้าวหน้า ความหวังที่จะได้เป็นคุณหญิง…ไม่ไกลเกินเอื้อม

ลออมองแหวนบนนิ้วของศรีนางด้วยแววตาริษยา ไม่ใช่อิจฉาเด็กสาวบ้านนอก แต่อิจฉาเจ้าของแหวน…คุณหญิงบัว มารดาของสาริน

ครั้งหนึ่งในวัยสาว ลออทำได้เพียงมองดูหม่อมราชวงศ์ช่อนลินี ปรียาธรลงเอยกับนายร้อยดนู พันธินพลาธิป ทั้งที่นางซึ่งเป็นบุตรสาวของนายตำรวจถูกวางตัวให้เป็นเจ้าสาว ทว่าความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลานั้น การเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ขั้วอำนาจที่สลับไปมา บิดาของดนูมองหาเส้นสายและความมั่นคง ประจวบเหมาะกับบิดาของลออถูกย้ายไปประจำทางเหนือ ระยะทางทำให้ทั้งคู่จึงห่างไกลกันโดยปริยาย

ไม่ถึงปีหลังจากนั้น ใจลออก็แตกสลายเมื่อได้ยินข่าววิวาห์หวานระหว่างนายร้อยหนุ่มอนาคตไกลกับหม่อมราชวงศ์ช่อนลินี ราชนิกุลผู้เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และชาติกำเนิด

หากโชคชะตาอีกเช่นกัน ที่ทำให้ทั้งคู่กลับมาครองรักกันอีกครั้ง หลังดนูตกพุ่มม่าย

ทว่าหนามยอกอกลออคือหลักฐานพยานรักระหว่างดนูกับคุณหญิงบัว นั่นก็คือสาริน…หน้าตา ผิวพรรณที่ละม้ายคล้ายแม่ ทำนางแสบแสลงกลางอกทุกครั้งเห็นลูกชายของทั้งคู่

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลออกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ‘คุณหญิง’ เพื่อปลดเปลื้องปมด้อยในใจตน ผ่านมายี่สิบห้าปี ความอิจฉายังเต้นเร่าในซอกลึกของจิตใจ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางก้าวหน้าในอาชีพของดนู ลออไม่อาจนิ่งนอนใจ ให้กรีดเลือดเฉือนเนื้อก็จะทำ

“ว่าอย่างไรยายนุ้ย” คุณนายลออรับหน้าที่เจรจา เมื่อเห็นสามีนิ่งเงียบ

“อะไรหรือคะ” ศรีนางเข้าใจทุกอย่างแต่แกล้งโง่ แสร้งทำหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว

“โอ๊ย โง่จริงๆ เลยแม่นี่” ลออตัดสินศรีนางตั้งแต่วันแรกที่เจอหญิงสาวจากชนบทติดตามสารินเข้าเมืองหลวง “พูดอ้อมค้อมหล่อนก็ไม่เข้าใจ ตรงๆ เลยละกัน จ้างให้เลิกกับริน หล่อนจะเอาเท่าไหร่ ค่าสึกหรอน่ะ” พูดจบก็หยิบพัดมาสะบัดเร็วๆ เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนอบอ้าวทั้งที่ด้านนอกฝนตก

ถ้าเห็นแก่เงินศรีนางคงแต่งงานกับคมสันต์ไปแล้ว ไม่มายืนหัวโด่ให้โดนดูถูกอย่างนี้ คิดได้อย่างนั้น สาวน้อยค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ระบายความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจด้วยการถืออุเบกขา คือวางเฉยใส่สองคนที่ศีลเสมอกัน คุณสมบัติเด่นของเธอคือความอดทน เพราะฉะนั้นเธอจึงปล่อยให้คุณนายลออดูถูกดูแคลนโดยไม่ตอบโต้

“…รู้จักกันไม่เท่าไหร่ กี่วันเชียว หล่อนก็เห็นว่าพวกเราไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาๆ คุณตาของรินก็เป็นเจ้าเป็นนาย เขาสืบสายสกุลมาจากใคร หล่อนคิดไม่ถึงหรอก มันไม่ใช่ที่ทางของหล่อน รีบๆ รับเงินแล้วกลับบ้านนอกของหล่อนซะ ก่อนที่รินจะเบื่อ ถึงตอนนั้นหล่อนจะไม่ได้เงินสักแดงเดียว”

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” สารินกระชากประตู หน้าขาวๆ แดงก่ำ ชายหนุ่มพุ่งเข้ามากลางห้องเหมือนพายุ คว้าข้อมือศรีนางมากุมแล้วใช้ร่างสูงบังร่างเล็กๆ ไว้ข้างหลัง บิดาที่ยืนริมหน้าต่างหันกลับมามองช้าๆ ส่วนคุณนายลออปรี่เข้ามาเคียงข้างสามี โบกพัดเร็วๆ สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ “คุณพ่อกับคุณน้าทำอะไรนุ้ย”

“นี่แกกล้าใช้เสียงแบบนั้นกับพ่อกับคุณน้าลออหรือ” น้ำเสียงพันเอกดนูนิ่งเรียบเหมือนทะเลก่อนมีพายุ “ใช่หรือเปล่าหมวดริน”

“ที่นี่คือบ้าน…ไม่ใช่ที่ทำงาน ผมถามในฐานะที่เป็นลูกคุณพ่อครับ ไม่ใช่ทหารใต้บังคับบัญชา”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเสนาธิการกระตุกวูบ รอยแดงจางๆ ยังปรากฏบนผิวแก้มลูกชาย อยากตีซ้ำให้สำนึก แต่ดนูเพิ่งตระหนักว่าสารินไม่เหมือนเดิม ลูกชายที่เคยเชื่อฟัง ลูกชายที่เดินอยู่ในเส้นทางที่เขาขีดเขียนเปลี่ยนไปแล้ว แววตาเหมือนแม่ที่สะท้อนกลับมาทำให้ดนูชะงัก จำได้ว่าครั้งหนึ่งอดีตภรรยาเคยร้องขอก่อนสิ้นใจ

‘บัวอยากให้รินเป็นเด็กที่มีความสุขค่ะ คุณเดี่ยวเลี้ยงลูกให้มีความสุขที่สุดนะคะ’

ฝ่ายสารินเตรียมตัวรับแรงโทสะ ทว่าบิดาไม่ได้ตบหรือตีอย่างที่คิด ชายหนุ่มจึงถามสาวน้อยด้านหลัง รู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้ศรีนางต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายของคนในครอบครัว

“น้องนุ้ยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย”

“ไม่ค่ะพี่ริน นุ้ยไม่เป็นไร”

“มันจะเกินไปแล้วนะริน” ลออร้องแว้ดขึ้นมา “คิดว่าคุณเดี่ยวกับฉันจะทำอะไรเมียเธองั้นรึ ดุด่า ตบตี? นี่เธอมองว่าเราป่าเถื่อนขนาดนั้นเชียว”

“ผมก็หวังให้คนที่เรียกตัวเองว่าผู้ดีจะไม่ทำอะไรอย่างนั้น” สารินเอ่ยกับแม่เลี้ยง

ลออขมวดคิ้วขณะคิดทบทวนคำพูดของสาริน

“ผมรู้ว่าคุณพ่อกับคุณน้าต้องการอะไร แต่ผมทำให้ไม่ได้ครับ” สารินหลับตาครู่หนึ่ง สูดหายใจเข้าลึก คิดและเรียบเรียงคำพูดในหัว “นุ้ยเป็นเมียผม ถ้าการที่เราอยู่ที่นี่มันรกหูรกตาคุณพ่อกับคุณน้า ผมจะพาน้องไปอยู่ที่อื่น”

“ริน!” นี่ไม่ใช่สิ่งที่พันเอกดนูอยากได้ยิน แต่ทิฐิบวกกับโทสะ ทำให้คนเป็นพ่อเอ่ยปากไล่ลูกชาย ทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งกลับมาหลังพ้นโทษไม่ถึงวัน และทั้งๆ ที่ให้คำสัตย์สาบานกับอดีตภรรยาไว้แล้ว “ถ้าไม่รักดี แกก็ไสหัวไปให้พ้น”

 

บนไหล่นายร้อยหนุ่มเป็นเป้ลายพรางบรรจุเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นไว้เต็ม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้า ส่วนอีกข้างถือร่ม สารินเอียงร่มคันใหญ่ไปทางศรีนางจนไหล่ตัวเองเปียกเป็นหย่อม ส่วนสาวน้อยใช้สองมือกอดถุงที่ใส่หนังสือกับเครื่องเขียนแนบอก เพราะกลัวของด้านในจะเปียก เธอหยิบมาเฉพาะเล่มที่อ่านค้างไว้ รวมกับหนังสือแกรมม่าภาษาอังกฤษและดิกชันนารีอังกฤษ-ไทยของสอ เสถบุตร

“ไม่อยากพูดคำนี้เลย…แต่พี่รินเดือดร้อนเพราะนุ้ยอีกแล้ว” ศรีนางแหงนหน้ามองสาริน ตอนที่ทั้งคู่ยืนอยู่นอกรั้ว

“ไม่เดือดร้อนสักนิด พี่อยากทำอย่างนี้มานานแล้ว” สารินยิ้ม ไม่ทุกข์ร้อนที่ต้องเก็บข้าวของออกจากบ้านตอนยี่สิบสามนาฬิกา แววตาชายหนุ่มไม่ได้โกหก เขารู้สึกถึงอิสรเสรี

“พี่รินอยากออกจากบ้านเหรอ”

“ครับ”

“แปลว่านุ้ยช่วยพี่รินอีกแล้วสินะ” ศรีนางเองก็รับรู้ว่าสารินไม่ได้อาลัยอาวรณ์สิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่าบ้านเท่าไร ความรู้สึกผิดในใจจึงบางเบาลง

“ถูกต้องครับ”

“แล้วเราจะไปไหนกัน” ศรีนางยืนหันซ้ายหันขวาหน้าบ้านหลังใหญ่ ไฟถนนติดๆ ดับๆ บนท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว ฝนตกเปาะแปะ ฟ้าแลบแปล๊บๆ จากที่ไหนไกลๆ ฤดูร้อนสิ้นสุดลงแล้ว เข้าหน้าฝนอย่างเป็นทางการ

“ต้องเดินไปหน้าถนนใหญ่ ตรงนั้นมีป้ายรถเมล์ คืนนี้ต้องหาโรงแรม อืม…น้องอยากไปพาหุรัด อยากได้หนังสือกับข้อสอบเก่า…งั้นคืนนี้เราพักแถววังบูรพาก็แล้วกัน”

“แล้วคืนพรุ่งนี้ล่ะพี่ริน”

ปกติชีวิตของสารินมีแบบแผนชัดเจน เขารู้ว่าวันนี้ทำอะไร พรุ่งนี้ทำอะไร ทว่าตั้งแต่ชีวิตตกเป็นของศรีนางทุกอย่างก็ไร้แบบแผน พลิกผันวันต่อวัน แต่สารินกลับยิ้มให้ความอิสระไร้ขอบเขต สิ่งนี้เรียกว่ารสชาติชีวิต…ชีวิตที่ไม่ได้มีเพียงรสจืดจำเจที่บิดาคัดสรรให้ สารินรู้สึกถึงรสขม รสหวาน ตอนนี้คงเป็นรสชาติจัดจ้านท้าทาย

“ไม่เป็นไรค่ะ” สารินยังไม่ทันตอบ ศรีนางก็แหงนหน้ามองชายหนุ่มอีกครั้งพลางยิ้มกว้าง ประกายวิบวับแวววาวในดวงตาทำคนมองรู้สึกวูบวาบที่กลางอก “ค่อยๆ คิด ยังไงนุ้ยก็มีวุฒิมอหก อ่านออก เขียนได้ งานเสมียนบัญชี หรือจะเสิร์ฟข้าว ล้างจาน นุ้ยก็ทำได้ทั้งนั้น”

“โธ่ พี่ไม่ปล่อยให้นุ้ยลำบากขนาดนั้นหรอกน่า” สารินอยากวางมือบนกลุ่มผมดกดำแล้วลูบเบาๆ แต่ติดที่ถือร่ม ทำได้เพียงสบสายตาผ่านแสงสลัวๆ แล้วส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้กัน “อ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างที่น้องตั้งใจอย่างเดียวก็พอ”

ฝนหยุดก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย สารินจูงมือศรีนางข้ามถนน ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยย่านวังบูรพา เลี้ยวฉับเข้าโรงแรมเก่าๆ ในตึกแถวแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากโรงภาพยนตร์ควีนส์

หลังจ่ายเงิน พนักงานซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นผมยาวระต้นคอ คาบบุหรี่ไว้มุมปาก สวมกางเกงขาม้ากับเสื้อยืดยับๆ เดินนำทั้งคู่ไปส่งถึงห้องพัก ตอนยื่นกุญแจให้สาริน เด็กเฝ้าโรงแรมก็ยักคิ้วให้ชายหนุ่มพลางพำพึมอะไรบางอย่างฟังไม่ชัดเพราะอีกฝ่ายคาบบุหรี่ไว้ แต่จับใจความได้ว่า…เด็กหรือเด็ด หรือทั้งสองคำ สารินก็ไม่แน่ใจ

สภาพห้องพักค่อนข้างเก่า เล็กแคบ และมีกลิ่นเหม็นอับโชยมาจากห้องน้ำ สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน อย่างไรเสียคืนนี้ก็ต้องฝืนทนพักที่นี่

“ปิดประตูห้องน้ำ เปิดหน้าต่างแง้มไว้ น่าจะดีขึ้น” สารินสำรวจห้อง พอใจเมื่อเห็นว่าเหล็กดัดแข็งแรงดี จึงเปิดหน้าต่างระบายอากาศอับชื้น

ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าทำให้ทั้งคู่โยนความกระดากอายกับความขัดเขินทิ้ง จับจองหมอนคนละใบแล้วล้มตัวนอนบนเตียงเหล็กเก่าๆ ฟังเสียงพัดลมเพดานพัดหึ่งๆ แล้วพากันหลับใหล ทิ้งปัญหาต่างๆ ไว้ข้างหลัง

 

เช้าตรู่ในโรงแรมเก่าหลังโรงภาพยนตร์เย็นชื้นด้วยฝนที่ตกโปรยปรายเป็นสายบางเบา ศรีนางตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เธออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเงียบๆ ยกเก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียวมาวางริมหน้าต่าง มองลอดเหล็กดัดสนิมเขรอะไปยังถนนด้านล่าง เริ่มเห็นผู้คนเดินไปมาริมทางเท้า บ้างก็เปิดร้านรวง วันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมฝนที่หยุดตก ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดินและรอยฉ่ำชื้น

ศรีนางมองคนบนเตียง สารินยังหลับสนิท

กระทั่งแสงแรกแรขอบฟ้า ส่งรังสีอบอุ่นแทรกผ่านหยาดฝน ภาพที่ปรากฏในครองจักษุของสารินคือศรีนางนั่งเท้าคางริมหน้าต่าง ใบหน้าสาวน้อยสดใสรับแสงอรุณ ชายหนุ่มมองภาพนั้นอยู่นานจนเจ้าตัวเบือนหน้ามามอง

สายตาสบประสานกัน…

“ทำไมตื่นเร็ว หรือน้องนอนไม่หลับ” สารินถาม

“นุ้ย…เอ่อ…หิว”

ชายหนุ่มหัวเราะ สลัดผ้าห่ม ลงจากเตียงแล้วรีบร้อนเข้าห้องน้ำ

ไม่กี่นาทีต่อมาสองหนุ่มสาวก็ยืนหน้าโรงแรมย่านวังบูรพา ศรีนางกระตือรือร้น มองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแวดล้อมรอบกาย

“ย่านนี้ถือเป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่น มีโรงหนังสามโรง ร้านค้า ร้านอาหาร อ้อ…มีร้านหนังสือด้วยนะ”

“คนเยอะมาก”

“พี่ตั้งใจพานุ้ยมาที่นี่” สารินรับหน้าที่ไกด์จำเป็น “ทางนั้นไปพาหุรัด ทางโน้นก็บ้านหม้อ ส่วนถนนเส้นนี้ไปสำเพ็ง เยาวราช”

“นุ้ยเคยได้ยินทั้งหมดเลยค่ะ เจกจ๋ายเล่าให้ฟังบ่อยๆ โดยเฉพาะเยาวราช เจกมาซื้อยาจีนกับรังนกไปขาย”

“เดี๋ยวจะพาเดินดูรอบๆ แต่ตอนนี้ต้องกินก่อน” สารินทำท่าคิด จำได้ว่ามีร้านที่ได้รับความนิยม ขายอาหารเช้าจำพวกอเมริกันเบรกฟาสต์ ขนมปังปิ้ง แซนด์วิช และเครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชาร้อน ชาจีน

ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ศรีนางสังเกตว่าดวงตาสารินเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเขากระตือรือร้นและสนุกกว่าเธอเสียอีก

“พี่รินไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกเหรอ”

“นานๆ ทีครับ ส่วนใหญ่มากับคุณชาย” สารินส่งยิ้มให้ศรีนาง เป็นรอยยิ้มที่ทำคนมองเผลอยิ้มตาม “คุณชายมาเก็บค่าเช่าตึก บางทีพี่ก็มาช่วย”

“คุณน้าดูร่ำรวย แต่ทำไมพี่ริน…”

“ดูยากจน?” สารินเลิกคิ้ว รอยยิ้มยังคงประดับใบหน้า

“นุ้ยแค่สงสัย คุณน้าบอกว่าแม่พี่รินเป็นคุณหญิง”

“ท่านตาเป็นโอรสที่เกิดจากหม่อมเล็กๆ เสด็จทวดท่านมีโอรสธิดาหลายคน ท่านตาถือเป็นทายาทสายรอง ทรัพย์สมบัติหลังแบ่งสรรปันส่วนก็ได้ที่ดินริมน้ำเพื่อสร้างวังกับที่ดินแถวบางกะปิอีกผืน ท่านตาชอบเรียน ชอบอ่านหนังสือ เรียนจบก็ทำงานในกระทรวง ท่านไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยอย่างที่คนนอกคิด ค่อนข้างมัธยัสถ์ เห็นจะฟุ่มเฟือยอย่างเดียวคือซื้อหนังสือ” สารินเล่าประวัติครอบครัวฝ่ายแม่คร่าวๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ส่วนคุณชายฉัตรเรียนจบวิชาออกแบบจากอังกฤษ แต่เป็นคนหัวการค้า เริ่มจากเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน ทุกวันนี้พับปริญญาอินทีเรียเก็บใส่ลิ้นชัก เป็นนักธุรกิจเต็มตัว แว่วๆ ว่าซื้อที่ไว้ผืนนึง จะสร้างโรงเรียนแบบ Bilingual มีการเรียนการสอนแบบสองภาษาน่ะ”

“เก่งจังเลยค่ะ”

“ใช่ครับ คุณชายหาเงินเก่งมากๆ ความร่ำรวยของคุณชายมาจากความสามารถล้วนๆ ส่วนพี่ก็…เป็นข้าราชการ มีเงินเดือน มีสวัสดิการ”

ศรีนางคิดตามแล้วหัวเราะคิกคัก “แหม โฆษณาตัวเองเสียด้วย”

สารินอยากถามต่อว่าเชื่อคำโฆษณาหรือเปล่า แต่ระลึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวที่มุ่งมั่นจะเรียนต่อ ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าร่วมหกปีจึงทำได้เพียงเก็บกลืนคำถาม

“แล้วนี่เราจะไปไหนกันต่อคะ”

“วันนี้…เห็นทีต้องไปขอพึ่งคุณชายฉัตร” 

 



Don`t copy text!