ศรีนาง ตอนที่ 21 : เพื่อนคนแรก

ศรีนาง ตอนที่ 21 : เพื่อนคนแรก

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“นุ้ย จริงหรือเปล่า”

ศรีนางชะงักมือที่กำลังเก็บตำราและเครื่องเขียนใส่กระเป๋าผ้า ทำไมจะไม่รู้ว่าภาคินนั่งจ้องหน้าเธอตลอดชั่วโมง

“อะไรจริง” หญิงสาวถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดต่อ

“ก็…เอ่อ…” คนมั่นใจในตัวเองอย่างภาคินอึกอักยึกยักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเป็นคนใจร้อน ในที่สุดก็โพล่งถามออกมาตรงๆ “หนูดีบอกเราว่าเธอท้อง”

ศรีนางไม่แปลกใจ สัปดาห์ก่อนเธอเมาค้าง อาเจียนโอ้กอ้ากและออกจากบ้านนั้นโดยไม่ได้อธิบายอะไร

“อยากเป็นหมอไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอปล่อยท้องวะนุ้ย หรือว่าผัวเธอ…แม่งเอ๊ย” ภาคินมีสีหน้าผิดหวัง เขายอมรับว่าสนใจศรีนาง ลึกๆ แล้วแอบเอาใจช่วยเด็กสาวต่างจังหวัด ความมุ่งมั่นทุ่มเทตั้งใจเรียนของศรีนางทำให้เขากระตือรือร้น ตื่นเช้ามาเรียน และทบทวนเนื้อหาก่อนเข้านอน “ผัวเธอจะช่วยเลี้ยงลูกหรือเปล่า”

ศรีนางกะพริบตาปริบๆ อีกฝ่ายพ่นคำถามจนตอบไม่ทัน

“ทำไมเธอไม่วางแผนครอบครัววะ เธอก็ไม่โง่นะยายนุ้ย แล้วเธอจะทำยังไง เรียนต่อไหม”

“เรียนต่อสิ ปีหน้านุ้ยก็สอบปกติ” สีหน้าภาคินดูเป็นกังวลจนศรีนางเพิ่งคิดได้ว่าเธอคงพูดสั้นเกินไปจึงอธิบายเพิ่ม “อีกอย่างนะภาค นุ้ยไม่ได้ท้อง วันนั้นก็บอกแล้วว่าไม่ค่อยสบาย แค่เวียนหัว บ้านหมุน”

“จริงดิ โล่งอก”

“ทำไมภาคสนใจเรื่องของนุ้ยจัง”

“นี่หลอกด่าว่าเราเสือกเรื่องของเธอเหรอ” ภาคินอารมณ์ดีขึ้นถนัดตา เขาเป็นลูกชายคนเล็กของนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่ง บิดาร่ำรวยจากธุรกิจค้าทองคำ แน่นอนว่าตั้งแต่เล็กจนโตมีคนพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็ได้ ภาคินหัวดี เก่งคำนวณ สอบเทียบได้วุฒิ ม.6 ปีที่แล้วสอบเอนทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่เรียนได้สามเดือนก็ลาออกเพราะไม่ชอบ ส่วนปีนี้ก็ไม่ยอมสมัครสอบ กระทั่งบิดาขอร้องให้เรียนต่อ ถ้าสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์จะให้รถเบนซ์หนึ่งคันทันที

“ไม่เคยหลอกด่าใคร ถ้าจะด่าก็ด่าตรงๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

“เราสนใจเธอเพราะแบบนี้ไง”

“เพราะนุ้ยแปลกสินะ” ศรีนางพอรู้ว่าคนนอกมองเธออย่างไร ส่วนภาคิน แม้ภายนอกจะดูเป็นคนโผงผาง ฉูดฉาด ชอบวางท่าเหมือนนักเลง แต่เนื้อแท้เป็นคนจริงใจน่าคบหา

“เออ เธอแปลก เราไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงแบบเธอ ถ้าไม่เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันก็เรียบร้อยถนิมสร้อย ไม่เหมือนเธอสักคน”

“ถือว่าเป็นคำชม”

“วันนี้เรียนเสร็จแล้ว ไปกินไก่ทอดกันเถอะ”

“ขอบใจที่ชวนแต่ไปไม่ได้หรอก นุ้ยมีเรียนภาษาอังกฤษต่อ”

“เรียนที่ไหน” ภาคินไม่เคยรู้มาก่อน “แถวนี้เหรอ”

“พี่สาวดาวคณะอักษรติวให้น่ะ” ศรีนางพูดแค่นั้น ตอนที่กำลังออกจากห้องเรียนก็หมุนตัวกลับมา “ขอบใจนะ ภาคเป็นเพื่อนคนแรกของนุ้ย”

“นุ้ย” ภาคินรู้ตัวว่าสนใจศรีนาง เป็นความสนใจในตัวสาวน้อยหน้าแปลกจากต่างจังหวัด ตอนที่รู้ว่าเธอมีคนรักแล้ว เขารู้สึกเสียดาย แต่ไม่ได้เสียใจ “เราไม่สอบวิดวะแล้วว่ะ”

“อ้าว” ศรีนางนิ่วหน้า “ทำไมลูกคนรวยแบบภาคถึงไม่เห็นคุณค่าของการศึกษานะ อ๋อ…คำตอบอยู่ในคำถาม” หญิงสาวถามเองตอบเอง รู้สึกผิดหวังในตัวเพื่อนคนแรก

“เธอนี่ชอบประชดจิกกัดรู้ตัวหรือเปล่า” ภาคินยิ้มพลางหัวเราะ “ที่บอกว่าไม่สอบวิดวะ เพราะเราเปลี่ยนใจไปสอบอย่างอื่น”

“ภาคจะสอบอะไร”

“เราจะสอบหมอเหมือนเธอ”

“อย่างภาคหรือจะเป็นหมอ” หัวคิ้วสาวน้อยขมวดมุ่น

“ทำไมเราจะเป็นไม่ได้” ภาคินถามกลับท่าทางกวนๆ

“เป็นหมอ…เรียนดีอย่างเดียวไม่พอหรอก ต้องมีความรับผิดชอบ มีจรรยาบรรณด้วย” ศรีนางนึกภาพภาคินสวมเสื้อกาวน์ไม่ออก

“หลอกด่าเราอีกแล้วนะ” ภาคินไม่ถือสา เขาเปลี่ยนความคิดกะทันหัน นอกจากท้าทายขีดความสามารถของตัวเองอีกเหตุผลคือ…ศรีนาง

“นุ้ย” น้ำเสียงราบเรียบคุ้นหูมาจากลาวัลย์ ใบหน้าสวยของเด็กสาวบึ้งตึงเมื่อเห็นพี่สะใภ้พูดคุยสนิทสนมกับภาคิน “พี่รินรอเธอหน้าโรงเรียน เห็นว่าเลิกนานแล้ว ยังไม่ออกไปสักที ไม่คิดว่ากำลัง…”

“ไปก่อนนะภาค” ศรีนางยิ้มให้น้องสาวสารินไม่ได้พูดคุยทักทายเพราะอีกฝ่ายหน้าตาบึ้งตึงไม่รับแขก ก่อนเดินจากมา ทันได้ยินภาคินถามลาวัลย์เสียงเข้ม

“ทำไมหนูดีไม่เรียกนุ้ยว่าพี่ แล้วอีกอย่างนะ พี่สะใภ้หนูดีไม่ได้ท้อง”

 

ปกติศรีนางเดินทางมาเรียนกวดวิชาด้วยตัวเอง สารินเลิกรับส่งตั้งแต่สองสัปดาห์แรกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวหัวไว ความจำดี ไม่หลง หรือถ้าหลงก็เอาตัวรอดได้ แต่วันนี้ชายหนุ่มร้อนใจและไม่สบายใจเป็นเหตุให้มารอศรีนางถึงโรงเรียน

“พี่รินมาหานุ้ยเหรอคะ”

“ครับ”

“มีอะไรหรือเปล่า พี่รินหน้าเครียดๆ มาหานุ้ยถึงที่นี่”

สารินดูนาฬิกาข้อมือ ยังมีเวลาก่อนศรีนางไปติวภาษาอังกฤษกับเนรัญชรา “ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรหรอก เมื่อเช้าพี่แวะไปบ้านคุณพ่อ ขากลับต้องผ่านทางนี้ เลยแวะมาหาน้อง” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่าบิดาต้องการอะไร “คุณพ่อกับคุณน้าลอออยากให้เรากลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม”

ศรีนางส่ายหน้าทันที ก่อนชะงักเมื่อระลึกได้ว่าสารินกำลังแบกรับภาระหลายอย่าง ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง และค่ากินอยู่สำหรับสองคน แม้ไม่อยากกลับไปเจอคนบ้านนั้น แต่ศรีนางไม่อยากเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบสาริน “แล้วแต่พี่รินค่ะ”

“อยากอยู่หรือเปล่า…บ้านคุณพ่อเดินทางสะดวกกว่า นุ้ยไม่ต้องทำกับข้าว ไม่ต้องทำงานบ้าน”

“ความจริงนุ้ย…ไม่อยากไป” ศรีนางสารภาพ “นุ้ยชอบบ้านริมน้ำมากกว่า แต่ถ้าพี่รินอยากกลับบ้าน นุ้ยก็เข้าใจ พี่รินรับภาระหลายอย่าง นุ้ยทำพี่รินสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” สารินยิ้ม แม้เป็นเพียงสามีปลอมๆ แต่เขาก็เต็มใจดูแลศรีนางทุกอย่าง “ถ้าน้องไม่อยากไป เราก็อยู่ที่เดิม”

“ทำไมจู่ๆ อยากให้กลับคะ คุณนายไม่ได้ปลื้มนุ้ยเท่าไหร่”

“คุณพ่อคิดว่าน้อง…เอ่อ…คิดว่าเรากำลังจะมีลูกก็เลย…” สารินคิดและเรียบเรียงคำพูด เขาเดาว่าแม่เลี้ยงมีเหตุผลบางอย่างที่อยากกลับไปอยู่บ้าน อย่างน้อยก็อยู่ในสายตาของคุณนายลออ “ไม่อยากให้เราอยู่ที่อื่น แต่พี่บอกคุณพ่อแล้วว่าน้องไม่ได้ท้อง แค่ไม่สบาย”

“แล้วต้องไปไหมคะ” ศรีนางถาม

“ไม่ต้องหรอก พี่ก็ชอบบ้านริมน้ำเหมือนกัน”

“พี่รินมีคำตอบอยู่แล้วใช่ไหม”

สารินพยักหน้า

“แล้วถามนุ้ยทำไม แถมอุตส่าห์มาหาถึงโรงเรียน” ศรีนางมองรอบกาย นักเรียนทยอยกลับกันบ้างแล้ว แต่เพราะเป็นย่านที่ผู้คนพลุกพล่านหลายคนจึงยังเตร็ดเตร่ สายตาหลายคู่จับจ้องทางนี้ มองภาพความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวอย่างใคร่รู้

“นุ้ยไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา?” น้ำเสียงสารินราบเรียบ ใบหน้าก็นิ่งเฉย

“ไม่พอใจเหรอ” ศรีนางหัวเราะคิกคัก เอียงคอซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหน้าขาวๆ ของคนใจน้อยชัดๆ “โธ่ นุ้ยไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง นุ้ยสนใจพี่รินคนเดียว”

คำหลังทำให้สารินยิ้มได้ ถ้าความสัมพันธ์ครั้งนี้มีอายุหนึ่งปีจริงๆ ชายหนุ่มก็ขอเก็บเกี่ยวทุกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไว้หล่อเลี้ยงความรู้สึกหลังจากนั้น

 

นิตยสารรายปักษ์ใหม่เอี่ยมอยู่ในมือคุณนายลออ นางกวาดสายตาอ่านข่าวสังคมซึ่งเป็นภาพสีทั้งหมด บุคคลที่มีโอกาสอยู่ในคอลัม ‘ซุบซิบสังคม’ มักเป็นคนมีชื่อเสียง ปรากฏว่าพื้นที่ทั้งหน้าของนิตยสารฉบับนี้เป็นภาพข่าวงานวันเกิดของหม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธร

ลออไม่แปลกใจที่คนระดับนั้นอยู่ในหน้าข่าวสังคม รวมถึงแขกคนอื่นๆ ที่ไปร่วมงานในวังปรียาธร ทว่าหนึ่งในรูปภาพพวกนั้นเป็นศรีนางนั่งร่วมโต๊ะกับแมนดี้ เนรัญชรา และคนในแวดวงชั้นสูงอีกหลายคน

“คุณแม่ดูมัน นังคางคกขึ้นวอ” ลัดดาวิจารณ์พี่สะใภ้อย่างเผ็ดร้อน อิจฉาศรีนางจนนั่งไม่ติด “ยายบ้านนอกนั่นได้ไปงานปาร์ตี้ มีรูปลงแม็กกาซีน”

ลออปิดนิตยสาร ในใจเดือดปุดๆ นางเคยคิดหวังว่าวันหนึ่งตัวเองจะมีชื่อมีใบหน้าปรากฏในสื่อบ้าง ทั้งๆ ที่ร่วมกิจกรรมกับบรรดาแม่บ้านทั้งสี่เหล่าเป็นประจำ แต่มีเฉพาะ ‘คุณหญิง’ ของนายพลเท่านั้นที่ได้รับความสนใจ มีภาพในหน้าข่าวสังคม

“เมียพี่รินจะสอบหมอจริงหรือเปล่า” เลิศพงศ์ถาม ตอนแรกเขาไม่สนใจเมียพี่ชาย แต่เพราะสอบเอนทรานซ์ปีหน้าเหมือนกัน จึงเริ่มกังวล เลิศพงศ์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการสอบเท่าไร สอบไม่ได้ก็เรียนเอกชน แต่ถ้าเด็กสาวบ้านนอกสอบติดขึ้นมาจริงๆ นอกจากโดนเปรียบเทียบแล้วคงเสียหน้าไม่น้อย

“จริง นุ้ยเรียนกวดวิชาที่เดียวกับหนูดี” ลาวัลย์บอกพี่ชาย

“หึ เรียนไปก็เท่านั้น สอบหมอยากจะตาย ต้องเตรียมตัวเป็นปีๆ ยายบ้านนอกนั่นแค่อ่านออกเขียนได้ กระแดะเรียนพิเศษ ดัดจริตสอบหมอ” ลัดดาบิดริมฝีปาก คิดว่าตัวเองเก่งกว่าเมียพี่ชายเพราะสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐ อันที่จริงลัดดามีรายชื่อสำรอง ได้เข้าเรียนเพราะมีคนสละสิทธิ์อย่างเฉียดฉิว

“เด่นก็คิดเหมือนพี่ดา ภาษาอังกฤษยิ่งแล้วใหญ่ ได้ยินว่าโรงเรียนชนบทท่องเอบีซีตอนปอห้า รู้ศัพท์กี่ตัวเชียว ฮ่าๆ” คิดได้อย่างนั้นเลิศพงศ์ค่อยรู้สึกสบายใจ เชื่อว่าศรีนางไม่มีวันสอบได้

“แม่ได้ยินยายนุ้ยบอกคุณพ่อว่าไม่มีดิกชันนารีใช้ด้วยซ้ำ โถ…น่าสงสารอยู่นะ” ลออมองความขาดแคลนเป็นเรื่องตลกขบขัน

แม่ลูกจึงหัวเราะกับความใฝ่สูงไม่เจียมกะลาหัวของศรีนาง

“เท่าที่หนูดีรู้…ยายนุ้ยหัวดีค่ะ” ลาวัลย์เอ่ยแทรกเสียงหัวเราะ

“ดีแค่ไหนกันเชียว” ลัดดาไม่เคยให้ความสนใจเรื่องการศึกษาเท่ากับเสื้อผ้า ใบหน้า และทรงผม “วิชาพวกนั้นยากจะตาย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไม่ใช่ใครก็เรียนได้”

“ใช่ๆ ยากมาก” เลิศพงศ์เห็นด้วยกับพี่สาว

“พี่ภาคบอกว่า…ที่โรงเรียนกวดวิชาจัดสอบพรีเทสต์ นุ้ยได้คะแนนดีตลอด”

“บังเอิญแหละ กามั่วๆ” เลิศพงศ์ใช้วิธีนี้บ่อยๆ

“ข้อสอบอัตนัยนะพี่เด่น”

“มันเก่งจริงหรือหนูดี” ลออครุ่นคิด เริ่มเป็นกังวล ไม่อยากเห็นสารินได้ดีกว่าลูกตัวเอง โดยเฉพาะคู่ครอง ถ้าศรีนางสอบติดหมอ…อาชีพของเมียจะเชิดหน้าชูตาผัว

“ค่ะคุณแม่ พี่ภาคชมมันให้หนูดีฟังบ่อยๆ”

“ถ้ามันสอบติด…” แค่คิดลัดดาก็อิจฉาศรีนาง พี่สะใภ้หน้าตาสวยแปลก สนิทสนมกับคุณชายฉัตรชลธร ผู้ชายที่เธอแอบปลื้มตั้งแต่โตเป็นสาว เข้าออกวังปรียาธรได้ตามใจชอบ

“คุณพ่อจะยอมรับมันเป็นสะใภ้” ลออใช้พัดโบกเร็วๆ สามีเคยเปรยๆ เรื่องศรีนาง หลังเนรัญชราปฏิเสธการจับคู่ “แม่นี่ไม่ธรรมดา ไม่รู้มันไปพูดอะไรกับคุณพ่อ”

“เราจะทำยังไงดีคะ” ลัดดาถาม

“คุณพ่ออยากให้รินกับนุ้ยกลับมาอยู่ที่บ้าน” ลออเล่าให้ลูกๆ ของเธอฟัง “แม่คิดว่าคุณพ่อใจอ่อนเพราะคิดว่ามันท้อง แต่รินบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“แล้วยายนุ้ยจะกลับมาไหมคุณแม่ ดาเกลียดขี้หน้ามัน”

“ไม่…ไม่มา”

“คุณพ่อต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ อยากให้พี่รินกับนุ้ยมาอยู่ที่นี่” ลาวัลย์อายุน้อยที่สุดแต่ฉลาดที่สุด เด็กสาวสบตามารดารู้ว่ามีบางอย่างมากกว่านั้น “เพราะอะไรคะ”

“ตั้งแต่รู้ว่าเมียรินจะสอบหมอ คุณพ่ออยากให้ยายนุ้ยสอบแพทย์พระมงกุฎฯ ให้มันเป็นหมอทหาร…จะได้ส่งเสริมริน”

“เวลาคุณพ่อถูกใจใครสักคน ขออะไรคุณพ่อให้ทั้งนั้น” ลาวัลย์เล่าเสริม “พี่ดา พี่เด่นจำได้ไหม นุ้ยอยู่บ้านเราแค่สามวัน แต่มันกล้าต่อรองกับคุณพ่อ อ่านหนังสือพิมพ์ สรุปข่าวให้คุณพ่อฟังแทนพี่ริน คุณพ่อไม่พูดอะไรก็จริง แต่หนูดีดูออกว่าคุณพ่อพอใจมาก”

“ต๊าย มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” ลัดดาไม่เคยรู้มาก่อน สบตาน้องชายน้องสาว “แล้วเราจะทำยังไงดี ถ้ามันสอบได้ ทั้งมันทั้งพี่รินกลายเป็นลูกรักของคุณพ่อ เราไม่เป็นหมาหัวเน่าเหรอ”

“คงต้องไปเยี่ยมเด็กบ้านนอกนั่นสักหน่อย”

 

เดิมคณะเยี่ยมบ้านสารินกับศรีนางมีเพียงสามคนคือคุณนายลออ ลัดดา และลาวัลย์ เลิศพงศ์นั้นติดเพื่อน เวลาว่างหมดไปกับโต๊ะสนุกเกอร์

ทว่า เมื่อพันเอกดนูรู้ว่าลูกกับเมียจะไปเยี่ยมสารินถึงบ้านเช่า จึงไปด้วยอีกคน

ช่วงสายที่ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ สมาชิกสี่คนจากบ้านพันธินพลาธิป จอดรถเก๋งคันใหญ่ไว้ริมถนน เดินเท้าผ่านถนนเล็กแคบที่สองข้างทางเป็นกำแพงสูงของวัดและที่ดินของเศรษฐีคนหนึ่ง สุดถนนเป็นบ้านไม้ติดแม่น้ำเงียบสงบ นานๆ จะได้ยินเสียงเรือแล่นผ่านสักครั้ง เพราะมาที่นี่ครั้งแรก ดนูจึงต้องบอกให้เจ้าบ้านรู้เพื่อสอบถามเส้นทางจากสาริน

ครู่เดียวสารินก็เปิดบ้านต้อนรับบิดา แม่เลี้ยง และน้องสาวทั้งสองคน ศรีนางที่อยู่ในครัวรีบออกมาสมทบ

“บ้านเล็กมาก ทางเข้าก็ลึกลับ” ลัดดาเบ้หน้าเมื่อมองจากตรงนี้แล้วเห็นยอดเมรุโผล่พ้นกำแพงวัด “ติดป่าช้าด้วย…อยู่เข้าไปได้ไง”

“พอรู้ว่าทุกคนจะมา วันนี้น้องนุ้ยเข้าครัวทำขนมจีนครับ” สารินไม่สนใจคำพูดน้องสาว อย่างที่ศรีนางบอกไว้…คนน่ากลัวกว่าผี

“กินขนมจีนตอนเช้า เสาะท้องแย่” เป็นลัดดาอีกเช่นกันที่เอ่ยทำลายบรรยากาศ

ดนูมองสำรวจบ้านเช่าหลังเล็ก มีห้องนอน ห้องน้ำ และครัวไทยมุมหนึ่งของระเบียงกว้าง ซึ่งบางส่วนยื่นลงตลิ่ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมีน้อยชิ้น…พัดลม เตารีด หม้อหุงข้าว และทรานซิสเตอร์ ความเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน ลมพัดผ่านประตูบานเฟี้ยมที่เปิดกว้าง และกลิ่นหอมอ่อนของดอกเล็บมือนางริมรั้ว ความรู้สึกแรกของดนูคือ…ที่นี่น่าอยู่ “ขนมจีนรึ”

“ค่ะ พี่รินชอบ ถ้ามีโอกาสนุ้ยก็ทำให้ วันนี้พอรู้ว่าคุณพ่อ คุณลออ ดา หนูดีจะมาเยี่ยม…นุ้ยเลยทำขนมจีนแกงไก่ค่ะ”

“เขียวหวานหรือเปล่า” ลออสะบัดพัดในมือเร็วๆ “แกงเผ็ดๆ เครื่องเทศหนักๆ คุณเดี่ยวทานไม่ได้หรอกนะ ดากับหนูดีก็กินรสจัดไม่เป็น”

“ไม่ใช่เขียวหวานค่ะ เป็นแกงไก่แบบทางใต้ นุ้ยใส่มะเขือเปราะ มะเขือพวง เนื้อไก่ เครื่องใน เลือด เครื่องแกงตำเอง ลดพริกแห้งพริกขี้หนูเพิ่มน้ำกะทิ เข้มข้นเหมือนเดิมแต่ไม่เผ็ดร้อนค่ะ” ตอนพูดกลิ่นหอมของเครื่องเทศตำละเอียดละลายในน้ำกะทิส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณ

“เริ่มหิวแล้วสิ ไหนๆ นุ้ยก็ทำต้อนรับเรา ลองชิมรสมือหน่อยเป็นไง”

“ไม่มีโต๊ะ? อย่าบอกว่าต้องนั่งล้อมวงบนพื้น” ลัดดาทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกับการนั่งบนพื้น

“ค่ะ วันก่อนคุณน้าพี่รินกับคุณหนึ่งก็มาเยี่ยม นั่งล้อมวงตรงนี้เหมือนกัน” ศรีนางตีหน้าซื่อ แต่ต้องการสื่อว่าสองราชนิกุลหนุ่มยังนั่งพื้นได้

“คุณพ่อลองชิมดูนะครับ น้องนุ้ยทำอาหารอร่อย” สารินช่วยศรีนางเตรียมของ จาน ชาม ช้อน หม้อน้ำแกง ตะกร้าขนมจีน ผักสด และน้ำดื่ม

ดนูพอใจเมื่อเห็นว่าขนมจีนกับแกงไก่น่ารับประทาน กระทั่งได้ชิมคำแรก…รสชาติจัดจ้านของเครื่องเทศกระจายในปาก น้ำกะทิเข้มข้น เนื้อไก่นิ่มกำลังดี เมื่อรับประทานคู่กับผักสดถือเป็นประสบการณ์การกินที่น่าประทับใจจนต้องเอ่ยชม “อืม อร่อยจริงๆ”

“สีน่ากลัว ดาไม่กล้ากินหรอก” ลัดดาผลักขนมจีนแกงไก่ออกห่างตัว มองแม่กับน้องสาวที่ใช้ช้อนเขี่ยๆ เส้น “แสบท้องแน่หนูดี”

“คุณพ่อบอกว่าอร่อย” ลาวัลย์ฉลาดกว่าพี่สาวจึงลองชิมขนมจีนแกงไก่ฝีมือพี่สะใภ้ แม้สีสันจะออกเหลืองเข้มข้นแต่รสชาติกลับกลมกล่อมจัดจ้านหอมเครื่องเทศ ไม่ได้เผ็ดร้อนอย่างที่คิด

ดนูเติมขนมจีนถึงสามครั้ง เอ่ยชมศรีนางไม่ขาดปาก “ปกติพ่อไม่ชอบกินมะเขือ แต่นุ้ยต้มจนมันนิ่มกำลังดี เพิ่งรู้ว่ากินกับขนมจีนแล้วเข้ากันมาก”

“นุ้ยก็ชอบมะเขือนิ่มๆ เหมือนกันค่ะ”

“ดีๆ”

ลออมองหน้าลูกสาว ดูเหมือนว่าดนูจะพอใจลูกสะใภ้ออกนอกหน้า

“ค่าเช่าเท่าไหร่” ดนูถามลูกชายหลังอิ่มจากขนมจีนแกงไก่

“เดือนละห้าร้อยบาทครับคุณพ่อ เจ้าของเป็นคุณยายอยู่บ้านหลังข้างๆ นี่เอง”

“กลับไปอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือริน” ครั้งนี้ดนูไม่ได้สั่ง ฟังคล้ายๆ ขอร้อง “นุ้ยเรียนกวดวิชาที่เดียวกับหนูดี เสาร์อาทิตย์ก็ไปเรียนพร้อมกัน”

“ขอบคุณครับ” สารินพนมมือไหว้บิดา “แต่ผมมีครอบครัวแล้ว จะให้พึ่งพาอาศัยคุณพ่อกับคุณน้าลออตลอดคงไม่ได้”

เหตุผลของสารินฟังขึ้นจนดนูหมดคำพูดโต้แย้ง

ศรีนางแอบยิ้มให้นิสัยดื้อเงียบของสาริน ขณะที่วางแตงโมสีแดงก่ำเนื้อหวานฉ่ำมาให้แขกกินล้างปาก ท่านเสนาธิการก็เอ่ยกับเธอตรงๆ

“นุ้ย อยากเป็นหมอทหารหรือเปล่า”

 



Don`t copy text!