ฤทัยยักษ์ บทส่งท้าย : หัวใจรักยักษา

ฤทัยยักษ์ บทส่งท้าย : หัวใจรักยักษา

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่ต้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

ฤทัยมาศได้พบศศินอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มมาเยี่ยมหล่อนที่บ้าน หญิงสาวรู้สึกว่าชายหนุ่มสงบและเป็นสุขมากกว่าที่เธอเคยเห็น อาจเป็นเพราะเขาได้ปลดเปลื้องปมในใจกับมารดา

“คุณแม่พี่อยากพบฤทัย” ชายหนุ่มบอกกับหล่อน ฤทัยมาศแปลกใจ ไม่คิดว่ามธุรินมีธุระกับหล่อนอีก แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปพบนางยักษ์

มธุรินถูกควบคุมตัวอย่างแน่นหนา เจ้าหน้าที่เรือนจำคงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก แต่จากแววตาของมธุริน ฤทัยมาศคิดว่าหล่อนยอมรับชะตากรรมและไม่ต้องการหนีอีกแล้ว

“เธอคงเกลียดฉันมากใช่มั้ย” มธุรินเอ่ยถามเมื่อพบหน้าฤทัยมาศ

“ฉันเข้าใจว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง” ฤทัยมาศพูดตรงจากความรู้สึกของหล่อน “เป็นยักษ์ว่ายากแล้ว เป็นนางยักษ์ยิ่งลำบากกว่าหลายเท่า มีสงครามมากมายที่ผู้ชายเป็นคนก่อ ผู้หญิงเป็นคนรับผล แต่คนก็ยังชอบโทษว่าผู้หญิงเป็นต้นเหตุของสงคราม…”

สองสาวสบตากันอย่างเข้าใจ

“ดูเหมือนว่าโลกของฉันกับโลกของเธอจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ” มธุรินเปรย

แต่ถึงอย่างนั้น ฤทัยมาศก็ไม่อาจจะสามารถให้อภัยนางยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าหล่อนได้

“ถึงฉันจะเห็นใจคุณ แต่ฉันไม่มีวันเห็นด้วยกับวิธีที่คุณใช้ คุณฆ่าคนอย่างเลือดเย็น คุณฆ่าพ่อฉัน ฉันไม่มีวันยกโทษให้คุณแน่ๆ”

มธุรินมองฤทัยมาศอย่างเข้าใจ “ฉันรู้… เธอเป็นคนจริงใจกับความรู้สึก คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เธอเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่ฉันนับถือนะฤทัยมาศ”

นางยักษ์เว้นวรรคก่อนพูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันทนายความของฉันจะติดต่อเธอไป เพื่อให้เอกสารสำคัญกับเธอ”

ฤทัยมาศชะงัก “เอกสารอะไรคะ”

“เอกสารที่จะช่วยให้พ่อของเธอพ้นมลทิน…ถือว่าเป็นคำขอโทษจากฉันแล้วกัน”

นางยักษ์ทำตามที่พูด ทนายความของเธอติดต่อฤทัยมาศมาอีกในสองสามวัน หญิงสาวได้รับเอกสารหลักฐานที่เป็นเครื่องยืนยันว่าตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์คือปราการ ไม่ใช่พ่อของเธอ ฤทัยมาศรีบนำเอกสารไปให้กับทางตำรวจ ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่สะพัดออกไปในสื่อ ฤดีแม่ของเธอถึงกับร้องไห้ เมื่อเห็นบรรดาสื่อที่เคยประนามมนัส ออกข่าวเพื่อขออภัยครอบครัวของเธอ

“ยินดีด้วยที่พ่อของคุณพ้นมลทินเสียที” แสงอาทิตย์กล่าวกับฤทัยมาศ เมื่อทั้งคู่พบกันที่วัดโพธิ์

“แล้วเรื่องของคุณล่ะคะ” ฤทัยมาศยังรู้สึกค้างคาใจ “คุณก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่นั่นแหละ ฉันหมายถึงเรื่องที่ว่ายักษ์วัดโพธิ์โกงเงินยักษ์วัดแจ้งแล้วต่อสู้กันใหญ่โต ฉันว่าเรื่องนี้ก็ควรมีการแก้ไขเหมือนกันนะคะ”

ยักษ์หนุ่มทำเพียงยิ้มและยักไหล่ “แค่คุณรู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นยังไงก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นจะคิดยังไงผมไม่สนหรอกนะ”

แต่ฤทัยมาศยังรู้สึกติดค้างในใจอยู่ดี จนในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจว่านอกเหนือจากเวลาราชการ หล่อนจะรับทำงานพิเศษเป็นไกด์นำเที่ยวบริเวณวัดโพธิ์ฯ

ในทุกๆ ครั้งที่หล่อนนำเที่ยว หญิงสาวก็จะถามกลุ่มนักท่องเที่ยวเรื่องตำนานของยักษ์สองวัดอยู่เสมอ อย่างในวันนี้ที่มีคณะจากโรงเรียนมัธยมฯ มาทัศนศึกษาที่วัดโพธิ์ฯ

“ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งใช่มั้ยคะ”

“ผมรู้ฮะ” เด็กชายวัยมัธยมคนหนึ่งพูดขึ้น “แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ยักษ์วัดโพธิ์เบี้ยวหนี้ ไม่ยอมคืนเงินยักษ์วัดแจ้ง สุดท้ายก็เลยตีกันจนเกิดเป็นท่าเตียน”

ฤทัยมาศยิ้ม เธอชอบเวลานี้จริงๆ ที่เธอจะได้พูดว่า “ผิดค่ะ! ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ได้โกงเงินยักษ์วัดแจ้ง… อยากรู้มั้ยคะว่าเรื่องจริงๆ เป็นยังไง แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยาวสักหน่อยนะคะ”

พูดเพียงแค่นั้น ก็มีเสียงจากบรรดาเด็กวัยมัธยมต้นร้องว่าอยากฟังกันหลายต่อหลายคน ฤทัยมาศยิ่งยิ้มกว้างไปใหญ่จนพูดต่อว่า

“งั้นพี่จะเล่าให้ฟังนะคะ”

ฤทัยมาศยังคงพยายามเล่าความจริงจากมุมมองของยักษ์ทุกๆ ครั้งที่เธอมีโอกาส แสงอาทิตย์มาช่วยเธอเล่าเรื่องในหลายๆ ครั้ง ยักษ์ตนอื่นๆ ในวัดโพธิ์ก็มาร่วมแสดงประกอบเรื่องเล่าด้วย จนเรื่องราวที่ฤทัยมาศเล่าค่อยๆ กลายเป็นอีกเรื่องเล่าหนึ่งนอกเหนือจากเรื่องเล่ายักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งที่คนเคยเชื่อแต่เดิม

 

หลังจากเสร็จภารกิจนำเที่ยวในแต่ละวัน ฤทัยมาศก็จะไปหาแสงอาทิตย์ ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันสลับระหว่างโลกภายในวัดโพธิ์กับโลกมนุษย์ภายนอกวัด

ยักษ์ตนอื่นยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ เพียงแต่มีผู้ที่แวะเวียนมาเพิ่มขึ้น บางวันเวลาที่แสงอาทิตย์ไม่อยู่ มัจฉานุก็มาเยี่ยมมัยราพณ์ พ่อยักษ์กับลูกลิงพูดคุยกันดังเดิมโดยไม่มีเรื่องบาดหมางใด ส่วนพญาขรก็ไม่ได้ห้ามปรามให้แสงอาทิตย์ไปหาฤทัยมาศแต่อย่างใด จนยักษ์สัทธาสูรที่ยืนอยู่เคียงกันอดถามไม่ได้

“ท่านไม่ห้ามลูกของท่านให้คบหากับมนุษย์แล้วหรือพญาขร”

พญายักษ์เมืองโรมคัลหันมาถามพญายักษ์เมืองอัสดงค์ “เจ้าเคยเห็นยักษ์ที่ไม่มีหัวใจแล้ว แต่ก็ยังรักใครคนหนึ่งได้อยู่หรือไม่ พญาสัทธาสูร”

สัทธาสูรนิ่งคิดไปชั่วครู่ แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เคย”

“นั่นแหละ…สิ่งนี้คือปาฏิหาริย์” ขรยิ้มเมื่อมองเห็นลูกชายยืนเคียงข้างคนที่เขารักที่สุด “แล้วเจ้าก็รู้…ปาฏิหาริย์แบบนี้มีเพียงมหาเทพสูงสุดที่ทำให้เกิดขึ้นได้”

“นี่เจ้าหมายถึง…พระอิศวรงั้นหรือ” สัทธาสูรพูดอย่างตื่นเต้น

ดูเหมือนพญาขรจะคาดเดาไม่ผิดไปจากความจริง หลังจากนั้นไม่กี่วัน แสงอาทิตย์ก็เห็นกลุ่มก้อนเมฆที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ก่อนสุรเสียงอันทรงอำนาจจะดังขึ้น

“ข้ารู้ทุกสิ่งที่เจ้าทำแสงอาทิตย์ คราวนี้เจ้าสร้างคุณความดีให้กับโลก ข้ามีสิ่งที่จะตอบแทนเจ้า”

แสงอาทิตย์รับฟังข้อเสนอจากพระอิศวร ก่อนจะนำข้อความดังกล่าวไปบอกกับฤทัยมาศในวันต่อมา

“พระอิศวร…จะให้คุณสามารถเป็นมนุษย์ได้งั้นเหรอคะ” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น

“ใช่ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมนอกจากคราวนี้ ท่านไม่ลงโทษผม แถมจะตบรางวัลให้เสียอีก”

“ไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ” หญิงสาววิเคราะห์ “พระอิศวรเคยให้นิ้วเพชรกับนนทก จนสวรรค์วุ่นวาย พระนารายณ์ต้องมาปราบ ฉันว่าจริงๆเ วลาพระอิศวรให้พร ท่านก็ไม่ค่อยคิดถึงผลที่ตามมาสักเท่าไหร่ คุณห้ามไปบอกท่านเชียวนะว่าฉันเมาท์ท่านแบบนี้”

“แล้ว…” หญิงสาวมองหน้ายักษ์หนุ่ม “คุณจะรับพรของพระอิศวรมั้ยคะ”

แสงอาทิตย์ยังมีสีหน้าครุ่นคิด พรของพระอิศวรข้อนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญ “ถ้าหากว่าผมยอมรับ…ที่จะกลายเป็นมนุษย์ ผมจะไม่ได้เจอกับยักษ์ที่วัดโพธิ์อีกเลย หมายถึงผมอาจจะเจอพวกเขาอยู่ในสภาพของรูปปั้น แต่ผมก็คงไม่ได้พูดคุยกับพ่อ กับมัยราพณ์ กับสัทธาสูร กับเพื่อนคนอื่นๆ ในวัดโพธิ์ได้อีก”

หญิงสาวชะงัก เข้าใจแล้วว่าทำไมคนรักของหล่อนถึงลังเล ความผูกพันระหว่างเขากับยักษ์ตนอื่นๆ มีมากมาย ทั้งในฐานะพ่อ ในฐานะมิตรสหาย และในฐานะเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย

“ฉันแล้วแต่คุณนะคะ” ฤทัยมาศบอกกับยักษ์หนุ่มจากใจจริง “คุณจะเลือกทางไหนก็ได้ จะเป็นยักษ์เหมือนเดิม หรือจะเปลี่ยนเป็นมนุษย์ ฉันก็พร้อมที่จะสนับสนุนคุณทุกอย่าง”

แสงอาทิตย์ทบทวน “ถ้าผมเป็นคน…ผมก็อาจจะได้เริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ในฐานะตัวร้ายตลอดกาลแบบยักษ์แสงอาทิตย์อีก”

“ก็จริงค่ะ แต่ใช่ว่าในโลกมนุษย์จะไม่มีการตีตราตัดสินความดีความเลวกันหรอกนะคะ มีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกตัดสินว่าเป็นคนเลวจากแค่ภาพที่คนอื่นมองว่าเขาเป็น”

“แต่ในโลกของคุณ…มีสิ่งนั้นไม่ใช่เหรอ ผมหมายถึงตำรวจ ศาล ระบบความยุติธรรม”

“ก็ใช่นะคะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับความยุติธรรมเสมอไป” ฤทัยมาศพูดตามสิ่งที่เธอเห็น “แล้วคุณก็อาจต้องปวดหัวเรื่องหางานทำ ปวดหัวกับเรื่องเงินเฟ้อ เรื่องภาษี และถึงคุณจะโกรธใคร คุณก็จะไปจัดการเขาแบบยักษ์ไม่ได้หรอกนะคะ อาจจะได้แค่ด่าลอยๆ บนโซเชียล”

แสงอาทิตย์พยายามทำความเข้าใจกับโลกใหม่ที่เขาอาจจะต้องไปอยู่

“เรื่องนั้นผมคงปรับตัวได้ แต่ถ้าผมเป็นมนุษย์…ผมก็จะไม่เจอกับพ่อ กับเพื่อนๆ อีก”

ฤทัยมาศเข้าใจความกังวลของแสงอาทิตย์ เธอกุมมือของเขาไว้ “ถ้าคุณไม่อยากจากพวกเขาไป ก็ปฏิเสธพรนั้นก็ได้นะคะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”

แสงอาทิตย์สบตาหญิงคนรัก “แต่ถ้าผมเป็นยักษ์…นั่นก็แปลว่าผมจะไม่มีวันให้คุณเหมือนที่ผู้ชายคนอื่นให้ได้ คุณจะไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าผมเป็นใคร เราอาจจะไม่สามารถมีงานแต่งงานได้เหมือนกับคู่รักคู่อื่นๆ”

“แล้วยังไงล่ะคะ” ฤทัยมาศย้อนถามยักษ์หนุ่ม “ความสุขของฉันไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ว่าแต่คุณเถอะ…ฉันรู้ว่าถ้าหากคุณยังเป็นยักษ์ คุณจะอายุยืนยาวนานกว่าฉันมากโดยที่ยังรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม แล้วถ้าในวันหนึ่ง ฉันกลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยว คุณจะยังกล้าเดินคู่กับฉันอยู่มั้ยคะ”

แสงอาทิตย์หัวเราะขึ้นมาทันที “กล้าสิ ดีเสียอีก คุณจะได้บอกคนอื่นว่าคุณเป็นอมตะเพราะกินเด็ก”

ฤทัยมาศหัวเราะขันคำนั้น “เอาคำศัพท์นี้มาจากไหนนี่ มาร์โคโปโลสอนใช่มั้ยคะ”

หญิงสาวหยุดหัวเราะเมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้ “แล้วถ้าวันหนึ่งฉันตายขึ้นมาล่ะคะ คุณจะทำยังไง”

คราวนี้แสงอาทิตย์เอื้อมไปกุมมือของหญิงสาวบ้าง “ผมก็…จะอยู่ข้างๆ คุณอย่างนี้ แล้วบอกว่าลาก่อนในชาตินี้ แต่เราจะเจอกันในชาติภพใหม่ ผมจะรีบตามหาคุณจนเจอ”

“ชาติภพใหม่ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเป็นใครนะคะ…ฉันอาจจะไปเกิดที่ที่ไกลจากคุณมาก ฉันอาจจะมีนิสัยแย่เกินรับได้ หรือฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ”

“ผมเคยมีคนรักที่ยอมรับผมได้ในตอนที่ผมมีเขี้ยวงอกออกมาจากปาก ถ้าเธอรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ ผมก็จะรับได้ในสิ่งที่เธอเป็นเหมือนกัน”

ทั้งสองยิ้มให้กัน เหมือนจะรู้ในที่สุดว่าแสงอาทิตย์จะตอบกับพระอิศวรว่าอย่างไร

 

แสงอาทิตย์เลือกที่จะปฏิเสธพรจากพระอิศวร พญายักษ์และฤทัยมาศยังใช้เวลาร่วมกันระหว่างสองโลกอยู่อย่างนั้น

ส่วนมาร์โคโปโลและลินิน ทั้งคู่ยังคงความคลั่งรักกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อลินินลาพักร้อนหล่อนก็พามาร์โคโปโลไปท่องเที่ยวต่างประเทศกับหล่อนด้วย

หนุ่มตุ๊กตาหินที่อวดอ้างว่าเป็นผู้ค้นพบเส้นทางสายไหมดูจะหวาดกลัวไม่ใช่น้อยกับการเดินทางไปยังดินแดนที่เขาไม่รู้จัก แต่ไม่นานทั้งสองก็ถ่ายรูปส่งมาให้กับฤทัยมาศ เป็นรูปที่มาร์โคโปโลและลินินอยู่เคียงข้างกันในทะเลทรายแห่งหนึ่งในเมืองจีน

“ในที่สุด มาร์โคโปโลก็ได้ไปเส้นทางสายไหมจริงๆ นะคะ”

“งั้นเราก็ไปกรุงลงกากันบ้างดีมั้ย” แสงอาทิตย์ถามขึ้นมา

“ไปได้จริงๆ เหรอคะ” ฤทัยมาศตื่นเต้น

“ตอนนี้กรุงลงกากับเมืองโรมคัลกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ถ้าลองตามแผนที่ไป ก็คงจะพอพบร่องรอยอะไรบ้าง”

ยักษ์หนุ่มและหญิงสาวจึงร่วมกันวางแผนที่จะเดินทางไปอินเดีย ฤทัยมาศเจอข้อมูลที่ทำให้หล่อนเปิดแผนที่ในมือถือพร้อมกับบอกแสงอาทิตย์อย่างตื่นเต้น

“ดูนี่สิคะ สะพานอดัม (1) เชื่อมระหว่างอินเดียกับศรีลังกา ที่นี่แหละที่คนเชื่อว่าเป็นสะพานที่สร้างขึ้นด้วยกองทัพของพระราม”

แสงอาทิตย์มองรูปภาพในแผนที่ ระลึกได้ถึงบ้านเก่าที่จากมานาน

“ถ้าเราตามเส้นทางนี้ไป…เราอาจจะได้เจอกรุงลงกา และก็เมืองโรมคัลของคุณนะคะ” ฤทัยมาศมองแสงอาทิตย์อย่างมีความหวัง

แต่ก่อนที่จะเดินทางไป ฤทัยมาศมีบางอย่างที่เธอต้องจัดการสะสางก่อน

หญิงสาวเข้าไปพบกับมธุรินอีกครั้งในเรือนจำ หล่อนยื่นรูปใบหนึ่งวางไว้ตรงหน้าของมธุริน

“นี่ถือเป็นคำขอบคุณแล้วกันนะคะ…ที่คุณช่วยให้พ่อฉันพ้นจากข้อกล่าวหา”

นางยักษ์พลิกดูรูปถ่ายใบนั้นแล้วก็นิ่งงัน “นี่มัน…”

“รูปปั้นของจิตรไพรี สามีของคุณ ตอนนี้รูปปั้นนี้เข้าไปตั้งอยู่ในวัดโพธิ์แล้ว”

ฤทัยมาศขยายความเพิ่มเติมว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของบรรดายักษ์วัดโพธิ์ เริ่มตั้งแต่มัยราพณ์ที่ใช้มนตร์สะกดทัพทำให้คนในวัดโพธิ์ฯ ตั้งแต่พระผู้ใหญ่ไปจนถึงสามเณรมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น จากนั้นยักษ์ที่เหลือก็ช่วยกันกระซิบบอกให้สร้างรูปปั้นของจิตรไพรี

เมื่อทั้งหมดตื่นมาในรุ่งเช้าและรับรู้ว่าตนเองฝันประหลาดคล้ายๆ กัน จึงตัดสินใจสร้างรูปปั้นของจิตรไพรีพี่เลี้ยงของแสงอาทิตย์มาไว้ที่วัดในที่สุด

“ตอนนี้ มีรูปปั้นของจิตรไพรีแล้ว ใครจะไปรู้…ในวันหนึ่ง รูปปั้นนี้อาจจะมีชีวิตขึ้นมาเหมือนกับแสงอาทิตย์ก็ได้”

มธุรินตื้นตันจนพูดไม่ออก นางยักษ์ไม่ได้ทำอะไรที่เกินกว่าคนที่เย็นชาอย่างหล่อนจะทำได้ แต่เพียงคำขอบคุณสั้นๆ ก็ทำให้ฤทัยมาศรับรู้ได้ว่ามธุรินมีความสุขมากเพียงใด

 

ฤทัยมาศกับแสงอาทิตย์เดินทางไปอินเดียเกือบสองอาทิตย์ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาพร้อมกับของฝากให้เพื่อนๆ ในวัดโพธิ์

ขรกับสัทธาสูรได้รับโปสต์การ์ดที่เป็นรูปภาพที่มาจากสถานที่ที่เคยเป็นเมืองโรมคัลและเมืองอัศดงค์ ยักษ์ทั้งสองต่างจ้องมองภาพที่ตนได้รับพลางนึกถึงบ้านแต่หนหลัง ส่วนมัยราพณ์ได้รับว่านยาซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาปรุงยาสารพัดชนิดไปได้อีกนาน มาร์โคโปโลก็ได้เข็มทิศสำหรับใช้ในการเดินทางครั้งต่อไปของเขา

ฤทัยมาศไม่ลืมที่จะซื้อลูกแก้วใบใหม่ให้สิงโตหินใช้เล่นสนุก ส่วนบรรดานักรบตุ๊กตาหินจีนก็ได้รับชุดอุปรากรจีนชุดใหม่ ฤๅษีดัดตนหลายสิบตนหันมามองฤทัยมาศด้วยความหวัง

“โทษทีนะ ฉันไม่รู้ว่าจะเอาของอะไรมาฝาก สุดท้ายก็เลยซื้ออันนี้มา…”

หญิงสาวหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเดินทางก่อนบอก

“เสื่อโยคะ เผื่อจะใช้คิดค้นท่าดัดตนแบบใหม่ๆ”

ฤๅษีดัดตนต่างยื้อแย่งเข้าไปขึ้นเหยียบยืนเสื่อทันที เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย แต่ไม่นานแต่ละตนก็ดูจะตกลงกันได้ และผลัดกันทำท่าดัดตนในแบบต่างๆ บนเสื่อ

“ผมมีของให้คุณด้วย” แสงอาทิตย์กระซิบบอกหล่อน ฤทัยมาศแปลกใจ ก่อนที่จะถูกยักษ์หนุ่มดึงตัวมาให้อยู่กันเพียงลำพัง

แสงอาทิตย์ค่อยๆ คุกเข่าลง ก่อนยื่นกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กไปตรงหน้าของฤทัยมาศ

“ผมเคยทำแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นคุณโกรธเพราะผมไม่รู้ธรรมเนียมของมนุษย์ แต่คราวนี้ ผมจะทำในแบบของยักษ์”

ฤทัยมาศหยิบกล่องในมือของแสงอาทิตย์ เมื่อเปิดออกดูจึงเห็นว่าในนั้นมีก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งอยู่

“หินจากที่ที่เคยเป็นเมืองโรมคัล…ยักษ์เมืองโรมคัลมีธรรมเนียมว่าถ้าอยากได้ใครมาเป็นเจ้าสาว ให้ยื่นหินจากบ้านเกิดตนเองไปให้กับผู้หญิงคนนั้น แล้วถ้าเธอรับก็แปลว่าตกลง”

หญิงสาวแทบไม่รอให้คำถามนั้นจบลง หล่อนรับก้อนหินก้อนนั้นมาจากแสงอาทิตย์ในทันทีทันใด

แสงอาทิตย์ลุกขึ้นมากอดร่างของฤทัยมาศไว้แนบแน่น และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ยักษ์หนุ่มลืมว่าตนเองเป็นยักษ์และหญิงสาวเป็นมนุษย์

 

สองดวงใจสอดสวมรวมเป็นหนึ่ง                     ไม่พรั่นพรึงอุปสรรคอันหนักหนา  

เส้นขีดแบ่งใดใดในโลกา                              มิมีค่าเท่าสัญญาที่ให้กัน                    

ต่อให้พ้นคืนผ่านกาลเปลี่ยนผัน                           มิมีวันปล่อยฤทัยให้ห่างหาย

เป็นยักษ์หรือคนนั้นต่างแค่กาย                        ในหัวใจรักแท้ได้ไม่ต่างกัน

         

จบบริบูรณ์

 

เชิงอรรถ : 

(1) สะพานอดัม (Adam’s Bridge) หรือ รามเสตุ (Ram Setu) ที่แปลว่าสะพานพระราม เป็นแนวสันดอนหินที่เชื่อมระหว่างอินเดียกับศรีลังกา ซึ่งถูกนำไปเชื่อมโยงกับตำนานการก่อสะพานหินข้ามไปยังกรุงลงกาในรามยณะของอินเดีย



Don`t copy text!