ชมา 5 ชีวิต บทที่ 13.1 : บ้านเก่าเวลาใหม่

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 13.1 : บ้านเก่าเวลาใหม่

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

การพบบรรพตอีกครั้งในชื่อบอนนี่และใบหน้าใหม่ ทำให้ผมได้กลับมาเยือนโต๊ะยักษ์ขนาด 12 ที่นั่ง ในครัวบ้านเป้อีกครั้ง

จากหน้าต่างห้องครัว ต้นไม้โตขึ้นมาก และดูเหมือนบ้านเองก็เติบโตขึ้นด้วย การเติบโตนี้เป็นไปในแง่ที่ว่า ข้าวของชิ้นใหญ่ๆ ที่มีเพียงไม่กี่ชิ้น เพิ่มพูนขึ้นทั้งจำนวนและความหลากหลายของสีสัน บรรพตในร่างของบอนนี่เต็มไปด้วยความรู้สึกเร้าใจ ร่าเริง เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

เขาทาปากสีแปร๋น และส่งเสียงวี้ดว้ายใส่ผมเหมือนเจอศิลปินคนโปรด ก่อนหันมาถามเป้ว่า ไปเอาแมวสวยๆ แบบนี้มาจากไหน ดูสิใส่ถุงเท้าเท่ากันทั้งสี่ขาเลย

ผมเดินสำรวจบ้าน สิ่งเก่าๆ ย้อนกลับมาเหมือนภาพจิกซอว์ที่ค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพขนาดใหญ่ จนกระทั่งไปถึงห้องห้องหนึ่งบนชั้นสอง…

เป้เปิดประตูเข้าไป บอกฟ้าใสว่าเป็นห้องเก่าของเขาและให้ฟ้าใสพักห้องนี้

ผมย่องตามเข้าไปสำรวจ และเมื่อกวาดตาระวัดระวัง ไล่จากพื้นขึ้นไปบนผนัง กลิ่นของความทรงจำก็ย้อนรายละเอียดเข้ามาราวกับได้เห็นภาพตรงหน้าอีกครั้ง

เป้นั่งร้องไห้อยู่ในห้อง ตอนนั้นเขาเรียนใกล้จบแล้ว เมื่อผมเข้าไปไถลำตัวกับขาของเขา เป้ก็คว้าผมมาแนบอก

“หยก…” เขาเรียกเสียงเบาหวิว “พรุ่งนี้พ่อจะผ่าตัดแล้ว เดี๋ยวเราจะไม่มีพ่อแล้วนะ เรา…จะไม่มีพ่ออีกต่อไปแล้ว”

พูดจบเป้ก็ร้องไห้ เขาไม่เคยร้องไห้หรือแสดงออกใดๆ เรื่องที่บรรพตอยากจะเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงมาก่อน

ในเมื่อการประเมินทางจิตวิทยาผ่าน บรรพตได้รับฮอร์โมนไปตามขั้นตอนโดยมีเบญจมินทร์เป็นคนดูแล เขาก็ตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งเป้ผู้ไม่ค่อยพูดอะไรมากมายอยู่แล้วก็เอาแต่ยิ้มและพยักหน้าให้พ่อตัวเอง

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเป้จะเสียใจมากมายขนาดนี้ ผมซึ่งมองเห็นทุกอย่างจากโต๊ะยักษ์ตัวนั้น หลงคิดว่าเป้ยอมรับได้ และมีความสุขไปกับบรรพตที่ร่าเริงขึ้นทุกวัน

วันที่ใกล้ผ่าตัด บรรพตมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เป้กอดบรรพตเพื่อให้กำลังใจ บอกเขาว่าพ่อแข็งแรงอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดี ผมได้ยินบรรพตบอกขอบใจเป้ เขาบอกลูกชายคนเดียวว่า ก่อนหน้านี้เขาหลงกลัวว่าลูกและน้องชายจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าคนที่ทำให้เขากังวลใจที่สุด จะเป็นคนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างเขาอย่างที่สุด

ใครๆ ในกลุ่มเปเปอร์โรเซ่ก็อิจฉาเขา บรรพตไม่เคยคิดว่าเขาจะโชคดีขนาดนี้มาก่อน

บรรพตโชคดี ผมเห็นด้วยกับเขา แต่ไม่คิดว่าคนที่พ่อกำลังจะแปลงจากพ่อไปเป็นแม่อย่างเป้ จะเป็นคนที่โชคดี

ผมไม่ได้กล่าวอ้างไปเอง แต่เหตุการณ์บางอย่างที่ผมประสบ ทำให้ผมคาดเดาไปแบบนั้น

คืนนั้น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาตั้งแต่บ่าย ไอ้หนุ่มก้ามปูมาหาบรรพตที่บ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว บรรพตดูจะเคอะเขิน เพราะไม่เคยปรากฏร่างอย่างผู้ชายต่อหน้าหมอนั่นมาก่อน

พวกเขาใช้เวลาด้วยกันในห้องครัว หัวเราะคิกคัก หยอกล้อ ยิ้มหัว บรรยากาศราวกับดอกไม้กำลังจะผลิบานกลางฤดูหนาวที่แสนจะโรแมนติก

เมื่อเสร็จจากมื้ออาหารพวกเขาก็ช่วยกันเก็บกวาด ระหว่างที่บรรพตกำลังล้างจานอยู่ที่อ่าง ชายก้ามปูเข้าประชิดบรรพตทางด้านหลัง ผมมองดูการโรมรันพันตูของทั้งคู่ แล้วหูก็ได้ยินเสียงดังแกร๊ก…ใครบางคนกำลังไขประตูเข้าบ้าน เวลานั้นเงียบจนได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของบรรพต ซึ่งทำให้เสียงไขประตูดังพอที่บรรพตจะได้ยิน

เขาสะดุ้งโหยง ผลักชายกล้ามปูจนร่างกระเด็น

เป้โผล่เข้ามาในห้องครัว ยกมือไหว้พ่อ ส่วนเพื่อนของพ่อนั้นบรรพตยัดเขาเข้าห้องน้ำไปแล้ว

“กลับมานอนบ้านเหรอลูก” บรรพตถาม เหงื่อซึม

“เปล่าครับ เป้มาเอารายงาน ลืมไปว่ากำหนดส่งพรุ่งนี้”

เป้เดินขึ้นห้องส่วนตัวและกลับออกไปจากบ้านภายในห้านาที บรรพตหายใจโล่ง เขาหันไปต่อว่าหนุ่มก้ามปู บอกหมอนั่นว่า “เกือบไปแล้ว” จากนั้นก็หัวเราะให้กันและกัน เสียงคิกคักดังลั่นไปถึงด้านนอก

เสียงฟ้าครางครืนๆ เป้กลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ผมวิ่งไปหาเขา เพราะไม่สนุกกับเรื่องของบรรพตอีกต่อไปแล้ว

เป้คว้าร่ม หันหลังเตรียมออกจากบ้าน แต่แล้วเขาก็ค่อยๆ หันกลับมาตามเสียงหัวเราะ คราวนี้เป้ก้าวเข้าไปเงียบเชียบ หย่อนร่างลงปลายเท้าไปจนถึงห้องครัว ผมเดินตามไป เห็นหนุ่มก้ามปูวิ่งไล่บรรพตเหมือนเด็กวิ่งไล่จับ ในที่สุดก็รวบร่างบึกบึนทว่าบางกว่าเล็กน้อยของบรรพตเอาไว้ได้

ทั้งคู่จูบกัน ร่างของบรรพตไหลลื่น สอดคล้อง ราวกับพวกเขากำลังเต้นระบำ

ผมเห็นเป้ยืนนิ่ง ตัวสั่นเทิ้ม แล้วหันหลังเดินออกจากบ้านไป

ประตูหน้าเปิดอ้า ฝนเทกระหน่ำ ทั้งๆ ที่มีร่มติดมือไปด้วยแต่เป้ได้แต่ถือเดินฝ่าฝนไปทั้งอย่างนั้น

เรื่องนั้นเกิดขึ้นก่อนที่บรรพตจะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน ก่อนที่เบญจมินทร์จะค้นพบว่าพี่ชายของเขากินอะไรเข้าไป เพียงแต่เป้เก็บเอาไว้ในใจเงียบๆ ไม่ได้เล่าสิ่งที่เขาเจอมาทั้งหมดให้เบญจมินทร์หรือใครฟัง เหมือนกับว่าเขาอยากจะลืมเรื่องราวคืนนั้น เหมือนกับว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

จนกระทั่งถึงคืนก่อนบรรพตจะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ เป้ก็หวนกับมาคิดถึงเรื่องในห้องครัวอีกครั้ง

เขาไม่ได้บอกผมหรอก เป้เพียงแต่พูดกับผมว่า

“แล้วผู้ชายคนนั้นเขาจะรักพ่อจริงๆ หรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจเลยหยก ทั้งฉันและพ่อตัดสินใจถูกหรือเปล่า”

จากนั้นก็ร้องไห้เงียบๆ น่าแปลกที่ผมรู้สึกหนักอึ้งจนอยากจะเลียขนทั้งตัว แต่ก็ไม่อยากขยับออกจากอ้อมกอดของเป้เลย

ผมอยากให้เขาระบายสิ่งที่เขาคิด เขากลัว ออกมาให้หมด แต่เป้ก็พูดอีกแค่ว่า

“ฉันผิดหรือเปล่าหยกที่ไม่ยินดีกับพ่อเลย ฉัน…ไม่อยากให้พ่อผ่าตัดเลย ฉัน” เขาสะอื้น “เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่าหยก”

แค่นั้นเอง ทั้งหมดที่เขาพูดเรื่องการผ่าตัดของบรรพตมีแค่นั้นเอง จนกระทั่งการผ่าตัดเสร็จสิ้น เป้ก็ได้แต่ซ่อนน้ำตาเอาไว้ เขาเอาแต่ยิ้ม ชื่นชม ให้กำลังใจพ่อ แม้ชายก้ามปูผู้นั้นจะไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย เป้ก็ไม่เคยพูดอะไรออกมาอีก

 

“เดี๋ยวฉันจะไปนอนห้องนอนข้างล่าง มันใกล้กับห้องที่พ่อพัก” เป้บอกฟ้าใส เสียงนั้นดึงผมกลับมาเป็นชมาในชีวิตที่ 5 อีกครั้ง

“แล้วไปโกหกว่าเราเป็นแฟนกันอย่างนั้นจะดีหรือ” ฟ้าใสถาม

“พูดแบบนี้พ่อจะรู้สึกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา พ่อจะได้ไม่ต้องสร้างภาพ ไม่ต้องอึดอัด ส่วนเธอเองก็จะได้ใกล้ชิดบอนนี่ที่เธอชอบนักชอบหนา”

ฟ้าใสพยักหน้ารับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทั้งคู่กำลังทำอะไรอยู่

ในเมื่อคนไม่ช่างพูดอย่างเป้ อยากจะอธิบายให้ฟ้าใสรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจกะเทยอย่างที่เธอปรามาส การทำให้ฟ้าใสมาเห็นของจริงนั้นคงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

ผมมองพวกเขาสลับกันไปมา นึกถึงเรื่องที่ทั้งคู่เถียงกันเมื่อหลายวันก่อน —

 “ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คนหนึ่ง คงไม่มีอะไรจะสง่างามกว่านี้แล้วสินะ ส่วนคนที่ขวางหรือไม่สนับสนุนน่ะ ก็คงเป็นได้แค่คนใจแคบ แม้ว่าความใจแคบนั้นจะมาจากความรักรักเท่าชีวิตของคนคนนั้นก็ตาม

 

 

 



Don`t copy text!