ชมา 5 ชีวิต บทที่ 14.1 : ฟาร์มลับ

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 14.1 : ฟาร์มลับ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

 

ผมว่าเป้รับมือได้ค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนๆ ของบอนนี่ที่พากันมาเยี่ยมที่บ้าน

ส่วนบอนนี่ เธอใช้เวลาแต่งตัวสวยอยู่นานเพื่อเตรียมต้อนรับเพื่อนๆ ที่กำลังจะมาถึง

ในห้องนอนของบอนนี่ตกแต่งด้วยสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีสีอื่นๆ ปะปนอยู่บนพรมผืนเล็ก บนม่านหน้าต่างและของกระจุกระจิกอื่นๆ

ฟ้าใสทำตัวเป็นแฟนที่ดีของลูกชาย เธอเข้าไปช่วยบอนนี่เลือกเสื้อผ้า แถมไม่มีอาการตกใจหน้าสดของบอนนี่ที่ถูกเล่นงานจนย่ำแย่ จากวัยและวิถีชีวิตอันมีมลทินของเขา

ในแต่ละวันมันเพียบแปล้ไปด้วยปาร์ตี้และเหล้ายาปลาปิ้ง ถึงผมจะไม่รู้ไม่เห็นชีวิตช่วงหลังของบอนนี่ แต่ผมที่สั้นและบาง โคนผมเป็นสีขาว พุงเริ่มหลามล้นมาที่ขอบกางเกง ผมเลยพอจะสันนิษฐานได้ว่า ชีวิตของบอนนี้ก็คงจะไม่ต่างจากบรรพตในช่วงเวลาค้นหาตัวเองเท่าใดนักหรอก

“โทรมมากไหม” บอนนี่เอาสองมือประคองแก้ม ถามฟ้าใสที่กำลังช่วยเขาเลือกเครื่องประดับหินอยู่

“ไม่หรอกค่ะ หน้าสดใครก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ”

“จริงเหรอ” เธอถามอย่างไม่วางใจ เมื่อฟ้าใสยิ้มยืนยัน บอนนี่ก็ดูสบายใจขึ้น

วันนี้บอนนี่เลือกวิกผมสีแดง ชุดลายดอกตัวหลวมยาวกรอมเท้า ฟ้าใสช่วยบอนนี่แต่งหน้า ด้วยการกรีดตาด้วยหมึกสีดำ และทาปากด้วยสีชมพู บอนนี่หันไปหากระจก เอียงซ้ายเอียงขวาดูใบหน้าของตัวเองแล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ

“สวยมากเลยใช่ไหมคะ” ฟ้าใสถาม

“ฝีมือดีจัง” เธอกล่าวชม แล้วกางมือออกสองข้างให้ฟ้าใสเข้าไปกอด “ขอบใจนะลูกสะใภ้”

“อา…ค่ะ” ฟ้าใสยิ้มรับ เขินนิดๆ

 

คณะของเปเปอร์โรเซ่มาถึงตอนบ่าย ผมพยายามมองหน้าแต่ละคนเพื่อจะจำให้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครในชีวิตที่ 4 บ้าง แต่ไม่เห็นชายผมสั้นก้ามปูคนนั้น

เป้ช่วยฟ้าใสเสิร์ฟน้ำและของว่าง บอนนี่แนะนำฟ้าใสให้เพื่อนๆ รู้จัก ด้วยคำว่า ‘อนาคตลูกสะใภ้’ เพื่อนๆ ทั้งสี่คนของบอนนี่กรี๊ดกร๊าด ชื่นชมว่า ว่าที่ลูกสะใภ้ของบอนนี่น่ารัก พวกเขาแซวให้รีบแต่งงาน แล้วจบด้วยการถกเถียงกันว่า จะให้ลูกของเป้เรียกบอนนี่ว่าปู่หรือย่าดี

ผมว่าฟ้าใสเขินนิดๆ แต่เป้ซึ่งเขินเอามากๆ ปกปิดความรู้สึกด้วยการแกล้งทำเย็นชา ดังนั้นตอนที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังในครัว เป้เลยเกิดอาการเกร็ง มือไม้แข็งจนเกือบจะปัดแก้วน้ำตกแตก โชคดีที่ฟ้าใสโฉบมารับเอาไว้ได้ทัน

จังหวะนั้นความใกล้ชิดอย่างไม่ตั้งใจเกิดขึ้น เป้ตกใจจนล้มก้นจ้ำเป้าใส่ถังขยะ

“ไม่เป็นไร” เขายกมือห้าม เมื่อเห็นฟ้าใสจะนั่งตามลงมาช่วยเก็บขยะที่กระเด็นออกมาจากถัง

“เดี๋ยวเก็บเอง” เป้ว่า

ถ้าผมเป็นหมาคงหัวเราะความเฉิ่มของนายคนนี้ออกมาแล้ว แต่แมวอย่างพวกเราหัวเราะไม่ได้ ผมเลยได้แต่จ้องมองนิ่งๆ หูลู่ไปข้างหลัง ระมัดระวังว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติอะไรขึ้นมาอีก

ฟ้าใสลอบยิ้ม เธอเดินไปแนบตัวกับขอบประตูห้องครัว มองออกไปข้างนอก เสียงหัวเราะของเปเปอร์โรเซ่ดังสลับกับเสียงพูดคุยที่เต็มไปด้วยคำสบถ ด่าทอ ผมรู้สึกว่าฟ้าใสรับมือกับคำพวกนี้ได้เป็นอย่างดี จนสงสัยว่าเธอโตขึ้นมายังไงกันแน่ ในขณะที่ผู้ชายอย่างเป้ดูจะรับมือได้ยากกว่า

“ดูบอนนี่มีความสุขจังนะ”

“เพื่อนมาหาก็ต้องมีความสุขสิ”

“พวกเขาน่ารักดีนะ”

พูดคำด่าคำนี่นะ ผมอุทานในใจ

“ก็งั้นมั้ง” เป้ตอบ

“เป้ไม่คิดงั้นเหรอ”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“เป้…” เสียงฉงนของฟ้าใสเรียกเป้ดังๆ อีกครั้ง

ผมมองตามสายตาฟ้าใส ก็เห็นเป้นั่งยองอยู่ข้างถังขยะ ตอนนี้เขาจับมันตั้งขึ้นแต่ไม่ยอมใส่ฝาที่กระเด็นออกมาเอาไว้เหมือนเดิม

ตอนนั้นเองที่ทั้งผมและฟ้าใสเห็นถุงบางอย่างในมือเป้ เขามองดูมันก่อนจะกำเอาไว้จนแน่น ฟ้าใสนั่งลง

“อะไรเหรอ” เธอถาม สีหน้าเป็นกังวล

“เอสโตรเจน” เป้ตอบเสียงเรียบ ผมรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป้ทำเป็นรับได้ ไม่สน ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น แต่พอบอนนี่มีเรื่อง เขาก็รีบแจ้นมาอยู่กับพ่อ ทั้งๆ ที่ผมยังไม่พบว่าบอนนี่ซึ่งโดนวินิจฉัยว่าเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดนั้น จะป่วยเป็นอะไรมากมาย นอกจากจะดูแก่ลงไปตามวัยเท่านั้น

สำหรับเป้แล้ว ไม่ว่าจะบอนนี่หรือบรรพต ชายผู้นั้นก็ยังเป็นพ่อของเขา ส่วนแม่ของเป้นั้น ตายไปตั้งแต่เขายังเด็กแล้ว

หลังพบยาถุงนั้น ในทุกๆ วันเป้จึงเอาแต่ถามว่าพ่อมึนหัวบ้างไหม มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า บางคืนผมเห็นเป้ย่องเข้าไปในห้องบอนนี้ ถ้าเห็นบอนนี่นอนกรนเป้จะถอยออกมา แต่ถ้าเขานอนนิ่ง เป้จะย่องเข้าไปเอามืออังปลายจมูกพ่อ

สายตาของผมมีประสิทธิภาพที่ดีในความมืด ผมดูออกว่าเป้มองพ่อตัวเองอย่างห่วงใยบนความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจจะเปลี่ยนใจบรรพตให้เลิกใช้ยา แต่น่าจะมาจากความสิ้นหวังที่เขามีให้กับตัวเองว่า เขา…อาจไม่ใช่สิ่งแรกที่พรรพตหรือบอนนี่ในเวลานี้นึกถึงอีกแล้ว

ผมเข้าใจทั้งคู่นะ สำหรับเป้เขายังต้องการพ่อเสมอ แต่สำหรับบอนนี่นั้นเป้เป็นลูกชายที่เข้มแข็งจนเขาคงไม่ต้องห่วงอะไรอีก

 

 



Don`t copy text!