ฤทัยยักษ์ บทที่ 5 : อาวุธที่หายไป

ฤทัยยักษ์ บทที่ 5 : อาวุธที่หายไป

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่ต้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

แสงอาทิตย์ยืนมองฤทัยมาศจากใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ ยักษ์หนุ่มเจ็บปวดใจว่าเขาไม่อาจเข้าไปปลอบเธอได้เลย มิหนำซ้ำ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอพบความพลัดพรากนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่ออาทิตย์ก่อน แสงอาทิตย์ได้รับข่าวหนึ่งจากเพื่อนตุ๊กตาหินหน้าฝรั่ง มาร์โคโปโล

มาร์โคโปโลรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเขาเองนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบเส้นทางสายไหม หากต้องมัวอุดอู้อยู่แค่ในเขตวัดก็คงเสียชื่อแย่ เขาเลยมักแอบออกไปเที่ยวเล่นนอกวัดโพธิ์อยู่เสมอในยามกลางคืน

หน้าตาคมคายแบบลูกครึ่งของเขาไปสะดุดตาเจ้าของยูทูบชื่อดังช่องหนึ่งที่มาเจอเขาขณะท่องราตรี หลังจากนั้น มาร์โคโปโลหรือชื่อในวงการว่า ‘มาร์ค’ ก็ไปปรากฏหน้าตาอยู่ในหลายรายการทางยูทูบ ที่ทำให้เขาได้ค่าตอบแทนจนสามารถซื้อเครื่องมือที่เขาเคยเห็นบรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาในวัดโพธิ์ใช้ในการสื่อสารและถ่ายรูป

มาร์โคโปโลใช้โทรศัพท์มือถืออ่านข่าวคราวเกี่ยวกับโลกภายนอก เขายังติดตามรมณ หรือ เรมี่ ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกคน จนกระทั่งเขารู้ข่าวเรื่องที่แฟนหนุ่มนักธุรกิจของหล่อนตายแบบประหลาด แถมยังมีข่าวลือว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของยักษ์

ตุ๊กตาหินเอาเรื่องนี้ไปบอกเพื่อนยักษ์ทั้งสอง เมื่อแสงอาทิตย์ฟังสิ่งที่นักข่าวบรรยายถึงสภาพของศพในข่าวแล้ว เขาก็พูดกับมัยราพณ์ทันที

“แว่นแก้วสุรกานต์…”

มาร์โคโปโลตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำยืนยันจากเพื่อนยักษ์

“ใช่แน่หรือ”

“ไม่ผิดแน่”

ถึงแสงอาทิตย์จะไม่ได้ครอบครองอาวุธชนิดนี้มานานแล้ว แต่ยักษ์หนุ่มไม่มีทางลืม พลังอำนาจของมันที่ก่อให้เกิดไฟเผาไหม้ไปยังผู้ที่ถูกแว่นส่องให้มอดม้วยในทันทีทันใด

มัยราพณ์ครุ่นคิดอย่างสงสัย “แปลกนะ…ทำไมอาวุธที่หายไปเป็นพันปีถึงโผล่ขึ้นมาใช้ฆ่าคนได้ ใครกันที่เป็นคนทำ แล้วทำเพื่ออะไร…”

แสงอาทิตย์เองก็ต้องการหาคำตอบ ในคืนถัดมา เขาจึงเดินทางไปบริเวณที่เกิดเหตุ โดยที่ไม่ได้ทันระวังตัวว่าเขาจะถูกมนุษย์ที่เป็นตำรวจจับได้ขณะที่ไปค้นหาหลักฐานในห้องทำงานของสัญชัย

‘หยุดนะ! นี่ตำรวจ!’

แสงอาทิตย์ไม่ยอมหยุด ซ้ำยังเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม มนัสวิ่งตามไปที่บันได ก่อนตัดสินใจยิง ลูกกระสุนของเขาโดนร่างของแสงอาทิตย์ และทำให้แสงอาทิตย์คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด

ถึงแม้ว่ากระสุนของมนุษย์ไม่อาจทำอันตรายเขาให้ถึงตายได้ แต่ความเจ็บก็ทำให้แสงอาทิตย์ไม่อาจควบคุมตนเองได้ เขี้ยวยักษ์ของเขางอกออกมา และใช้พลังปัดป้องเหวี่ยงร่างของมนัสให้กระแทกหน้าต่างตกลงไปด้านล่าง

แสงอาทิตย์ก็ก้มลงมองจากหน้าต่าง เห็นว่ามนัสยังมีชีวิตอยู่ และกำลังพยายามจะลุกขึ้น ยักษ์หนุ่มฉวยโอกาสนั้นรีบออกไปจากบริเวณตึก

แต่ในรุ่งเช้า เขากลับได้ข่าวที่ไม่คาดคิด

ตำรวจคนนั้นตายแล้ว ตายด้วยไฟแผดเผาไม่ต่างจากเหยื่อรายแรก แสงอาทิตย์ตะลึงงัน นี่แสดงว่าในขณะที่เขากำลังต่อสู้กับตำรวจคนนี้ มีคนอื่นแฝงตัวอยู่ในที่นั้น รอที่จะจัดการเหยื่อด้วยแว่นแก้วสุรกานต์

และสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจที่สุดก็คือ…เขาเพิ่งรู้ว่าตำรวจผู้นั้นคือพ่อของฤทัยมาศ

นี่ถ้าเขาอยู่รอดูเหตุการณ์ หรือเข้าไปช่วยเหลือชายผู้นี้ บางทีมนัสอาจจะไม่ต้องตายด้วยฝีมือของฆาตกรปริศนาที่ใช้อาวุธของเขาออกมาฆ่าคน และฤทัยมาศก็จะไม่ต้องร้องไห้เสียใจแบบนี้

ฤทัยมาศรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองเธออยู่ เมื่อเธอหันไปกวาดตามองโดยรอบ กลับไม่เห็นใคร

แต่ในขณะที่เธอกำลังเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้าน ก็มีชายผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาหาเธอ

“หมวดฤทัย”

ฤทัยมาศมองชายผู้นั้น คุ้นหน้าว่าเขาคือหนึ่งในตำรวจที่มาเคารพศพพ่อของเธอ

“ผมจ่ากุศล ผมเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับท่านในคืนนั้น” กุศลมองหน้าเธออย่างรู้สึกผิด “ผมขอโทษจริงๆ ผมน่าจะอยู่กับพ่อของหมวด แต่ท่านสั่งให้ผมแยกไปดูอีกทาง พอผมกลับมาอีกที ท่านก็…”

พูดเพียงแค่นี้ จ่าวัยสามสิบก็น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น

“ท่านเป็นนายที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอมา ผมขอโทษ…ผมขอโทษจริงๆ ครับหมวด”

หญิงสาวรอให้จ่ากุศลคลายความเสียใจ หล่อนจึงได้โอกาสถามเขาด้วยสิ่งที่หล่อนอยากรู้มาตลอดว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นแน่ จ่ากุศลเล่าให้ฤทัยมาศฟังอย่างละเอียด

“แล้วนี่จ่า…ยังอยู่ในทีมสืบสวนคดีนี้ใช่ไหมคะ”

กุศลพยักหน้า ฤทัยมาศครุ่นคิด ก่อนบอกความต้องการกับเขา

“งั้นจ่า…ช่วยพาฉันไปหาผู้ต้องสงสัยในคดีของนายสัญชัยได้ไหมคะ”

 

สองสามวันต่อมา ฤทัยมาศและกุศลเดินทางมาที่คอนโดมิเนียมที่พักของรมณ

อินฟลูเอนเซอร์สาวมีทีท่าไม่พอใจเมื่อกุศลเข้าไปติดต่อขอขึ้นไปพบเธอที่ห้องโดยอ้างเหตุผลว่าจะสอบสวนเธอเพิ่มเติม

“วันก่อนฉันก็บอกคุณตำรวจไปหมดแล้ว สอบสวนตั้งหกเจ็ดชั่วโมง ยังไม่พออีกเหรอคะ”

กุศลพยายามทำให้หญิงสาวใจเย็นลง “ตำรวจที่ทำคดีนี้เพิ่งเสียชีวิตไปครับ เราก็เลยต้องถามคุณเพิ่ม ทางเราสงสัยว่าฆาตกรที่ฆ่าตำรวจอาจจะเป็นคนเดียวกับคนที่ฆ่าสัญชัย”

“เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยคะ บอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วันที่สัญชัยตาย ฉันก็ไลฟ์สดขายของอยู่ คุณตำรวจก็เห็น…”

ฤทัยมาศกวาดตามองห้องพักหรูของยูทูบเบอร์สาว เห็นว่ามีกระเป๋าเดินทางสองสามใบที่วางแอบไว้อยู่หลังหลังโซฟา

“คุณกำลังจะเดินทางไปไหนเหรอคะ”

รมณชะงัก หันมามองตำรวจสาวอย่างไม่พอใจ “ก็ฉันเครียดนี่คะ วีคนี้เลยจะไปพักผ่อนที่พัทยา ทำไมคะ ไม่ได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้ฉันเดินทางไม่ใช่เหรอคะ”

ตำรวจสาวรู้ว่าเธอไม่สามารถจะรั้งหญิงสาวไว้ได้ ในเมื่อแท้จริงแล้วเธอไม่ได้มีหน้าที่สืบคดีนี้ เธอแค่ขอให้กุศลพามาเจอกับรมณเท่านั้น

เมื่อรมณไม่ได้ให้ความร่วมมือมากไปกว่านั้น ตำรวจทั้งสองจึงต้องถอยจากห้องพักของรมณไปในที่สุด ฤทัยมาศยังรีรอไม่ออกไปจากที่นั่น เธอเดินไปรอบๆ คอนโดฯ ของรมณ เผื่อว่าจะได้เจอข้อมูลอะไรเพิ่มเติม

ที่ด้านหลังของคอนโดฯ ฤทัยมาศเห็นรถซูเปอร์คาร์คันหนึ่งที่จอดเหมือนกำลังรอรับใครบางคนอยู่ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น รมณก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมาและขึ้นไปนั่งในรถคันนั้น

ฤทัยมาศไม่รอช้า หล่อนรีบวิ่งไปที่รถของหล่อน ก่อนจะสตาร์ตเครื่องและขับตามรถคันนั้นออกไป

ตำรวจสาวเร่งเครื่องเต็มที่ แต่สมรรถนะรถของหล่อนกับรถซูเปอร์คาร์แตกต่างกันหลายช่วงตัว ในไม่ช้ารถซุปเปอร์คาร์ก็กำลังทิ้งห่างหล่อนไป

ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อรถซูเปอร์คาร์ที่รมณนั่งอยู่แล่นผ่านไปอย่างเฉียดฉิว ฤทัยมาศไม่ยอม หล่อนเร่งเครื่องและตัดสินใจฝ่าไฟแดงเพื่อจะตามรถคันนั้นให้ทัน

เสียงบีบแตรลั่นดังมาจากด้านขวามือของหล่อน ฤทัยมาศหันไปมอง ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่ารถบรรทุกคันใหญ่ที่อยู่ในเลนเลี้ยวกำลังจะพุ่งเข้ามาชนรถของหล่อน

เสียงที่ตามมาคือเสียงโครมใหญ่ ฤทัยมาศหลับตา ชั่วแวบหนึ่ง หญิงสาวคิดว่าตนเองคงตายแน่แล้ว แต่พอไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย ฤทัยมาศก็ลืมตาอีกครั้ง

รถบรรทุกที่กำลังจะขับมาชนหล่อนหยุดอยู่ตรงที่เดิม มีชายคนหนึ่งยืนขวางระหว่างรถหล่อนกับรถบรรทุกคันนั้น ขณะที่รถของหล่อนไม่มีรอยขีดข่วนอะไรเลย กระโปรงรถของรถบรรทุกคันนั้นกลับมีรอยบุบเป็นแนวยาว เมื่อชายผู้นั้นใช้มือดันรถให้ถอยออกไป

ฤทัยมาศเดินลงมาจากรถของตนเอง ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร

หญิงสาวสบตากับชายผู้นั้น ผู้ชายที่ช่วยชีวิตของหล่อนไว้

ดวงตาสีนิลของแสงอาทิตย์มองตรงมาที่หล่อน เขาดูโล่งใจที่หล่อนไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

 

แสงอาทิตย์เคยคิดว่าหากเขาได้กลับมาเจอกับฤทัยมาศอีกครั้ง หญิงสาวน่าจะจำเขาได้ หรืออย่างน้อยก็อาจจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเขาบ้าง

แต่ไม่เลย หลังจากที่เห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บ หญิงสาวก็ไปเจรจากับคนขับรถบรรทุก โชคดีที่รถของหล่อนมีประกันชั้นหนึ่งที่สามารถจะรับผิดชอบค่าซ่อมให้กับฝ่ายตรงข้ามได้

ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่ประกันมา ตำรวจสาวก็พาแสงอาทิตย์ไปนั่งที่คาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะคะ”

ฤทัยมาศยังคงมองเขาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

“คุณแน่ใจนะคะว่าคุณไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ฉันว่าคุณน่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมคะ”

แสงอาทิตย์ยังคงยืนกรานว่าเขาสบายดี จนฤทัยมาศเอ่ยคำถามต่อมา

“คุณชื่ออะไรคะ”

ยักษ์หนุ่มชะงัก ก่อนตัดสินใจพูดชื่อจริงของเขา “แสงอาทิตย์”

ฤทัยมาศก็ยังไม่สามารถรำลึกถึงสิ่งใดได้ แต่ชายหนุ่มผู้นี้มีความแปลกประหลาดบางอย่างที่ชวนให้สงสัย

“คุณเป็นคนแถวนี้เหรอคะ”

จริงๆ หล่อนอยากถามมากกว่าว่าอยู่ๆ เขาโผล่มาช่วยหล่อนได้ยังไง แต่เกรงว่าจะไม่สุภาพ

แสงอาทิตย์พยายามตอบให้ตรงตามที่หญิงสาวต้องการ “ไม่ใช่ครับ แต่ผมย้ายมาอยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้พ่อกับผมอยู่ที่เมืองโรมคัล…”

“โรมคัล…ไม่เคยได้ยินชื่อเลย อยู่ใกล้ๆ กรุงโรมหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ อยู่ใกล้ๆ กรุงลงกา”

ฤทัยมาศชะงักทันควัน ชื่อเมืองที่มาจากวรรณคดีเมืองนั้น ทำให้หญิงสาวชักจะไม่แน่ใจว่าหล่อนกำลังคุยอยู่กับคนที่มีสติดีเต็มร้อยหรือไม่

“คุณไม่ใช่คนไทยเหรอคะ”

ยักษ์หนุ่มยิ้มขัน เริ่มอยากจะแกล้งหล่อนให้ตกใจเล่นบ้าง “ผมอยู่มานาน อยู่มาหลายที่ ไม่รู้จะเรียกได้ว่าเป็นคนไทยได้หรือเปล่า ทีแรกก็เคยอยู่ในชมพูทวีปหรือที่สมัยนี้เขาเรียกว่าอินเดีย…จากนั้นก็เข้ามาอยู่ในดินแดนอุษาคเนย์ แต่ผมก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว จนผมคิดว่าผมก็คือคนที่นี่เหมือนกัน”

คำตอบของเขายิ่งทำให้ฤทัยมาศสรุปในใจว่า ไม่บ้าก็เพี้ยนชัวร์

“ฉันว่า…คุณน่าจะไปโรงพยาบาลจริงๆ แล้วละค่ะ”

เจ้าหน้าที่ประกันมาถึง บทสนทนาระหว่างเขากับหล่อนจึงหยุดที่ตรงนั้น

หลังจากฤทัยมาศจัดแจงธุระเรื่องรถเสร็จ หล่อนก็เตรียมจะขอตัวกลับ เพื่อได้ไม่ต้องสนทนากับเขาด้วยถ้อยคำที่ชวนงงอีก

“คุณ…” แสงอาทิตย์เอ่ยขึ้นมาก่อน “คุณอย่าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยนะครับ มันอันตราย”

ฤทัยมาศชะงัก “คุณพูดถึงอะไร”

“ผมหมายถึง…คดีที่มีคนถูกไฟเผาจนตาย”

ตำรวจสาวประหลาดใจและสงสัยในทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีที่หล่อนกำลังตามสืบอยู่ “คุณรู้อะไรงั้นเหรอ”

ยักษ์หนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมลง หลังจากคืนนั้นที่เขาแอบไปดูฤทัยมาศและรู้ว่าหล่อนตั้งใจจะตามสืบคดี เขาก็ติดตามหล่อนมาตลอดจนถึงวันนี้

“ผมรู้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ…ยักษ์”

ฤทัยมาศนึกถึงคำพูดที่พ่อเคยเล่าเรื่องที่พยานยืนยันว่ายักษ์เป็นฆาตกร สื่อมวลชนก็เล่นข่าวเรื่องนี้กันอยู่พักหนึ่ง แต่ชายหนุ่มผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าหล่อนกำลังสืบคดีดังกล่าวอยู่

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันตามสืบเรื่องนี้อยู่”

“ทุกศพที่เจอ…ไหม้หมดใช่ไหม” แสงอาทิตย์ย้อนถามหล่อน “ศพที่ไหม้จนเหลือแค่เถ้าถ่าน…ไม่มีอาวุธไหนหรอกนะที่ทำได้แบบนั้น นอกจาก…”

“นอกจากอะไรคะ” ฤทัยมาศไม่อาจจะอดทนรอคำตอบจากเขาได้ รีบถามต่อ

“นอกจากแว่นแก้วสุรกานต์ อาวุธของยักษ์”

ฤทัยมาศอึ้ง แม้จะดูเหลือเชื่อ แต่ข้อมูลที่เขาให้ก็ดูปะติดปะต่อกันได้อย่างพอดี

“มีใครบางคน กำลังพยายามให้ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นต่อๆ กันเป็นฝีมือของยักษ์”



Don`t copy text!