ฤทัยยักษ์ บทที่ 12.1 : เบื้องหลังศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้ง

ฤทัยยักษ์ บทที่ 12.1 : เบื้องหลังศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้ง

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่ต้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

“ช่วย…ช่วยด้วย!”

เสียงที่รมณพยายามเปล่งออกมาก่อนจะขาดใจนั้นทำให้มาร์โคโปโลตระหนักว่าเกิดเหตุผิดปกติกับหญิงสาว เขาวิ่งเข้ามาในห้องน้ำหญิง จึงเห็นว่ารมณกำลังถูกชายร่างสูงใหญ่สวมหมวกบีบคออยู่หน้ากระจก มาร์โคโปโลวิ่งเข้าไปช่วยรมณทันที เขาหวังจะใช้ร่างตุ๊กตาหินของเขาทำให้อีกฝ่ายล่าถอยไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังผลักร่างเขาเสียจนกระเด็น

มาร์โคโปโลล้มมากองที่พื้น เขารู้ตัวในวินาทีนั่นเองว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ฤทัยมาศและบรรดายักษ์ตามมาในร้านก่อนได้ยินเสียงเอะอะในห้องน้ำ ฤทัยมาศเป็นคนแรกที่วิ่งไปที่ห้องน้ำหญิง รมณเกือบขาดใจแล้วในตอนนั้น ตำรวจสาวรีบคว้าปืนออกมาขู่คนที่บีบคอรมณ

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นฉันยิงแน่!”

ร่างสูงใหญ่นั้น หันมามองเพียงชั่วแวบเดียว เหมือนไม่สนใจกับคำขู่ของตำรวจสาว แต่ไม่ช้า เขากลับปล่อยมือออกจากคอของรมณ และยังดึงแขนของหญิงสาวไว้อยู่ ไม่ให้ไปไหน

แล้วเขาก็เอื้อมหยิบอาวุธบางอย่างขึ้นมา…แสงอาทิตย์ที่วิ่งตามเข้ามาทีหลัง เห็นแล้วก็จำได้ในทันที

“แว่นแก้วสุรกานต์!”

แสงอาทิตย์กระโจนเข้าไปหมายจะแย่งแว่นแก้วแก้วสุรกานต์จากชายคนนั้น แต่ยังไม่ทันสำเร็จ ชายแปลกหน้าผู้นั้นใช้แว่นแก้วสุรกานต์ส่องไปที่รมณ หญิงสาวกรีดร้อง และเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็อยู่ในกองเพลิง ฤทัยมาศตกใจ หล่อนรีบไปคว้าถังน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากนั้นราดไปที่รมณ

แต่เมื่อไฟดับแล้ว…ร่างของหญิงสาวที่โดนแว่นแก้วสุรกานต์ส่องโดนกลับเหลือแค่เพียงเถ้าถ่าน…ไม่ต่างอะไรจากเหยื่อสองรายก่อนหน้านั้น มาร์โคโปโลที่เห็นภาพนั้นถึงกับเข่าทรุดลงไปในทันใด

ฆาตกรที่ใช้แว่นแก้วสุรกานต์พยายามหนี โดยกระโจนไปที่หน้าต่างของห้องน้ำ และพุ่งทะลุหน้าต่างกระจกออกไป แสงอาทิตย์ไม่ยอมให้ฆาตกรหนีรอดไปได้ ยักษ์หนุ่มกระโจนตามไปด้วย ทั้งสองตกลงมาที่ด้านล่าง ฆาตกรหันมามองแสงอาทิตย์ ก่อนใช้แว่นแก้วสุรกานต์ส่องไปที่พญายักษ์ แต่แสงอาทิตย์ยังเบี่ยงตัวหลบเปลวไฟได้อย่างฉิวเฉียด ฆาตกรโมโหที่ไม่สามารถฆ่ายักษ์หนุ่มได้ดังใจ เขาส่องแว่นแก้วสุรกานต์ไปที่ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ข้างๆ ตึก ป้ายลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และในไม่ช้ามันก็หล่นมาทับตัวอสูรหนุ่ม ฆาตกรฉวยโอกาสนั้นหนีออกไปในทันที

ฤทัยมาศวิ่งออกมาเห็นป้ายที่ล้มคว่ำลงมาและกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี หญิงสาวและบรรดายักษ์ต่างตกใจ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้กองเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่ ขณะที่ทุกคนคิดว่าแสงอาทิตย์อาจจะตายไปเสียแล้ว เศษซากใต้ป้ายนั้นกลับขยับเขยื้อน ทุกคนได้เห็นแสงอาทิตย์ปัดกองเศษเหล็กให้พ้นตัว ก่อนลุกออกมาได้ในสภาพที่มีบาดแผลแทบทั้งตัว

ฤทัยมาศเข้ามาดูบาดแผลของแสงอาทิตย์แล้วก็ตกใจไม่น้อย “ฉันว่าคุณควรไปหาหมอ”

“ไม่จำเป็น แผลแค่นี้…ผมว่าเราควรรีบไปก่อน”

เสียงการต่อสู้และควันเพลิงทำให้คนในร้านอาหารและละแวกใกล้เคียงเข้ามามุงดู ฤทัยมาศรู้ว่าหล่อนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว

“งั้นเรารีบไปกันเถอะ…”

 

บรรดายักษ์และตุ๊กตาหินกลับมานั่งในรถที่ฤทัยมาศขับตามเดิม มาร์โคโปโลที่เคยเป็นฝ่ายพูดอยู่ตลอดเงียบจนหล่อนใจหาย หญิงสาวพยายามชวนคุยให้บรรยากาศดีขึ้น

“สรุปว่าเป็นแว่นแก้วสุรกานต์จริงๆ สินะ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าคนที่ลงมือเป็นใคร…”

“ผิดแล้ว” แสงอาทิตย์ขัดขึ้น “ผมรู้จักเขา”

“ว่าไงนะคะ…คุณรู้จักคนที่เป็นฆาตกรงั้นเหรอ”

แสงอาทิตย์พยักหน้าก่อนคาดเดา “เขาน่าจะแค้นผม ถึงได้ทำเรื่องทั้งหมดนี่”

“แค้น? แค้นเรื่องอะไรกันคะ”

“คุณเคยได้ยิน…เรื่องยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งใช่มั้ย”

ฤทัยมาศพยักหน้า เรื่องเล่านั้นอยู่คู่กับวัดโพธิ์และท่าเตียนมาหลายร้อยปี หล่อนเองก็ยังพอจำได้บ้างถึงความเป็นอริกันระหว่างยักษ์สองวัดเกิดขึ้นเพราะเรื่องเงิน

“ตอนที่ผมตั้งใจจะออกไปใช้ชีวิตกับคนที่ผมรัก ผมเคยตั้งใจที่จะไปยืมเงินยักษ์ฟากขะโน้น แต่สุดท้าย.. ผมก็ตัดสินใจไม่ทำ”

 

ปี พ.ศ.2400 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่มีเรือออกจากพระนครไปเมืองจันท์ เงินที่เฟืองมายรวบรวมมาได้ยังไม่พอกับค่าเรือ แต่หญิงสาวคิดว่าหล่อนจะต่อรองขอความเมตตาจากชายชราผู้เป็นไต้ก๋งเรือ หญิงสาวแยกไปเก็บเสื้อผ้าของจำเป็นที่พอมี และนัดหมายจะกลับมาเจอกับแสงอาทิตย์ในคืนนั้น

ยักษ์หนุ่มปิดบังเรื่องนี้ต่อผู้เป็นบิดาอย่างพญาขร ผู้เดียวที่เขาไว้ใจคือมัยราพณ์ ที่ช่วยปรุงยาสารพัดชนิดติดตัวเขาไว้ในตอนเดินทาง จนในที่สุด เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย แสงอาทิตย์ก็บอกลามิตรสหายอย่างมัยราพณ์ที่อวยพรขอให้เขาโชคดี

คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์ส่องสว่าง แสงอาทิตย์ไปที่ประตูวัด เตรียมตัวจะออกไปพบกับเฟืองมาย

แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังลั่นขึ้นอย่างทรงอำนาจ

“เจ้าจะไปไหนหรือ แสงอาทิตย์”

แสงอาทิตย์ชะงัก หันไปมองเห็นร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาหาเขาแล้ว เป็นคน…หรือที่จริงก็คือเป็นยักษ์ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะพบในเวลานี้

“ท่านลุง…”

ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ก็คือพญายักษ์ผู้ที่มีศักดิ์เป็นลุงของเขา…ทศกัณฐ์

สีหน้าที่ดูน่าเกรงขามนั้นจ้องมองหลานชายด้วยแววตาที่โกรธเคือง ข้างกายของเขามีมิตรสหายที่ยืนอยู่เป็นทวารบาลที่วัดอรุณฯ คู่กัน…สหัสเดชะ

“คืนก่อน เจ้าเข้าไปหาข้าที่วัดแจ้ง บอกว่าจะยืมเงินไปช่วยบูรณะวัดโพธิ์ ข้าหลงเชื่อถึงได้ให้เงินเจ้าไปเสียมากมาย ยังดีที่สหัสเดชะไปสืบข่าวมา ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้ว…เจ้าเอาเงินไปเพื่อจะพาผู้หญิงญวนคนนั้นหนีไปด้วยกัน”

พญาขร พ่อของแสงอาทิตย์เดินออกมาอีกตน คงได้รับรู้เรื่องราวจากผู้เป็นพี่ชายหมดแล้ว

“เดี๋ยวก่อนนะท่านลุง ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว คืนก่อนข้าไม่ได้เป็นคนเข้าไป ข้าไม่เคยเอาเงินท่านมา”

“โกหก! สหัสเดชะก็เป็นพยานให้ได้ว่าเจ้าไปเอาเงินมาจากข้า ยังจะปากแข็งอีกหรือ” ทศกัณฐ์กล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “แล้วเรื่องผู้หญิงญวนคนนั้นล่ะ เจ้าจะแก้ตัวอีกหรือไม่”

สำหรับเรื่องนี้แล้ว แสงอาทิตย์กลับก้มหน้ายอมรับความผิดทั้งมวล “ข้ารักนาง…ท่านลุง ข้าไม่สนว่านางเป็นมนุษย์หรือเป็นสิ่งใด แต่ข้ารักนาง นางเองก็รู้ว่าข้าเป็นยักษ์ แต่นางก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจไปจากข้า”

“ความรัก! ความรักนี่แหละที่ทำลายวงศ์ยักษ์ให้ฉิบหายไปครั้งหนึ่งแล้ว เจ้ายังไม่เรียนรู้อีกหรือ!” ทศกัณฐ์ดุด่าหลานชาย แต่ในแววตากลับมีความเศร้าอย่างลึกซึ้ง “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้า…ต้องทำผิดพลาดเหมือนข้าอีก!”

ทศกัณฐ์โผนเข้าไปจับตัวแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์พยายามปัดป้องและสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

แต่ทศกัณฐ์เป็นพญายักษ์ที่มีฤทธิ์มาก เขาทุ่มแสงอาทิตย์ลงไปกองกับพื้น ยักษ์หนุ่มหยัดตัวยืนขึ้น เขี้ยวยักษ์งอกขึ้นด้วยความโกรธ ความโกรธทำให้ร่างที่แท้จริงของยักษ์เริ่มปรากฏ ร่างสูงของแสงอาทิตย์เริ่มขยายใหญ่ขึ้น…ใหญ่ขึ้น แล้วไม่นานก็กลายเป็นร่างที่สูงกว่าเจดีย์ของวัดโพธิ์

ทศกัณฐ์ไม่ยอมแพ้ พญายักษ์ขยายร่างขึ้นมาใหญ่เท่าแสงอาทิตย์ ก่อนเงื้อมือคว้าตัวหลานชายไว้

บรรดายักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งต่างตกใจกับการเผชิญหน้าของสองลุงหลาน แต่ผู้ที่ตกใจมากกว่านั้นคือชาวบ้านร้านตลาดที่อยู่โดยรอบที่ไม่รู้ว่าเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในยามกลางดึกนั้นคืออะไร

หลายคนเริ่มออกมาจากบ้านมาชะโงกมอง พอเห็นเงาขนาดใหญ่สองเงาที่ต่อสู้กันอยู่เหนือกำแพงของวัดโพธิ์ ก็มีคนตะโกนลั่นออกมา

“ยักษ์! ยักษ์ออกมาสู้กัน!”

ทศกัณฐ์โยนตัวแสงอาทิตย์ออกมานอกกำแพงวัด ร่างใหญ่โตของแสงอาทิตย์ล้มครืนไปทับโรงเรือนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านต่างวิ่งแตกตื่นหนีตายออกมา

แสงอาทิตย์ลุกขึ้น ก่อนเสกไฟโจมตีไปที่ทศกัณฐ์ แต่ถูกพญายักษ์ใหญ่ปัดป้องจนลูกไฟหล่นไปโดนโรงเรือนแถวนั้น เสียงคนด้านล่างก็ยิ่งวุ่นวายอื้ออึง

“ไฟไหม้! หนีเร็ว ไฟไหม้!”

 



Don`t copy text!