แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ

แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

แม้จะแปลกที่แปลกทางแต่ซิ่วเฮียงกลับหลับสนิทและตื่นแต่เช้ามืดอย่างสดชื่น  หญิงสาวหิ้วตะกร้าหวายใบเล็กไปซื้อผักสดและเนื้อสัตว์จากตลาดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี  จากนั้นก็กลับมาทำกับข้าว  ส่วนข้าวต้มนั้นเง็กซิมลุกขึ้นต้มให้ตั้งแต่หล่อนเปิดประตูออกจากห้องไปแล้ว

วันแรกซิ่วเฮียงผัดถั่วงอกเลือดหมูกับเต้าหู้อ่อน  และแม้รู้ว่าค่อนข้างสิ้นเปลืองแต่หญิงสาวอยากทำอาหารดี ๆ ให้เง็กซิมเป็นการขอบคุณที่ดูแลเป็นอย่างดี  หล่อนเลยเจียวไข่เจียวหมูสับกับปลาหมึกแห้งเป็นกับข้าวอีกอย่าง  ทำมากหน่อยเผื่อเป็นกับข้าวของมื้อกลางวันไปด้วยเลย

ในห้องพักมีเตาอั้งโล่ลูกเดียว  กระทะก็มีใบเดียว  ดังนั้นซิ่วเฮียงจึงต้องตั้งน้ำในกระทะเพื่อต้มเลือดหมูกับเกลือเล็กน้อยให้หมดคาว  ระหว่างนั้นหั่นปลาหมึกแห้งตัวใหญ่ที่เอาจากบ้านให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่ในน้ำอุ่นจนมันพองขึ้น  พอเลือดหมูได้ที่แล้วก็ตักพักไว้  เทน้ำในกระทะออกตั้งไฟจนกระทะแห้งจึงใส่น้ำมันหมู  ตีไข่ใส่กระเทียมสับใส่หมูสับใส่ปลาหมึกที่เตรียมไว้พร้อมเครื่องปรุงรสนิดหน่อย  รอจนกระทะร้อนจึงเทลงไปทอดแบบหนา ๆ ข้างนอกเกรียมเล็กน้อยแต่ข้างในเนื้อยังนุ่ม  ปลาหมึกแห้งเพิ่มทั้งรสเค็มและกลิ่นหอมให้กับไข่  กลิ่นของมันหอมจนเง็กซิมต้องโผล่หน้ามาดู

“ใส่ปลาหมึกด้วยหรือ”

“จ้ะ”  หญิงสาวกลัวแม่บุญธรรมจะบ่นว่าฟุ่มเฟือยเลยรีบบอก  “ปลาหมึกแห้งเฮียงเอามาจากบ้าน  อยากให้เง็กซิม…เอ๊ย…เง็กซิ่มได้กินฝีมือเฮียง”

หล่อนพยายามเรียกเง็กซิ่มให้ติดปาก  ในตอนแรกเคยคิดจะงอแงเรียกซิ่มเฉพาะอยู่ข้างนอกหรืออยู่ต่อหน้าเหง็กลั้ง  แต่แม่บุญธรรมสอนหล่อนว่า

“ถ้าจะเรียกซิ่มก็เรียกทั้งในบ้านนอกบ้าน  อย่าทำเป็นข้างนอกอย่างข้างในอย่างเพื่อความสะใจ  อย่าคิดว่าจะไม่พลาด  และถ้าพลาดแล้วคนเขาจะว่าเฮียงไม่จริงใจ  หน้าอย่างหลังอย่าง  ไม่ดีกับตัวเฮียงเอง”

ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเง็กซิมต้องเรียกว่าเง็กซิ่มตลอด

“ดี ๆ ม้าเราเขาบอกเหมือนกันว่าเฮียงทำกับข้าวอร่อย”  ตอนไปสุพรรณเง็กซิมไม่เคยได้ชิมฝีมือลูกสาวบุญธรรมเลยเพราะหล่อนไม่ถือตัวว่าเป็นคนนอก  ดังนั้นการทำอาหารบางมื้อเซียมลั้งทำบางมื้อหล่อนก็ทำ  ส่วนซิ่วเฮียงนั้นเร่งเย็บเสื้อผ้าให้ลูกชายกับเสื้อที่จะเอามาใช้ที่กรุงเทพฯ  เพราะเสื้อผ้าเดิมของซิ่วเฮียงนั้นถ้าไม่เล็กไปจนสวมไม่ได้ก็เก่ามีแต่รอยปะ  ส่วนเสื้อผ้าดี ๆ นั้นวาสนาฉวยไปขโมยไปหมดแล้ว

ทอดไข่เหลืองอร่ามตักใส่จาน  ซิ่วเฮียงไม่ล้างกระทำแต่ผัดถั่วงอกต่อเลย  ครู่เดียวถั่วงอกที่ผัดก็สุกกำลังดี  ทั้งถั่วงอกและน้ำผัดไม่ดำ  เลือดหมูไม่คาว  เต้าหู้อ่อนเนื้อนุ่มชุ่มน้ำผัดเค็มหวานกำลังเหมาะ

เง็กซิมชิมแล้วชมเปาะว่าอร่อย  ฝีมือน่าจะดีกว่าเซียมลั้งเสียอีก  หญิงสาวฟังแล้วยิ้มรับอาย ๆ

การทำอาหารน่าจะเป็นสิ่งดีอย่างเดียวที่พิกุลสอนซิ่วเฮียง  พิกุลทำอาหารเก่ง  แว่วว่าสมัยสาว ๆ ก่อนแต่งกับสันต์นั้นหล่อนเคยขายข้าวแกงมาก่อน  พอแต่งแล้วถึงได้เลิกขายแล้วไปทำงานอย่างอื่นจนสุดท้ายถึงทำงานที่แพปลา  และน่าแปลกที่ถึงมีฝีมือแต่พิกุลกลับไม่ชอบทำอาหาร  มาลัยมือตีนห่างทำกับข้าวออกมายากจะกลืน  ส่วนวาสนาพอถูไถไปได้  รายหลังเลยรับหน้าที่หุงข้าวทำกับข้าวตั้งแต่เด็ก  พอซิ่วเฮียงมา  งานบ้านทุกอย่างถูกโยนมาที่หล่อน  พิกุลกินอาหารที่หล่อนทำแล้วด่าว่า ‘หมาไม่แดก’ เลยสอนหญิงสาวทำอาหาร

วิธีการสอนคือยืนเท้าสะเอว  ชี้นิ้วด่า  มึงหั่นดี ๆ  หั่นแรง ๆ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะกระโดดขึ้นมากัด  ผัดผักต้องไฟแรง  เอาลงกระทะแล้วต้องรีบขึ้นอย่ามัวตะบอยผัดจนมันช้ำ  ทอดไข่เจียวไฟแรงสุดพอเทไข่ใส่แล้วค่อยราไฟ  ใช้ไฟแรงตลอดอย่างมึงมีหวังได้กินไข่จรกา  ซิ่วเฮียงตอนนั้นฟังไปสะอึกไป  แต่นานวันพอชินเสียงด่าก็เลือกเก็บเอาแต่เคล็ดวิชาที่พิกุลบอก  หญิงสาวมีหัวทางทำอาหาร  พอได้คำแนะนำก็ทำออกมาได้ดี  ใครกินก็ชม  มีเพียงคนสอนที่เอ่ยว่า

“เออ  พอกระเดือกลงได้หน่อย”

ตอนนี้ซิ่วเฮียงไม่ถือสาอะไรกับอดีตแม่สามีอีกแล้ว  หล่อนสามารถบอกกับแม่บุญธรรมได้ว่า

“เฮียงได้เคล็ดลับทำอาหารดี ๆ จากมหาชัยมาเพียบเลยจ้ะ”

“ดีแล้ว  คนที่หาสิ่งดี ๆ ในช่วงที่มืดมนของชีวิตได้ถือว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตเป็นที่สุดแล้ว”  เง็กซิมลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเมตตา

ก่อนกินข้าวเง็กซิมลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่าง  ตอนกลับขึ้นมาเต็กเจอหล่อนที่ตรงทางเดินพอดี  ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมทักทายว่า

“วันนี้อี้ซิมทำกับข้าวหอมจริง ๆ”

เง็กซิมหัวเราะตอบว่า

“แค่ไข่เจียวธรรมดาเท่านั้นแหละ  ไม่ใช่อะไรมากมาย”

หญิงกลางคนบอกแต่ไม่ได้ขยายความและไม่คิดแบ่งปันอะไร  อาเต็กเป็นชายหนุ่มที่ดี  ขยันขันแข็ง  กตัญญู  เหง็กลั้งก็เป็นคนดี  แต่หัวโบราณมาก  เมื่อวานแค่รู้ว่าซิ่วเฮียงมีลูกแล้วฝ่ายนั้นก็วางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดี  ทว่าถ้ารู้ว่าลูกบุญธรรมหล่อนเป็นแม่ม่ายลูกติด  เพื่อนข้างห้องของหล่อนย่อมไม่ยินดีจะสานสัมพันธ์ใด ๆ แน่นอน  ดังนั้นเง็กซิมจึงระวังตัวมากเป็นพิเศษ

กลับเข้ามาในห้องเห็นหญิงสาวที่ยังอ่อนเยาว์เหมือนไม่พ้นวัยเด็กน้อยง่วนจัดจานชามอาหาร  เง็กซิมเอ่ยเบา ๆ ว่า

“อาเต็กน่ะเด็กดี  แต่ว่า…”

ซิ่วเฮียงเงยหน้าขึ้นยิ้มจนตายิบหยี  เอ่ยได้ทันทีว่า

“เฮียงเข้าใจจ้ะ  เง็กซิ่มไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ  เฮียงรู้ตัวดีทุกอย่าง  เฮียงจะไม่ทำให้เง็กซิ่มไม่สบายใจแน่นอน”

สองสาวต่างวัยกินข้าวเช้าล้างถ้วยชามคว่ำเก็บเรียบร้อย  เง็กซิมก็พาซิ่วเฮียงไปลานมะเกลือที่อยู่ห่างไปไม่ถึงร้อยเมตรดี

ลานมะเกลือหรือโรงย้อมผ้าเก่าตั้งอยู่บนลานโล่ง ๆ ขนาดใหญ่  มีเรือนไม้สามหลังล้อมลานในรูปเหมือนเกือกม้า  เรือนทั้งสามแบ่งเป็นเรือนแถวสำนักงานที่ตั้งอยู่ตรงกลาง  แม้จะเป็นเรือนหลังเล็กสุดแต่สำคัญสุดเพราะรวมห้องทำงาน  ห้องบัญชีและงานจิปาถะต่าง ๆ  เรือนซ้ายมือเป็นโรงเย็บปัก  มีทั้งส่วนที่เย็บเสื้อกางเกงและปักลายสัญญลักษณ์ลงบนชายผ้า  และโกดังเก็บเสื้อผ้าที่เย็บปักเรียบร้อยแล้ว  ส่วนหลังสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่สุดโรงรีด  การรีดผ้าปังลิ้นหรือผ้าแพรหนาที่ย้อมมะเกลือจนดำสนิทนั้นต้องใช้ลูกกลิ้งขนาดใหญ่บดทับผ้าไปมาจนผ้าที่ย้อมดำนั้นอัดแน่นเนื้อเป็นมันวาว  เครื่องรีดมีขนาดใหญ่  น้ำหนักมากจึงใช้แต่คนงานผู้ชาย  ส่วนด้านหลังเรือนเป็นที่เก็บผ้าที่ส่งมาจากโรงย้อม  ส่วนผ้าที่ถูกรีดแล้วจะถูกส่งไปตัดเย็บที่โรงรีดต้องใช้ทั้งพื้นที่และแรงงาน  เรือนจึงใหญ่สุดและใช้คนงานผู้ชายล้วน  ตรงกันข้ามกับเรือนปักที่อยู่ตรงกลางที่มีขนาดเล็กกว่าและคนงานทั้งหมดเป็นผู้หญิง

ส่วนตรงกลางลานมะเกลือคือลานปูนกว้าง  สมัยก่อนตอนโรงย้อมผ้ายังไม่ได้ย้ายออก  ช่วงฤดูมะเกลือ  ลานจะใช้เป็นที่ทุบมะเกลือและย้อมผ้าหลาย ๆ ครั้ง  หลังจากซักแล้วก็ใช้เป็นที่ตากผ้า  ช่วงหมดหน้ามะเกลือ  ลานจะเป็นที่ตากหัวไชเท้าเพื่อทำหัวไชโป๊ว  บรรดาเด็กแถวนั้นหรือลูกคนงานจะมารับจ้างเหยียบหัวไชเท้ากันอย่างสนุกสนาน

เง็กซิมเคยบอกซิ่วเฮียงไว้แล้วว่าในช่วงที่ไม่ได้ย้อมผ้า  นอกจากเถ้าแก่ส่วงจะให้คนงานทำไชโป๊วแล้วยังมีการหมักซีอิ๊วหมักเต้าเจี้ยวในบ่อด้านหลังด้วย  ทำแบบนี้คนงานก็มีงานทำตลอดทั้งปีไม่ต้องพักงานช่วงหมดหน้ามะเกลือ

“เถ้าแก่ขยันและเก่งมากเลยนะจ๊ะ”  ซิ่วเฮียงฟังแล้วอดชื่นชมไม่ได้

“มาก ๆ ถ้าไม่เก่งจริงเด็กผู้ชายตัวคนเดียวจากจีนจะมาได้ถึงขนาดนี้หรือ  เถ้าแก่ส่วงน่ะแค่สิบสามเองนะตอนมาเมืองไทย  ลงเรือมากับน้าเขย  มาถึงเมืองไทยน้าเขยก็แยกไปหาญาติเขาที่ระยอง  เถ้าแก่ไม่ยอมไปด้วยขออยู่ที่นี่  ตอนแรก ๆ ยังเด็กไม่มีเรี่ยวแรงขนของเหมือนคนอื่นเลยไปรับจ้างขายไอติมแถวเยาวราชแถวพาหุรัด  พอโตขึ้นมาก็ขับรถขนผ้าอยู่แถวนั้นจนเห็นลู่ทางเลยสั่งผ้าจากจีนมาย้อมมะเกลือเย็บเสื้อเย็บกางเกงขาย  ทำไปทำมารุ่งเรืองจนเช่าที่หลวงเปิดลานมะเกลือของตัวเองได้”  เสียงของเง็กซิมแสดงถึงความชื่นชม  “เสื้อผ้าของเถ้าแก่ดีมากเลยนะเฮียง  ใคร ๆ ก็ชอบ  บอกว่าผ้าดีตัดเย็บดี”

“เฮียงรู้จ้ะ  กางเกงตัวที่เง็กซิ่มให้ม้าไป  ม้าชอบมาก  ถนอมไว้ไม่ใส่  จะใส่ก็ตอนไปงาน  ตอนใส่กับเสื้อคอจีนแขนกระบอก  คาดเข็มขัดนากสวมตุ้มหูทอง  ใคร ๆ เห็นก็ชมว่าสวยเหมือนสาวกรุงเทพฯ  ม้างี้ยิ้มไม่หุบเลย”

เง็กซิมก็หัวเราะ  บอกว่า

“นั่นแหละ ๆ แต่จริง ๆ สาว ๆ ในกรุงเทพฯแต่งตัวกันเก่ง ๆ ทั้งนั้น  เดี๋ยวนี้เขาไม่นุ่งหรอกกางเกงปังลิ้น  เขาสวมกระโปรงชุดสั้น ๆ แบบฝรั่ง  เดี๋ยวเฮียงคอยดูเถ้าแก่เนี้ยไว้นะ  รายนั้นน่ะแต่งตัวเก่งแต่งตัวสวยตลอด  ชุดแต่ละชุดตัดห้องเสื้อดัง ๆ รู้ไหมว่าราคาค่าเสื้อชุดล่ะเท่าไหร่”  หญิงสูงวัยถามแต่ไม่รอฟังคำตอบ  รีบใบ้ด้วยการชูนิ้วทั้งห้าขึ้น

“ห้าสิบบาทหรือจ๊ะ”  ซิ่วเฮียงเดา  ถ้าผ้าดีช่างมีฝีมือราคาขนาดนี้ไม่ถือว่าแพงอะไร

“เดาผิดแล้ว  เถ้าแก่เนี้ยอีตัดชุดชุดละห้าร้อยบาท”

หญิงสาวตาโต  ร้องโหก่อนส่ายหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่จริงมั้งจ๊ะ  เง็กซิ่มฟังผิดหรือเปล่า  เสื้อตัวเดียวจะราคาแพงกว่าทองบาทนึงได้ยังไงกัน  หรือว่าเถ้าแก่เนี้ยตัดเสื้อทีเดียวหลายตัว”

“ตัวเดียว  ตัวละห้าร้อย”

“แพงจริง  แล้วเถ้าแก่ไม่ว่าหรือจ๊ะ”

“ไม่ว่า ไม่ว่า”  เง็กซิมโบกมือ  “เถ้าแก่อีชอบให้เมียแต่งตัวสวย ๆ ทำผมสวย ๆ  เวลาไปช่วยงานที่ร้านมีแต่คนชม  เถ้าแก่ยิ้มชอบใจมีความสุขนักล่ะที่มีคนชมเมีย”

“เถ้าแก่เนี้ยโชคดีจังเลยนะจ๊ะที่ได้เจอกับเถ้าแก่”  ซิ่วเฮียงชื่นชม  มีผู้ชายน้อยมากที่จะตามใจภรรยาแบบนี้

“วาสนาอีดี  เกิดมาเป็นคุณหนูตั้งแต่อยู่เมืองจีน  มาเมืองไทยเถ้าแก่อ่วงเส็งกับเมียก็มาเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่โบ๊เบ๊  กิจการใหญ่โต  บ้านนั้นเขาลูกชายสามสี่คน  แต่ลูกสาวมีคนเดียว  เมื่อก่อนมีสองคนเสียดายลูกสาวคนโตจมน้ำตายก่อนจะมาเมืองไทย  ทั้งบ้านเลยเหลือลูกสาวคนเดียว  พ่อแม่เลยรักถนอมเหมือนไข่มุกกลางฝ่ามือ  ตอนเถ้าแก่ส่วงไปสู่ขอเลยโดนกีดกันน่าดู  เขากลัวจะลูกสาวจะลำบาก  โชคดีที่เถ้าแก่เนี้ยอยากแต่ง  เถ้าแก่เลยได้แต่งเมียสมใจ  ตอนแรกบ้านเก่าเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นห่วงลูกสาวนะ  ให้เถ้าแก่สัญญาว่าดูแลลูกสาวเขาอย่างดี  เถ้าแก่ก็รักษาสัญญา  แถมยังค้าขายรุ่งเรือง  มีโรงงานมีร้านที่สะพานหัน  ว่าก็ว่าเถอะ…”  เง็กซิมลดเสียงลงเล็กน้อยแม้จะอยู่กันลำพัง  “พี่น้องเถ้าแก่เนี้ยไม่มีใครเก่งสู้เถ้าแก่ได้สักคน”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ้ม ๆ หล่อนก็เหมือนสาว ๆ ส่วนใหญ่ที่ชอบฟังเรื่องราวที่มีสีสันและจบลงด้วยความสุขสมหวัง  แต่ฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเรื่องราวเหมือนไกลเกินตัวมาก  เหมือนดูหนังดูละคร  ไม่เคยนึกฝันว่าเรื่องทั้งหลายจนมาพัวพันรอบตัวหล่อนได้

เมื่อมาถึงลานมะเกลือเง็กซิมพาหญิงสาวไปที่สำนักงานเพื่อลงชื่อในสมุดคนงาน  ตามปกติคนงานใหม่จะต้องมีคนงานเก่ารับรองและจะต้องทดลองงานก่อน  แต่เนื่องจากคนรับรองซิ่วเฮียงเป็นหัวหน้าคนงานฝ่ายเย็บปัก  เสมียนหนุ่มชื่อไต้จงอายุประมาณปลายยี่สิบ  หน้าตาเรียบ ๆ ท่าทางแข็งขันเอาการเอางาน  เขาทั้งเชื่อถือและเกรงใจเง็กซิมจึงลงทะเบียนให้ซิ่วเฮียงโดยไม่สอบถามอะไรมากนัก

จากนั้นเง็กซิมก็พาลูกสาวบุญธรรมไปพบหลงจู๊ฮุ้ง  หลงจู๊หรือผู้จัดการโรงงานเป็นชายวัยสี่สิบ  เป็นญาติของน้าเขยเถ้าแก่ที่ระยอง  ทางน้าเขยส่งมาช่วยงานที่ลานมะเกลือตั้งแต่เถ้าแก่ส่วงเปิดโรงงานใหม่ ๆ  หลงจู๊รายนี้รูปร่างท้วม  ผมบางหน้ากลมแป้น  ลักษณะเหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่ชอบแจกขนมเด็ก  นอกจากจะยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายเง็กซิมอย่างอบอุ่นแล้วยังพูดคุยกับซิ่วเฮียงอย่างมีเมตตา

เง็กซิมวางตัวสุภาพ  พอออกจากห้องทำงานของหลงจู๊  ซิ่วเฮียงก็เกริ่นว่า

“หลงจู๊ท่าทางใจดีนะจ๊ะเง็กซิ่ม”

แต่หญิงสูงวัยกลับตอบสั้น ๆ เพียงว่า

“ต้องคุมคนงานร้อยพ่อพันแม่จะใจดีได้ยังไง”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ้มนิดหนึ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ  ถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อนหญิงสาวอาจจะไม่เชื่อคำพูดของแม่บุญธรรม  แต่ตอนนี้…หลังจากถูกพนมใช้หน้าตาและคำหวานหลอก  ถูกวาสนาอาศัยความเป็นน้องความเป็นเด็กเอาเปรียบ  หล่อนก็ไม่คิดจะตัดสินใครจากรูปภายนอก  อายุหรือตัดสินใจอย่างฉาบฉวยอีกแล้ว  ดีเลวต้องอาศัยเวลาตัดสิน  ดูกันแต่หน้าตาหรือความสูงวัยอ่อนวัยไม่ได้ทั้งนั้น

จากสำนักงานทั้งคู่เดินไปยังเรือนเย็บปัก  เรือนนี้ด้านล่างครึ่งหนึ่งเป็นห้องเก็บห้อง  อีกครึ่งเป็นห้องรีดเสื้อกางเกงที่ตัดเย็บเสร็จแล้วโดยใช้เตารีดถ่านธรรมดา  รีดแล้วก็พับเก็บมัดเตรียมไปส่งตามหน้าร้านต่าง ๆ  ส่วนชั้นบนนั้นเป็นห้องโถงกว้างโล่ง  แบ่งเป็นสามส่วน  ส่วนแรกเป็นโต๊ะขนาดใหญ่เรียงกันไปสามสี่โต๊ะ  ทุกด้านของโต๊ะมีคนงานสาว ๆ ตัดผ้าตามแบบ  ทั้งเสื้อและกางเกง  ตรงกลางจะเป็นส่วนของช่างเย็บ

ซิ่วเฮียงตาโตเมื่อเห็นจักรเย็บผ้าซิงเกอร์เรียงกันเป็นแถว  จักรยี่ห้อนี้โด่งดังไม่น้อย  ราคาสูงพอสมควรแต่ฝีจักรดี  ร้านเสื้อโสภาที่มหาชัยมีจักรซิงเกอร์รุ่นใหม่อยู่สองตัวไว้สำหรับให้ช่างในร้าน  เพราะถึงจักรจะราคาสูงแต่เช่าซื้อได้  ทำให้จักรยี่ห้อนี้กระจายไปตามร้านเสื้อและบ้านเรือนคนไทยอย่างรวดเร็ว  หญิงสาวเคยไปลูบ ๆ คลำ ๆ และขอลองใช้อยู่สองสามครั้ง  ยังเคยฝันด้วยว่าถ้ามีเงินก็อยากจะซื้อจักรถีบยี่ห้อนี้ให้ม้าสักตัว  นึกไม่ถึงเลยว่าโรงงานของเถ้าแก่ส่วงจะมีจักรถึงสามสิบตัว

จักรนี้จะแบ่งใช้โดยช่างเย็บและช่างปัก  โดยช่างเย็บจะเย็บตามรอยชอล์กที่ช่างตัดขีดไว้  เย็บเสร็จก็ส่งต่อให้ช่างปักที่ชำนาญในการใช้จักรปักลายปักหัวกวางสัญญลักษณ์ของโรงงาน

เนื่องจากผ้าปังลิ้นราคาค่อนข้างสูง  ยิ่งเมื่อตัดเย็บเรียบร้อยยิ่งมีราคา  ดังนั้นการทำงานในโรงงานจึงต้องกวดขัน  เง็กซิมเป็นทั้งช่างปักและหัวหน้าคนงานเย็บปักต้องคอยสอดส่องบรรดาสาว ๆ เสมอ  ส่วนเหง็กลั้งนั้นรู้หนังสือแถมยังเขียนหนังสือได้สวย  เหง็กลั้งจึงมีหน้าที่ตรวจรับผ้า  ตรวจดูเสื้อกางเกงที่ตัดสำเร็จแล้ว  จดจำนวนก่อนนำเก็บเข้าห้องเก็บของเพื่อรอส่งไปตามหน้าร้านต่าง ๆ

เหง็กลั้งเป็นคนดูด้วยว่าวันหนึ่ง ๆ คนงานทำงานได้ปริมาณเท่าไหร่  คนงานประจำมีกำหนดงานตัวเองไว้ว่าวันหนึ่งต้องทำได้เท่าไหร่  ถ้าทำได้มากกว่ากำหนดและงานเรียบร้อยไม่มีปัญหาจะมีเบี้ยพิเศษให้ทุกสิบห้าวัน

แน่นอนว่าซิ่วเฮียงหมายมั่นปั้นมือเรื่องเบี้ยพิเศษเต็มที่  หญิงสาวอยากหาเงินเยอะ ๆ ส่งให้ม้าให้ลูกชาย  อย่างน้อยก็ต้องมีทุนไว้ให้หาญเรียนหนังสือในอนาคต…

ในห้องเย็บปักบรรจุคนงานได้กว่าห้าสิบคน  แต่คนของที่นี่ไม่เคยพอ  เต็มที่ก็มีคนงานแค่สามสิบกว่าคนไม่ถึงสี่สิบ  ทั้งหมดเป็นคนจีนอายุส่วนใหญ่จะอยู่ที่ยี่สิบปลายถึงห้าสิบปี  มีคนเดียวที่เป็นช่างปักที่อายุยังน้อย  น่าจะมากกว่าซิ่วเฮียงสองถึงสามปีเท่านั้น  แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวนั้นเทียบกันไม่ได้  เน้ยเป็นสาวกรุงเต็มตัว  ผัดหน้าขาวเขียนคิ้วด้วยผงถ่านจนดำขลับ  ปากแดง  แม้จะทำงานในลานมะเกลือแต่หญิงสาวแต่งตัวสวย  ผมสั้นตีโป่งตามสมัยนิยม  เสื้อผ้าก็ทันสมัยเหมือนสาว ๆ ขายของในตลาดมหาชัยที่ซิ่วเฮียงเคยเห็น  เสียดายที่แม้ว่าจะสวยแค่ไหนแต่หน้าตาของเน้ยกลับไม่เป็นมิตรนัก

ระหว่างที่ซิ่วเฮียงมองไป  ฝ่ายนั้นก็มองกลับ  แรก ๆ ก็เหมือนจะกังวล  แต่พอเห็นแม่สาวสุพรรณหน้าตาเรียบ ๆ เกลี้ยงเกลาแต่ไม่ถึงกับพูดได้เต็มปากว่าสวย  แถมยังสวมเสื้อขาวกางเกงดำเชย ๆ ความระแวงก็หายไปเหลือเพียงอาการดูถูกผู้หญิงบ้านนอก  หน้าตาไม่แต่งแต้ม  เสื้อผ้าหรือก็ล้าสมัย  ไม่รู้ไปขุดชุดม้าหรืออาม่ามาสวม  เด๋อด๋าเร่อร่าเป็นที่สุด!

สองสาวสบตากัน  ก่อนคนงานเก่าจะเบ้ปากนิดหนึ่งแล้วหันไปสนทนากับผู้หญิงข้างๆ ซิ่วเฮียงยิ้มเก้อ

เง็กซิมที่ลอบมองอยู่ไม่แปลกใจ  เน้ยเป็นพวกหวังสูง  ถือดี  อวดเบ่ง  ข่มคนที่อ่อนกว่า  นิสัยตรงกันข้ามกับลูกสาวบุญธรรมหล่อนราวขาวกับดำ  ถ้าถูกชะตากันตั้งแต่แรกก็แปลกแล้ว  และแม้จะพอใจที่เน้ยไม่เห็นซิ่วเฮียงในสายตา  แต่เง็กซิมก็ยังกระซิบกำชับซิ่วเฮียงว่า

“แม่เน้ยนั่นเฮียงอย่าไปยุ่งด้วยดีแล้ว  อีถือตัวว่าเส้นอีใหญ่  เป็นญาติของพี่สะใภ้ของเถ้าแก่เนี้ย  เขาฝากฝังให้มาทำงานที่นี่…”  เง็กซิมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ  แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้าถอนใจ  “เฮ้อ…พูดไปอาซ้อของเถ้าแก่เนี้ยก็พิลึกนัก  คิดยังไงถึงฝากแม่เน้ยมาทำงานที่นี่  ชักหมาป่าเข้ามาในบ้านน้องผัวตัวเองแท้ ๆ เชียว”

 

 



Don`t copy text!