เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “คนแปลกหน้า”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “คนแปลกหน้า”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

สงครามเลิกไปแล้วเกือบปี วิลเลียมจึงตัดสินใจกลับไปหาครอบครัวที่แพร่ และคิดว่าจะไม่กลับมาอังกฤษอีกตลอดชีวิตนี้ ครอบครัวเขาอยู่ที่แพร่ อยู่ในสยาม ไม่ใช่ลอนดอน อังกฤษหรืออินเดีย ตราบลมหายใจสุดท้ายวิลเลียมขอฝากไว้ในสยาม เหตุผลเดียวที่จะกลับอังกฤษ…เป็นครั้งคราว ก็คือเรื่องที่เกี่ยวความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงในอนาคตของลูก ๆ เท่านั้น

วิลเลียมอยากเดินทางไปอยู่กับครอบครัวเร็ว ๆ ร่างกายเขามิได้บอบช้ำมากนักหลังศึกครั้งสุดท้าย พักฟื้นไม่นานร่างกายก็แข็งแรงดี โอลิเวอร์เสียอีกที่หงุดหงิดตัวเองที่ฟื้นตัวช้า เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเมื่อเขาแข็งแรงพร้อมเดินทางไกลวิลเลียมจึงจะกำหนดวัน เด็กหนุ่มคอยหล่อเลี้ยงเชื้อไฟในตัววิลเลียมว่าจะกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวมิให้มอดดับ เพราะสิ่งที่วิลเลียมแสดงออกคือความเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้นต่อความต้องการของใคร จนทั้งโอลิเวอร์และมิสซิสอีแวนเดอร์พลอยรำคาญกับการใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมายของวิลเลียม หากกระนั้น มิสซิสอีแวนเดอร์ก็ไม่ย่อท้อในการร้องขอให้วิลเลียมไปพบครอบครัวสามีหล่อนที่สยาม

วันที่วิลเลียมบอกแก่ทุกคนว่าพร้อมเดินทางไปสยามแล้ว ทุกหน้าต่างยินดี ยกเว้นหน้าของนายพลไรอันที่แม้นิ่งเฉยแต่ประกายไฟในแววตาดุจจะเผาร่างหลานชายให้มอดไหม้ด้วยความผิดหวัง หน้าสั่นกระตุกด้วยขบกรามกลั้นอารมณ์ไม่ได้ดั่งใจไว้เต็มที่ เขามีแก่ใจมาส่งที่ท่าเรือเพื่อจะบอกว่า

“อังกฤษไม่ต้อนรับแกและครอบครัวของแก”

วิลเลียมนิ่งฟัง เขารู้มานานตั้งแต่จำความได้ว่านายพลไรอันไม่ชอบแม่ และนั่นคงลามมาถึงเขาผู้เป็นหลานนอกคอก เพราะลุงไม่มีปัญหากับพี่ชายทั้งสองของเขา ซ้ำยังเทิดทูนยกย่องว่าเป็นผู้ที่รักษาเกียรติยศชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ในเมื่อลุงพูดราวกับตัดหางปล่อยวัดเช่นนี้แล้ว สายใยแห่งความพูดพันที่แทบจะไม่เคยมีตั้งแต่ต้นทำให้วิลเลียมตอบกลับไปอย่างจะยั่วให้นายพลไรอัน บรูค ระเบิดออกมา

“ผมก็ไม่คิดจะกลับมาที่อีก ลมหายใจสุดท้าย ผมขอแค่ได้นอนบนฟูกบาง ๆ มีผ้าห่มผืนบางคลุมอยู่ ไม่ต้องดีมากนักหรอก แค่เพียงพอให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ตอนนั้นผมจะมีคนที่ผมรักและรักผมห้อมล้อม ส่งความอบอุ่นและปรารถนาดีอย่างจริงใจมาให้ผมก่อนที่จะเดินทางไปสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผมจะกลับไปหาครอบครัวของผม” วิลเลียมเน้นคำว่า ‘ครอบครัว’ อย่างจงใจให้เสียดลึกแทงความรู้สึกของผู้เป็นลุง “เกียรติศักดิ์แห่งตระกูลไม่สำคัญสำหรับผม ผมต้องลาแล้ว และเราคงไม่ได้พบกันอีก ผมหวังว่าในวาระสุดท้ายของลุง จะมีคนที่รักลุงอย่างจริงใจ…สักหนึ่งคน มายืนอยู่ข้างเตียงลุง”

ไม่สำคัญว่านายพลไรอันจะสำแดงโทสะอย่างไรต่อจากนั้น เพราะวิลเลียมเดินขึ้นเรือโดยไม่หันกลับมามองอีก แม้ยามเรือออกท่าเขาก็ยังไม่อาลัยสายน้ำเทมส์เท่ากับตอนนี้ที่เห็นแม่น้ำสายใหญ่ชื่อเจ้าพระยาระยิบระยับด้วยแสงอัสดงที่ฉาบลงให้ผิวน้ำกระเพื่อมไหวพริบพรายคล้ายโปรยด้วยละอองทอง

ผู้ร่วมเดินทางอีกสองคนตื่นตากับทัศนียภาพที่แปลกไป หากความรู้สึกในใจแตกต่างกัน

โอลิเวอร์ตื่นเต้นที่การผจญภัยบทใหม่ของชีวิตกำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่นี่

ส่วนมิสซิสอีแวนเดอร์สมใจแกมเร่งร้อน เวลาที่รอคอยมาถึงเสียที ไม่รู้ว่าบ้านสามีจะอยู่ไกลจากบางกอกนี้แค่ไหน แม้จะไม่พิสมัยกลิ่นคาวปลาและความไร้ระเบียบของชาวบ้านตัวดำ ๆ ที่ท่าเรือ แต่มิสซิสอีแวนเดอร์ก็กลั้นใจทนให้พ้นไป เพราะปลายทางของสิ่งที่คาดหมายคือสมบัติของสามีที่งอกงามอยู่ที่สยามนี้จะทำให้หล่อนกลับอังกฤษอย่างเศรษฐีนีผู้มั่งคั่ง สิ่งไม่เจริญตาแห่งความไร้อารยธรรมของที่นี่ถูกทดแทนด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก และกลุ่มชนชั้นสูงของสยามที่เดินทางมาในเรือเที่ยวเดียวกัน เป็นสิ่งที่มิสซิสอีแวนเดอร์บอกกับตัวเองว่า…ประเทศนี้ก็พอมีความศิวิไลซ์อยู่บ้าง ใช่จะควานหาไม่พบเอาเสียเลย

สถานกงสุลคือแห่งแรกที่วิลเลียมไปเยือนเมื่อจัดการเรื่องเข้าเมืองและเข้าที่พักชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว เพื่อจัดการเรื่องของมิสซิสอีแวนเดอร์

ภายใต้ท่าทีน่าสงสารของหญิงหม้ายที่ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียสามีแม้จะผ่านมาร่วมปีแล้ว มิสซิสอีแวนเดอร์คือสตรีที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ไม่ว่าจะกงสุลและวิลเลียมจะเสนอแนวทางอย่างไรในการประนีประนอมและจัดการเรื่องทั้งหมด หากหนทางนั้นนานช้ากินเวลายาวนานในความรู้สึกของหล่อน มิสซิสอีแวนเดอร์ก็จะครวญคร่ำรำพันขึ้นมาต้องพ่ายแพ้ยอมทำตามความต้องการของหล่อนทุกทีไป

หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่วิลเลียมจะกลับไปหาครอบครัวที่แพร่ก่อนแล้วจึงค่อยย้อนกลับมาช่วยมิสซิสอีแวนเดอร์แก้ปัญหา วิลเลียมอยากไปพบหน้ามุ่ยและลูก ๆ รวมทั้งลีรอย แจ้งข่าวด้วยตนเองว่าเขาปลอดภัยดีจากสงคราม กลับมาแล้วและจะไม่จากพวกเขาไปไหนอีก

มิสซิสอีแวนเดอร์ก็ทัดทานว่า

“แค่ส่งข่าวแจ้งไปก็พอ ไหน ๆ เธอก็จะอยู่ที่นี่ตลอดไปมิใช่หรือ จะรู้สัปดาห์นี้หรือเดือนหน้าก็ค่าเท่ากัน ฉันออกค่าส่งโทรเลขให้ก็ได้” น้ำเสียงของมิสซิสอีแวนเดอร์ดูแคลนเมื่อเอ่ยต่อไป “ที่นี่มีโทรเลขหรือยังคะท่านกงสุล หรือว่าต้องเขียนจดหมายฝากคนถือนั่งหลังช้างไปแจ้งข่าว”

“ที่นี่มีทั้งโทรเลขและรถไฟ มิได้ลำบากกันดารอย่างที่คุณคิดหรอก”

“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น” มิสซิสอีแวนเดอร์พยักหน้าตามแก้เก้อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะว่า “ที่ไหนมีคนอังกฤษ ที่นั่นย่อมมีความเจริญ คนอังกฤษเหมือนสายลมแห่งความเจริญนะคะ พัดไปที่ไหนก็ทำให้ความศิวิไลซ์เกิดขึ้นที่นั่น ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าพวกเราไม่เข้ามา คนที่นี่ก็คงมีชีวิตที่ต่ำกว่านี้ แบบที่ฉันเห็นที่ท่าเรือนะค่ะ”

“เราอย่าสำคัญตัวเองมากดีกว่าครับ” วิลเลียมแย้งอย่างสุภาพ “บางอย่างที่เราเห็นว่าพวกเขาด้อยกว่าเรานั้น แท้จริงแล้วอาจจะเหนือกว่าหรือรุดหน้ากว่าเราก็ได้”

“ขออภัยด้วยเถอะจ้ะ ถ้าสิ่งที่ฉันคิดทำให้เธอระคายใจ พ่อหนุ่ม ฉันไม่เคยได้สัมผัสคลุกคลีกับคนที่นี่” มิสซิสอีแวนเดอร์สะกดคำว่า ‘เกลือกกลั้ว’ ไม่ให้หลุดออกมาได้ทัน “จึงไม่รู้หรอกว่าคนที่นี่แท้จริงเป็นอย่างไร”

“ความเห็นอกเห็นใจหรือเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นคนเท่าเทียมกัน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยที่เราไม่ต้องรู้จัก พบเจอ หรือเกลือกกลั้ว…อย่างที่คุณกำลังจะหลุดปากออกมาเมื่อครู่นี้นี่ครับ เพียงแค่เรามีจิตใจที่สะอาดพอ ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นผู้มีความศิวิไลซ์”

ไฟโทสะเผาไหม้อารมณ์มิสซิสอีแวนเดอร์ให้หน้าแดงขึ้นมา มันคงแดงเหมือนต้นคอของสามีหล่อนที่ตรากตรำกลางแดดด้วยความรู้สึกเบิกบานกับการได้ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ วิลเลียมไม่แปลกใจแล้วว่าเพราะเหตุใดมิสเตอร์อีแวนเดอร์จึงไม่เคยเล่าถึงครอบครัวของเขาที่สกอตแลนด์ และไม่เคยมีจุดหมายว่าจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น

ภรรยาของเขาเป็นคนอย่างนี้นี่เอง

ท่านกงสุลรีบระงับก่อนที่การประคารมจะกลายเป็นวิวาทด้วยการแจ้งข้อมูลที่เขาหาในสมุดบันทึกของกงสุล

“มิสเตอร์อีแวนเดอร์มิได้จดทะเบียนสมรสใหม่ที่นี่”

ผู้ฟังยิ้มชื่นอย่างปรีดา หมายความว่า ‘ฝ่ายนั้น’ จะเสียสิทธิ์หลายอย่างที่ควรได้ ถามกลับทันทีว่า

“มีรายการทรัพย์สินแจ้งไว้ไหมคะ ทรัพย์สินของเขาที่นี่”

“เอ้อ…” ท่างกงสุลลังเลที่จะตอบเพราะไม่อยากผลีผลาม รายการทรัพย์สินที่แจ้งไว้นั้นมีอยู่แน่ แต่บ่อยครั้งที่ผู้วายชนม์ยังมิทันแจ้งเป็นบันทึกแต่กงสุลรู้ว่ามี…ส่วนมากเป็นพวกที่ดิน…ก็มักจะจัดการกันเงียบ ๆ ในการริบเอาที่ดินเหล่านั้นมาเป็นของกงสุลโดยอ้างว่าเป็นสมบัติของคนอังกฤษ

แต่การรุกเร้าจนน่ารำคาญของมิสซิสอีแวนเดอร์ทำให้ในที่สุดหล่อนได้เห็นรายการทรัพย์สินทั้งหมดของสามีในสยาม มิสซิสอีแวนเดอร์สนใจพวกเงินทองและของที่เป็นชิ้นมากกว่า ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับตีลังลงเรือส่งไปที่อังกฤษหรือสกอตแลนด์

“พวกที่ดินก็มีค่า แต่ดิฉันเห็นจะไม่สนใจเท่าไหร่ดอกค่ะ จะเก็บไว้หาประโยชน์ในภายหน้า ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีประเทศนี้จะศิวิไลซ์พอที่ดิฉันจะหาประโยชน์จากที่ดินพวกนี้ได้ หากกงสุลอยากได้ ดิฉันยินดีขายให้ถูก ๆ”

หากถึงกระนั้น ที่ว่าจะขายให้ถูก ๆ ก็เป็นราคาที่มิได้ลดหย่อนสักเพนนีเดียว

มิสซิสอีแวนเดอร์ ‘เขี้ยว’ กับสมบัติทุกชิ้นของสามี

 

โอลิเวอร์ท้องเสียและอาเจียนอย่างหนักจนแทบลุกยืนไม่ไหว ครั้นยืนได้ก็เวียนหัวโคลงเคลง ทำได้เพียงแค่นอนซมอย่างหมดแรง โชคดีที่ช่วงนี้มิสซิสอีแวนเดอร์พบคนที่จะช่วยเหลือจัดการเรื่องมรดกของสามี หล่อนจึงไม่รบกวนวิลเลียมมากนัก นับแต่วันที่ทั้งสองเกือบจะมีปากเสียงกัน

ถ้ามิสซิสอีแวนเดอร์ยังอยู่แถวนี้ หล่อนก็คงพร่ำเสียงน่ารำคาญอยู่ตลอดเวลา ด้วยเนื้อหาเรื่องความไม่ศิวิไลซ์ของที่นี่ รวมถึงอาการป่วยของโอลิเวอร์ก็หนีไม่พ้นสาเหตุจากความล้าหลังของสยาม

วิลเลียมไม่วางใจเฝ้าดูอาการข้ามวัน เย็นวันนั้นเขาก็เชิญนายแพทย์ผู้หนึ่งมาดูอาการเด็กหนุ่มที่ที่พัก

นายแพทย์ร่างสูงนั้นเป็นชาวอเมริกัน บทสนทนาระหว่างเดินทางถึงที่พักทำให้วิลเลียมรู้ว่าเขาเกิดและเรียนชั้นต้นที่สยาม จากนั้นไปเรียนแพทย์ที่อเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็กลับมารับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็นพระอาจวิทยาคม หน้าที่หลักในตอนนี้คือดูหลักสูตรแพทย์ที่ศิริราชพยาบาล

“เธอโชคดีมากรู้ไหม ที่หมอยอร์ชมาดูอาการเธอด้วยตัวเอง”

วิลเลียมบอกโอลิเวอร์ที่นอนซมอยู่บนเตียง ร่างกายอิดโรยแต่หน้าแดงด้วยพิษไข้ เด็กหนุ่มครึมครางตอบรับเพราะได้ยินเสียงมากกว่าจะรู้ว่าฝ่ายนั้นพูดว่าอย่างไร

จนเมื่อเขาหายดีในเวลาต่อมาแล้วนั่นละ จึงได้รู้ว่าผู้ที่มารักษาให้เขาคือนายแพทย์ยอร์ช บี แมคฟาแลนด์ หรือที่คนสยามเรียกให้สะดวกปากว่าหมอฟ้าลั่น

แต่วิลเลียมกลับแก้ไขความเข้าใจว่า

“ผู้ที่รักษาเธอจริง ๆ คือลูกศิษย์ต่างหาก หมอยอร์ชแค่มากำกับดูการรักษาเท่านั้น”

โอลิเวอร์จำช่วงที่ป่วยหนักไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนจะเข้าเขตความตายอยู่ทุกขณะ สติรับรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เข็ดขยาดกับการปวดท้องจนบิดแล้วกลั้นอุจจาระไม่ไหว วิลเลียมเป็นผู้เล่าให้ฟัง

“หมอยอร์ชพาลูกศิษย์มาด้วย”

เมื่อเห็นคนไข้ หมอยอร์ชก็บอกให้ลูกศิษย์หนุ่มลูกจีนตรวจดูอาการ โดยกำชับว่าอย่าเพิ่งแตะต้องคนไข้ ให้วินิจฉัยจากการสังเกตและซักถามอาการก่อน เด็กหนุ่มทำตามคำอาจารย์ เขาได้ข้อมูลจากเจ้าตัวประกอบกับคำบอกเล่าของวิลเลียม ก็รายงานผลการวินิจฉัย

“สันนิษฐานว่าเป็นไทฟอยด์ครับ”

“ทำไมเธอคิดอย่างนั้น” นายแพทย์ยอร์ชถามลูกศิษย์

“ผู้ป่วยท้องเสีย ถ่ายบ่อยจนร่างกายอ่อนเพลีย ก่อนหน้านี้ปวดศีรษะเป็นประจำ ไอแห้ง มีไข้ต่ำมาแล้วสองวัน”

“เท่านั้นนะหรือ ต่างอะไรกับไข้หวัด”

“ลักษณะของอุจจาระครับ สีและกลิ่นเป็นลักษณะที่มีเชื้อแบคทีเรีย” เด็กหนุ่มนักเรียนแพทย์บอก ใช้นิ้วดันแว่นตาที่ตกลงมากลางจมูกให้กลับคืน “และที่สำคัญ มีผื่นขึ้นบริเวณท้องและหน้าอกครับ”

หมอยอร์ชพยักหน้าน้อย ๆ ขณะที่ฟังลูกศิษย์อธิบาย มิได้โต้แย้งหรือดักทางอีก ทั้งมิได้บอกว่าเขาวินิจฉัยถูกหรือผิด หากบอกเพียงว่า “เอาละ รักษาคนไข้ของเธอต่อไป”

รอยยิ้มฉายขึ้นบนดวงหน้าของเด็กหนุ่มลูกจีนผิวขาว แว่นตาที่สวมอยู่ทำให้เขาดูน่ามอง

แล้วนายแพทย์ยอร์ชก็หันมาคุยกับวิลเลียม เอ่ยถึงลูกศิษย์อย่างภาคภูมิใจ

“ทรัพย์เป็นศิษย์เอกของฉัน และอาจจะเป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้าย เพราะฉันตั้งใจจะวางมือเสียที”

“ผมค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นคนจีนเรียนแพทย์” วิลเลียมว่า “เพราะชาวจีนก็มีวิธีรักษาโรคของตัวเอง ทั้งยาสมุนไพรและฝังเข็ม” แต่ในนาทีต่อมาวิลเลียมก็คิดว่าไม่แปลกเมื่อนึกถึงมัลลิกา รายนั้นเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ ผู้ที่คิดหรือทำอะไรแตกต่างจากคนทั่วไปคงมีอยู่ไม่น้อยในโลกนี้

“เมื่อทรัพย์เรียนจบ ฉันตั้งใจจะให้เขาเป็นหมออยู่ที่เดียวกับฉันนี่ละ”

นักศึกษาแพทย์หนุ่มพร้อมแว่นตาใสบนดวงหน้าเข้ามารายงานการรักษา

“ผมให้ยาลดไข้ไปแล้ว เช็ดตัวบ่อย ๆ ให้ไข้ลด ผื่นที่ขึ้นก็จะค่อยหายจางไป และผมให้ยาปฏิชีวนะด้วย”

ผู้เป็นอาจารย์เพียงพยักหน้า แสดงว่าไม่คัดค้านหรือตกใจกับการรักษา

“ต้องดูแลเรื่องน้ำและอาหารหน่อยนะครับ” นักศึกษาแพทย์ทรัพย์บอกแก่ผู้ปกครองเด็กหนุ่ม “น้ำดื่มที่นี่ยังไม่สะอาด และอาหารก็อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่”

“เห็นจะจริงอย่างหมอว่า” วิลเลียมเรียกเด็กหนุ่มว่า ‘หมอ’ ทั้งเพื่อยกย่องในฐานะผู้รักษาและให้กำลังใจ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเด็กหนุ่มนามว่าทรัพย์เบิกบานภาคภูมิขึ้นจนเกือบกลั้นไว้ไม่อยู่ ผู้เป็นอาจารย์เสียอีกกลับเบือนหน้าไปขำท่าทีของลูกศิษย์ “ตั้งแต่มาถึงสยาม โอลิเวอร์ก็เห็นทุกอย่างเป็นสิ่งน่าค้นหาชวนทดลองไปเสียหมด ชนิดที่ว่าเขามาอยู่เพียงหนึ่งสัปดาห์ น่าจะกินอะไรไปหลายชนิดกว่าผมที่อยู่มาหลายปี”

วิลเลียมเชิญทั้งคู่รับประทานมื้อเย็นด้วยถึงเวลาและขอบคุณไปพร้อมกัน ทั้งคู่ไม่ปฏิเสธ บทสนทนาบนโต๊ะอาหารช่วงแรกเป็นเรื่องชีวิตของหมอยอร์ชกับการพยายามทำให้คนสยามยอมรับการรักษาแบบแผนตะวันตก ช่วงหลังเมื่อพ้นจากจานหลักไปแล้วจึงเป็นเรื่องชีวิตในปางไม้ในป่าทางภาคเหนือของสยาม วิลเลียมเล่าถึงโรคภัยต่าง ๆ ที่เขาพบเมื่ออยู่ที่นั่นและการรักษาที่บางครั้งได้ผลและบางครั้งก็สิ้นหวัง

อาการของโอลิเวอร์ค่อย ๆ ดีขึ้นในห้าวันถัดมา ช่วงระยะเวลานี้ หมอยอร์ชและทรัพย์มาเป็นแขกของวิลเลียมเสมอ วันใดที่มิสซิสอีแวนเดอร์อยู่ด้วย วิลเลียมชวนแขกออกไปกินข้างนอกเพื่อกันหญิงหม้ายออกจากวงสนทนา

“นายห้างรู้ไหมว่า นายห้างกำลังจะทำร้ายฉัน ด้วยการขโมยลูกศิษย์ของฉันไป” หมอยอร์ชสัพยอกอย่างอารมณ์ดี ไม่มีเค้าติติงอย่างถ้อยคำ ในขณะที่วิลเลียมยังไม่เข้าใจนัยแห่งคำพูดนั้นจนเขาเอ่ยต่อไปว่า “ตั้งแต่ทรัพย์ได้ยินเรื่องเล่าในพงไพรของนายห้าง เขาก็แบ่งเวลาไปค้นคว้าหาข้อมูลว่าป่าทางเหนือเป็นอย่างไร สนใจเป็นพิเศษทั้งไทฟอยด์และมาลาเรีย จนฉันชักเอะใจจึงถามออกไปตรง ๆ เขาก็สารภาพว่าเขาอยากไปเป็นหมอที่นั่นเมื่อสำเร็จการศึกษา”

ตลอดเวลาที่หมอยอร์ชเล่ายาวอย่างอารมณ์ดีนั้น ผู้ถูกเอ่ยถึงได้แต่ก้มหน้านิ่งราวเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากำลังวางแผนจะหนีออกจากบ้าน

“ในบางกอกมีหมอเก่ง ๆ เยอะแล้ว ถ้าผมไปอยู่ทางนั้น ในที่ที่ขาดแคลนหมอ ผมอาจจะทำประโยชน์ให้คนอื่นได้มากกว่าอยู่ที่นี่”

“ฉันเกรงว่าเธอจะหลงมนต์เสน่ห์เมืองเหนือจนไม่ยอมกลับมาบางกอกอีกนะสิ” หมอยอร์ชเย้า ยิ้มอย่างมีนัยแล้วหันไปทางวิลเลียม “จริงไหมนายห้าง ป่าเหนือมีดอกไม้งามมากมายหลายชนิด เสน่ห์รุนแรงจนกระทั่งผู้ได้กลิ่นหลงในมนต์สะกดเลยทีเดียว”

“ข้อนั้นแน่นอนครับ” วิลเลียมพลอยสนุกไปด้วย “ทั้งฟ้ามุ่ย เอื้องผึ้ง กะเรกะร่อน ซอมพอ เก็ดถะหวา กาสะลอง สวยมีเสน่ห์ทั้งนั้น”

ทรัพย์ฟังเพลินทว่าจดจำชื่อดอกไม้งามทั้งหมดมิได้ จำได้รวม ๆ แค่ว่าชื่อแปลก

กว่าโอลิเวอร์จะหายสนิทพร้อมสำหรับการเดินทางก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน วิลเลียมอยากกลับบ้านเร็ว ๆ แต่ไม่อาจเสี่ยงพาคนไม่แข็งแรงเดินทางไกล และเขาก็ไม่อยากส่งโทรเลขเพราะไม่อยากให้คนทางโน้นคอยพะวงหา ด้วยรู้ว่าอยู่ไม่ไกล…ในผืนแผ่นดินเดียวกันแล้วไฉนยังไม่พบหน้ากันเสียที

ในวันเดินทางจากบางกอกสู่แพร่ วิลเลียมก็ได้รู้ซึ้งถึงน้ำใจของมิสซิสอีแวนเดอร์ว่าบัดนี้เขาหมดความหมายแล้ว ชาวอังกฤษที่หล่อนพบที่นี่พร้อมจะทำตัวเป็น ‘นายหน้า’ หรือ ‘ผู้จัดการ’ ให้หล่อนเต็มที่ในการริบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสามีมาจากภรรยาชาวท้องถิ่น

หมอยอร์ชและทรัพย์มาส่งเขาในฐานะเพื่อนผู้เป็นชาวต่างชาติในสยามเหมือนกัน

“ฉันดีใจกับนายห้างด้วยนะ ที่ล้างสมองลูกศิษย์ฉันสำเร็จ” หมอยอร์ชหัวเราะถูกใจ “เขายืนยันมั่นเหมาะแล้วว่า ทันทีที่เขาสำเร็จการศึกษา เขาจะขึ้นไปเป็นหมอที่เชียงใหม่ ฉันไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมเหนี่ยวรั้งไว้ได้อย่างไรอีก จึงได้แต่ภาวนาอย่าให้เขาหลงเสน่ห์แม่ดอกไม้ป่า จนทิ้งถิ่นฐานบ้านเดิมเหมือนนายห้างไปอีกคนเลย”

เสียงหัวเราะสองเสียงประสานกัน ส่วนเด็กหนุ่มหน้าขาวสวมแว่นนั้นเพียงยิ้มอาย ๆ

“ถ้าไม่มีโรงพยาบาลที่ไหนตอบรับเธอ ฉันจะจ้างให้เธอเป็นหมอประจำปางไม้ ไม่ต้องกังวลไปหรอกว่าเมื่ออยู่ที่นั่นแล้ว เธอจะไม่ได้ใช้วิชาแพทย์ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา” วิลเลียมตบบ่านักศึกษาแพทย์หนุ่มน้อย ๆ

แล้วทั้งหมดก็จากกัน

วิลเลียมได้พบหมอทรัพย์อีกสองสามครั้งเท่านั้นตลอดชีวิต ครั้งหนึ่งที่สถานกงสุลที่เชียงใหม่ หมอทรัพย์ติดตามมากับคณะของแพทย์ประจำโรงพยายามแมคคอร์มิค หลังจากนั้นชีวิตที่ผกผันของวิลเลียมก็ทำให้ภาพนักศึกษาแพทย์หนุ่มลูกจีนหน้าละมุนที่ประดับด้วยแว่นตากลมใสค่อยรางเลือนไป

หากเขาก็อวยพรทุกครั้งที่นึกถึง ขอให้นายหมอหนุ่มมีชีวิตที่ดีที่เชียงใหม่ (1)

 

ต้นลำไยอายุหลายปีแผ่กิ่งก้านและพรางแสงตะวันยามบ่ายให้ร่มเงาอยู่ข้างเรือน ข่วงหรือลานกว้างตรงนั้นเป็นที่อเนกประสงค์สำหรับใช้ทำกิจกรรมเกือบทุกอย่าง นับแต่นับล้อมวงคุยกัน กินของว่างยามบ่าย นอนเอกเขนกบนแคร่ไม้ไผ่ หรือแม้แต่เป็นที่นั่งชุมนุมทำงาน

จากระยะที่มองเห็น วิลเลียมบอกได้ทันทีว่าผู้ที่นั่งล้อมวงกันอยู่นั้นเป็นใครบ้าง เสียงค้อนตอกไม้ได้จังหวะสม่ำเสมอ ลีรอยคงเป็นช่างแกะสลักไม้ไปแล้ว เพราะเขากำลังใช้สิ่วอันใหญ่ถากท่อนไม้ให้เป็นเค้าโครงตัวช้าง ในขณะที่มุ่ย…ภรรยาของเขาใช้สิ่วอันเล็กเก็บรายละเอียดลวดลายบนไม้แกะสลักที่จวนเสร็จ

ลูกของวิลเลียมอยู่ตรงนั้นพร้อมหน้าทุกคน

ห้าปีที่ผ่านไป ดูยาวนานเหมือนห้าสิบหรือห้าร้อยปีเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสนามเพลาะ ทั้งที่ห้าปีนับว่าไม่สั้นไม่ยาวเท่าไร จนกระทั่งเห็นลูก ๆ อีกครั้งในวันนี้ วิลเลียมจึงเข้าใจคำพูดที่ว่าโตขึ้นผิดหูผิดตานั้นเป็นอย่างไร ลูกของเขามิได้เหมือนเติบใหญ่เพียงห้าปี แต่มากกว่านั้น

ปะเลแบกท่อนไม้มาที่ร่มลำไย เห็นหลังหนาของชายสองคนก็เร่งฝีเท้าให้เลยไปดักหน้าแล้วหมุนตัวหันมากึ่งจะขวางมิให้คนแปลกหน้าจู่เข้าไปถึงตัวคนในบ้าน ท่อนไม้ที่แบกมาร่วงลงพื้น ดวงตามองค้างยังร่างผู้ที่แก่วัยกว่าแล้วน้ำตาก็ซึมไหล ปากคอสั่นเมื่อส่งเสียงคราง

“นายห้าง…นายห้างแต๊ ๆ กา…จริงหรือ…นายห้างปิ๊กมาแล้วกา” เสียงของปะเลขาดเป็นห้วง ๆ ความรู้สึกปนเปทั้งตื่นเต้น ดีใจ โลดใจ พูดไม่ออก มันท่วมท้นตื้อตันอยู่ในอก

เสียงร้องประสานดังขึ้นมา

“ป้อนาย”

คำเรียกขานนั้นทำให้วิลเลียมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เสียงลูก ๆ เปลี่ยนไป ร่างกายก็เปลี่ยนไปสูงใหญ่ขึ้น ม่อนดูเป็นหัวโจก ส่วนมายและหมอกก็ดูแข็งแรงสมบูรณ์ดี ผู้ที่มาถึงตัวพ่อเป็นคนสุดท้ายคือรอยเมืองพี่ใหญ่ ที่นอกจากเจริญวัยเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ยังดูสุภาพสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

“ป้อนายปิ๊กมาแล้ว ป้อนายกลับมาแล้ว” เด็ก ๆ ยังคงร้องดีใจ ติดตามไม่ห่างเมื่อพ่อเดินไปใกล้แม่

วิลเลียมย่อตัวลงนั่งข้างมุ่ย ท่าทางสบายดุจว่าเขาเพิ่งจากบ้านไปที่สถานีป่าไม้เมื่อเช้ามืด ทำงานในป่าห้าชั่วโมง แล้วกลับมาบ้านเพื่อรับประทานมื้อค่ำกับลูก ๆ มุ่ยยกน้ำต้น…คนโทดินเผา…รินน้ำใส่จอกน้อยส่งให้ วิลเลียมยื่นมือรับกุมมือน้อยของภรรยาก็รู้สึกว่ายังคงนุ่มนวลแม้จะกร้านขึ้นเล็กน้อย

เขาหันไปทางเด็กหนุ่มที่ถือลังไม้มาด้วย แนะนำให้ทุกคนรู้จัก

“นี่คือโอลิเวอร์ บลูมเมอร์ ทหารหน่วยเดียวกับฉันที่อังกฤษ”

โอลิเวอร์พยักหน้ารับแล้วออกจะเขินทำตัวไม่ถูก แม้ว่าเขาจะเป็นคนกล้า ท้าทาย ไม่ค่อยเกรงใครหรืออะไรเท่าไหร่จนวิลเลียมต้องคอยปรามและเตือนสติอยู่บ่อยครั้งว่าอย่าห่ามกล้าบ้าบิ่นจนกลายเป็นคนขาดสติ แต่วันนี้เมื่ออยู่ในวงล้อมของครอบครัวหนึ่ง ความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าก็พานให้เขาทำตัวไม่ถูก

“เอาของที่เธอถือมาให้คุณลีรอยสิ”

โอลิเวอร์พยักหน้าแล้วตรงไปที่ชายวัยเดียวกับวิลเลียม เดาไม่ยากเลยว่าคนไหน เพราะในวงนั้นมีเพียงผู้เดียวที่หน้าตาเป็นชาวตะวันตกแม้จะมีเส้นผมสีดำเหมือนราเวนส์

“ยินดีที่ได้พบครับ คุณบลูมเมอร์”

“ยินดีที่ได้พบ” ลีรอยตอบ หันไปทางวิลเลียมเขาก็ส่งสายตาแทนคำพูดว่า เด็กหนุ่มคนนี้มีนามสกุลเดียวกับเขา อาจช่วยให้ลีรอยสืบสาวไปถึงต้นธารแห่งชีวิตได้

เด็กหนุ่มวางลังไม้ที่ประคองอย่างทะนุถนอมมาตลอดทางเพราะวิลเลียมบอกว่าเป็นของสำคัญมากสำหรับเพื่อนรัก ครั้นลีรอยเห็นของในลังไม้ก็เรียกหลาน ๆ ให้มารุมล้อมดู

“นี่ไงละ ต้นสตรอว์เบอร์รีที่ลุงเล่าให้ฟัง”

“ไม่เห็นมีลูกสีแดง ๆ เลยครับ” ม่อนว่า

“เราช่วยกันเลี้ยงจนมันออกลูกดีไหม”

หลานชายสามคนร้องประสานเสียงกันอย่างตื่นเต้นสนุกสนาน ในขณะที่รอยเมืองเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ

ในบรรดารุ่นลูกทั้งหมดนั้น เด็กหญิงวัยหกขวบแม้จะสนใจใคร่รู้ทุกเรื่องที่พี่ ๆ ให้ความสนใจ แต่มิได้วิ่งออกมาล้อมดู คงแอบอยู่หลังชายผู้หนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ในนั้น วิลเลียมมองดูลูกสาวที่คิดถึงพร้อมกับชายแปลกหน้า

มุ่ยวางงานแกะสลักในมือ ปัดเศษไม้ออกจากซิ่น ยันตัวลุกแล้วบอกกับสามีและเด็กหนุ่มผู้ติดตามมาให้เก็บของ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ส่วนตัวเองจะเตรียมมื้อเย็น แล้วหันไปบอกกับชายแปลกหน้าผู้นั้นว่า

“ฝากดูลูกด้วยนะ”

ความรู้สึกยอกแสยงเหมือนเสี้ยนเล็ก ๆ สะกิดผิวผ่านเข้ามา

มาลี…ลูกสาวคนเล็กกอดคอหนาของชายผู้นั้นสนิทสนมราวพ่อกับลูก

ส่วนตัวเขา…วิลเลียมจะเป็นอะไรได้มากกว่าคนแปลกหน้าของหนูมาลีลูกสาวคนสุดท้อง

 

เชิงอรรถ : 

(1) นายหมอทรัพย์ จากเรื่องกลิ่นกาสะลอง

 



Don`t copy text!