เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ “การตัดสินใจครั้งสุดท้าย?”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ “การตัดสินใจครั้งสุดท้าย?”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

กองทัพเครือจักรภพส่งทหาร ๖ กองพลล้อมเข้าโจมตีพร้อมกันทั้งสองฝั่งของแม่น้ำอ๊องค์ เพื่อยึดหมู่บ้านกองกูในฟากตะวันออก ยึดหมู่บ้านโบมองฮาเมล หมู่บ้านโบกูต์ และหมู่บ้านแซร์ ในฟากตะวันตก รวมถึงยึดสนามเพลาะที่เชื่อมต่อหมู่บ้านเหล่านี้ทั้งหมด ใช้เวลา ๒ วัน ๒ กองพลก็เข้ายึดเป้าหมายได้สำเร็จ

กองพลที่ ๕๑ บุกเข้ายึดหมู่บ้านโบมองฮาเมล และกองพลที่ ๖๓ ยึดหมู่บ้านโบกูต์เอาไว้ได้แต่ก็ยังไม่สามารถบุกยึดสนามเพลาะของฝ่ายเยอรมันที่อยู่เลยหมู่บ้านทั้งสองนี้ออกไป โดยเฉพาะ ‘คูแฟรงค์ฟอร์ต’ ที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านแซร์ทางทิศเหนือได้

อีกไม่กี่วันต่อมา กองพลที่ ๖๓ จึงได้สับเปลี่ยนกองกำลัง โดยผู้มารับหน้าที่ต่อคือกองพลที่ ๓๗

หน่วยปืนครกสนามเพลาะกองพลที่ ๓๗ ถูกโจมตีอย่างหนักริมฝั่งแม่น้ำอ๊องค์ ฝ่ายตรงข้ามสาดกระสุนปืนใหญ่และปืนครกมาราวห่าฝน พลทหารทั้งหลายไม่ใคร่ปรารถนาอยู่แนวหน้าเนื่องด้วยรู้ดีว่าเป็นหน่วยล่อเป้าที่ศัตรูต้องทำลายล้างหักด่านเข้าไป ว่าง่าย ๆ ก็คือเป็นหน่วยที่พร้อมตายอย่างศักดิ์ศรีน้อยที่สุด

ทหารหน่วยอื่นก็ไม่ยินดีที่จะมาตั้งรังปืนครกอยู่ใกล้เพราะไม่อยากโดนลูกหลง

หน่วยปืนครกของร้อยตรีวิลเลียมฝึกฝนการบรรจุกระสุนและยิงให้ต่อเนื่องจนเชี่ยวชาญรู้มือกันดี โจมตีกี่ครั้งไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ แต่วันนี้มีบางอย่างผิดปกติ ฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนเกือบทานไว้ไม่อยู่

“สัญญาณโทรศัพท์ใช้ไม่ได้” น้าอีวานตะโกนแข่งกับเสียงปืนบอกสาเหตุทันทีที่ได้รับแจ้งมา

“เราต้องรีบหาจุดที่มีปัญหาแล้วเชื่อมต่อให้ไวที่สุด” ร้อยตรีวิลเลียมเอ่ยออกมา คนฟังต่างรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไร ถ้าหากแก้ไขสายสัญญาณโทรศัพท์ได้ ก็จะสามารถสื่อสารแจ้งตำแหน่งยิงศัตรูได้ถูกต้องแม่นยำ

การเชื่อมสายสัญญาณโทรศัพท์ไม่ยาก หากที่ลำบากคือต้องหาให้พบว่าจุดที่มีปัญหานั้นอยู่ตรงไหน แนวสายสัญญาณล้วนอยู่ในพื้นที่อันตรายไร้ที่กำบัง วิลเลียมเป็นความหวังของหน่วยในการเชื่อมสายสัญญาณโทรศัพท์ เขาคิดว่าจุดที่ขัดข้องต้องอยู่ในเขตสนามเพลาะของฝ่ายเยอรมัน ต้องบุกไปที่นั่น น้าอีวานและโอลิเวอร์รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นจึงอาสาติดตามไปอารักขา

ทหารทั้งสามนายไต่ขึ้นมาจากแนวคูดินสู่เขตปลอดคน วิ่งค้อมหัวฝ่ากระสุนปืนที่ยิงเฉียดไปมาบนสนามรบที่ปราศจากเครื่องกำบัง เสียงหวีดหวิวปึงปังดังแหวกอากาศอยู่ตลอดเวลาชวนให้คิดว่าพญามัจุราชรอคอยรับวิญญาณนายทหารทุกผู้อยู่เสมอ

ร้อยตรีวิลเลียม บรูคบุกตะลุยรุกคืบจากหมู่บ้านโบกูต์สู่สนามเพลาะริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอ๊องค์ไปจนถึงป้อมปืนของเยอรมันที่ป่าฮอลแลนด์หรือบัว โด ฮอลลอนด์ แล้วย้อนเข้ามาตามสนามเพลาะข้างรางรถไฟจนถึงสนามเพลาะชื่อ คูมัค กวาดล้างทหารเยอรมันที่ซ่อนอยู่ในโพรงหลบภัยและอุโมงค์ข้างสนามเพลาะที่นำไปสู่บังเกอร์ใต้ดิน วิลเลียมหวนนึกถึงเมื่อครั้งปราบเงี้ยวที่ลำปาง ที่ต้องซุ่มซ่อนลัดเลาะไปตามทางที่ศัตรูคาดไม่ถึงหรือไม่ทันระแวดระวัง

ครั้นเข้าไปถึงบังเกอร์ใต้ดินของฝ่ายเยอรมัน ตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือพื้นที่หนึ่งในสนามรบ

บังเกอร์ใต้ดินของเยอรมันมีสภาพไม่ผิดจากเมืองใต้พิภพ ห้องที่ร้อยตรีวิลเลียมหลุดเข้าไปครบครันด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกทัดเทียมกับห้องของศูนย์บัญชาการในชาโต ไวน์ แชมเปญ และเครื่องกระป๋องชั้นดีรายเรียงอยู่เต็มชั้นพร้อมจะสังสรรค์ได้ทุกเมื่อ ทว่าสิ่งที่ดึงความคิดของวิลเลียมให้กลับมาสู่ความโกรธแค้นคือ ชุดชั้นในสตรีและถุงน่องที่เกลื่อนอยู่ทั่วไป

ร้อยตรีวิลเลียมอดคิดไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของชุดชั้นในเหล่านี้จะเป็นสตรีจากฝ่ายเขาหรือฝ่ายศัตรู แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดย่อมไม่ดีสำหรับพวกหล่อน ทหารชายทั้งนั้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กดดัน จะหันไประบายอารมณ์กำหนัดมิได้ง่ายนัก สำรวจลึกเข้าไปในบังเกอร์ก็ยิ่งหดหู่ใจ ด้วยร่างของหญิงหลายคนหลายวัยแต่ไร้ชีวิตกองก่ายกันดุจตุ๊กตาเก่าผุ เห็นชัดว่าก่อนดวงชีวิตหลุดออกจากร่าง พวกหล่อนถูกย่ำยีอย่างไร

วิลเลียมรีบสลัดอารมณ์หดหู่หม่นหมองทิ้งไปมองหาจุดที่อยู่ใกล้บังเกอร์ใต้ดินของฝ่ายศัตรู เขามั่นใจว่าเยอรมันเป็นฝ่ายตัดสายสัญญาณ การคาดคะเนของวิลเลียมแม่นยำ ไม่นานเขาก็พบจุดที่สายสัญญาณถูกตัด ไม่ถึงนาทีจากนั้นเขาก็เชื่อมต่อได้สำเร็จ แล้วเสียงกระสุนปืนครกและปืนใหญ่ที่ยิงมาตกที่สนามเพลาะของเยอรมันก็รัวถี่และแม่นยำยิ่งขึ้น

กระสุนทุกลูกไม่พลาดเป้า

ปฏิบัติการครั้งนี้ กองพลที่ ๓๗ เป็นฝ่ายมีชัย

นายพลไรอัน บรูคชมเชยหลานชายอย่างออกนอกหน้า ที่บุกทะลวงฝ่าเข้าไปถึงรังของศัตรู กวาดล้างทหารของฝ่ายนั้น และยึดพื้นที่ได้สำเร็จ

ผลงานของวิลเลียม บรูค ในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญและเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

 

โอลิเวอร์ บลูมเมอร์ตื่นเต้นขณะที่กำหนังสือพิมพ์ลอนดอนกาเซตต์เข้ามาหาวิลเลียม แม้ว่าปฏิบัติการเสี่ยงตายในการหาจุดขัดข้องสายส่งสัญญาณจะลุล่วงไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปดที่จะเอาชีวิตไม่รอดจนทำให้ร้อยตรีวิลเลียม บรูค ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้น ‘กากบาททหาร’ หรือ Military Cross แต่กว่าจะลงประกาศในหนังสือพิมพ์ก็ต้องรอจนถึงฉบับวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ปีถัดมา โอลิเวอร์บ่นว่า

“ช้าไปตั้งสามเดือน”

เด็กหนุ่มไล่สายตาไปทุกตัวอักษรที่เขียนประกาศเกียรติศักดิ์ของร้อยตรีวิลเลียมราวกับเขาเป็นดาวเด่นของสงครามในครั้งนี้ และมีประวัติแต่งเติมที่วิลเลียมฟังแล้วต้องคว้ามาอ่านซ้ำเองว่าใช่ประวัติของตนเองหรือไม่ เนื้อหาออกจะเชิดชูเขาเกินไปในฐานะหลานชายสุดที่รักของนายพลไรอัน บรูค

วิลเลียมส่งหนังสือพิมพ์คืนให้โอวิเวอร์อย่างเฉื่อยชาจนเด็กหนุ่มแปลกใจว่าทำไมเขาจึงไม่ตื่นเต้นกับข่าวนี้ จะเพราะการรายงานข่าวล่าไปกว่า ๓ เดือนก็ไม่น่าจะใช่สาเหตุหลัก

“ทีแรกฉันก็ภูมิใจ แต่ตอนที่ไปรับมอบนั้น…” ร้อยตรีวิลเลียมระบายลมหายใจอย่างระอาเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนทำพิธี เล่าให้โอลิเวอร์เข้าใจว่า “ผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็มอบให้พวกทหารที่อยู่ในศูนย์บัญชาการรบที่อยู่ห่างจากแนวหน้าตั้งหลายไมล์ คนพวกนี้ไม่เคยแม้แต่จะเข้าใกล้ศัตรู” น้ำเสียงมีแววค่อนแคะระคนอนาถใจอย่างไม่ปิดบัง “อย่างดีก็แค่เคยเห็นลูกปืนหรือลูกระเบิดตอนที่ทหารขนขึ้นรถบรรทุกมาส่งที่แนวหน้าเท่านั้นละ ไม่เคยต้องเสี่ยงตายอยู่ในสนามเพลาะ แวดล้อมด้วยปืนใหญ่ ปืนครก และไรเฟิลอย่างพวกเราหรอก”

โอลิเวอร์เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้วจึงไม่รบเร้าอีก ความคิดของเด็กหนุ่มค่อนไปทางเห็นด้วยว่า การมอบเหรียญกล้าหาญนี้เป็นแค่ปาหี่หรือละครฉากหนึ่งของกองทัพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้ที่ยังไม่เข้าร่วมกับกองทัพเกิดความฮึกเหิมหรือละอายใจจนต้องมาสมัครร่วมรบกับกองทัพเท่านั้น

ในปีนั้นร้อยตรีวิลเลียมถูกจับตามองและมีบทบาทในการเป็นผู้นำมากขึ้น นับตั้งแต่ที่เขาพักฟื้นร่างกายจนเป็นปกติแล้ว ต้นเดือนเมษายนใน ‘ศึกแห่งสก๊าป’ บริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอาฮาสของฝรั่งเศสใกล้พรมแดนเบลเยียม เขาสามารถเข้ายึดหมู่บ้านโมงชิ-เลอ-เปรอะได้ นายพลไรอัน บรูค ก็แต่งตั้งหลานชายให้ทำหน้าที่รักษาการร้อยเอกเป็นเวลาสั้น ๆ คุมหน่วยทหารปืนครกสนามเพลาะเข้าร่วมรบใน ‘ศึกแห่งถนนมินา’ ปลายเดือนกันยายน จนกระทั่งจบ ‘ศึกแห่งพาสเชนเดลล์’ บริเวณตอนใต้ของเบลเยียมใกล้เมืองอิพพ์ ติดชายแดนฝรั่งเศสในต้นเดือนพฤศจิกายน

หลังจากศึกย่อยครั้งล่าสุด เขาก็ได้เลื่อนยศเป็น ร้อยโทวิลเลียม บรูค

 

ศึกแห่งแม่น้ำอ๊องค์จบสิ้นลงด้วยชัยชนะของกองทัพเครือจักรภพ มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายราว ๒๓,๐๐๐ คน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมันสูญเสียมากกว่า มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตราว ๔๕,๐๐๐ คน ในจำนวนนี้ถูกจับเป็นเชลยราว ๗,๐๐๐ คน

“หากนับรวมตั้งแต่เริ่มทำศึกแห่งแม่น้ำซอมม์ พวกเรา…” วิลเลียมหมายถึงทั้งสองฝ่าย “สังเวยชีวิตในสนามรบกันไปแล้วกว่าล้านคน ในช่วงเวลาแค่ ๕ เดือน แลกกับพื้นที่แค่ไมล์กว่าเท่านั้น”

วิลเลียมกวาดตามองเพื่อนทหารที่สภาพอิดโรยและอยากหลุดพ้นไปจากการห้ำหั่นในสนามเพลาะนี้เสียที หยุดสายตาที่น้าอีวาน

“ผมไม่อยากเป็นตำนาน ไม่อยากเป็นวีรบุรุษผู้กล้าในสนามรบอีกแล้ว ผมอยากกลับบ้านไปอยู่กับลูกและเมีย ไม่รู้ว่าสงครามบ้านี่จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่”

เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมากึ่งแนะนำกึ่งประชดเหน็บแนม

“ก็ลองถามท่านนายพลลุงของแกสิ ว่าจะเลิกบ้าเมื่อไหร่ หรือไม่ก็ให้มาถือปืนวิ่งฝ่ากระสุนอย่างพวกเราบ้าง ไม่ใช่เอาแต่สั่งการลงมาในขณะที่ตัวเองนั่งเสวยสุขอยู่ในชาโต ดูกองทัพสองฝ่ายรบกันผ่านกล้องส่องทางไกล”

วิลเลียมและน้าอีวานไม่โต้ตอบกลับแต่อย่างใดด้วยรู้ว่ายิ่งอธิบายยิ่งเป็นการแก้ต่างแก้ตัวอันจะทำให้ความรู้สึกของเพื่อนทหารที่ไม่เหลือศรัทธาในตัวนายพลไรอัน บรูค และนายพลผู้บังคับบัญชาคนอื่น ๆ ยิ่งติดลบไปอีก

 

๔ ปีแล้วที่วิลเลียมจากบ้านพักสถานีป่าไม้ที่แพร่คืนสู่มาตุภูมิเพื่อทำหน้าที่อันทรงเกียรติในกองทัพของเครือจักรภพ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าสงครามจะจบสิ้น ในขณะที่กำลังพลในกองทัพของทั้งสองฝ่ายก็เหลือน้อยลง กำลังกายและกำลังใจของทหารก็ถดถอยลงทุกที

การปะทะครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นทางตอนใต้ของเมืองอาฮาส กองทัพเยอรมันโจมตีกองทัพน้อยที่ ๔ ในกองทัพที่ ๓ ฝ่ายเครือจักรภพอังกฤษอย่างหนักจนต้องถอยร่นมาทางตะวันตกกว่า ๙ ไมล์ เมื่อยังถูกรุกอย่างไม่หยุดยั้งก็ยิ่งต้องถอยลงไปจนสามารถตั้งมั่นได้ที่แนวรบระหว่างหมู่บ้านหมู่บ้านอะบลันส์วิลล์ในตอนเหนือลงมาถึงหมู่บ้านปุยซิเออในตอนใต้

แนวรบนั้นเป็นตำแหน่งที่กองพลที่ ๖๒ และกองพลที่ ๔๒ ต้องยึดไว้ให้ได้

“เมื่อไหร่สงครามจะสิ้นสุดเสียที”

โอลิเวอร์บ่นพึมขณะเห็นแนวรบอยู่รำไรในระยะที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ความสนุกสนานอย่างเด็กหนุ่มแสวงหาความตื่นเต้นจากการผจญภัยลดลงไปมากแล้ว

ร้อยโทวิลเลียมคิดเช่นเดียวกันแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา การที่กองพลที่ ๓๗ ที่เขาสังกัดอยู่ได้รับคำสั่งให้มาสมทบที่หมู่บ้านบุกวาทางตอนเหนือของหมู่บ้านปุยซิเยอ ก็เพราะนายพลไรอัน บรูค อยากจะส่งเสริมหลานชายให้เป็นดาวเด่นของกองทัพแค่นั้น

ยังไม่ทันกองพลที่ ๓๗ จะตั้งตัวกับแนวรบใหม่ ฝ่ายเยอรมันก็ต้อนรับด้วยกระสุนปืนและระเบิดลูกย่อม ๆ เป็นการข่มขวัญและตัดกำลังไปในตัว มารู้ในภายหลังก็ให้เจ็บแค้นใจว่าวันที่สาดกระสุนต้อนรับนั้น ฝ่ายเยอรมันใช้ทหารถึงหกกองพล…มิได้หมายผลแค่หยอกเล่นให้ตกใจ แต่หวังตัดกำลังให้ได้มากที่สุดเลยทีเดียว

นับว่ากองพลที่ ๓๗ ประเดิมผลงานไม่ค่อยดีนัก เพราะฝ่ายเครือจักรภพอังกฤษต้านทานไม่อยู่ เสียพื้นที่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านบุกวาให้กับฝ่ายศัตรู การสู้รบสงบไปชั่วคราว คงเหลือแต่เพียงการโจมตี ‘หยอกล้อ’ เป็นครั้งคราวของพลแม่นปืนหรือปืนกล ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เหล่าแนวหน้าต้องเจอ

สายข่าวรายงานว่าช่วงพักรบนี้เยอรมันเตรียมโจมตีอีกครั้งแถบแม่น้ำเอน มีปืนใหญ่ราว ๔,๐๐๐ กระบอก ที่เตรียมยิงถล่มฝ่ายเครือจักรภพอังกฤษและฝรั่งเศส กองพลที่ ๓๗ จึงต้องไปตั้งมั่นบริเวณฟากตะวันตกของแม่น้ำอ๊องค์ในจุดที่ไม่ห่างจากหมู่บ้านบุกวามากนัก

ร้อยโทวิลเลียม บรูค รับตำแหน่งรักษาการร้อยเอก ทำหน้าที่บังคับบัญชาหน่วยปืนครกสนามเพลาะ X 37th TMB อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากเตรียมปืนครกประจำที่ ตรวจดูความเรียบร้อยแล้ว ร้อยโทวิลเลียมจึงมาหยุดข้างน้าอีวานที่นั่งเอนหลังพิงคูดินทอดอาลัย วิลเลียมเข้าใจความรู้สึกของน้าโดยไม่ต้องถาม เขาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วซบหน้าลงกับบ่าของน้าชาย

“หลานยังอยากเป็นตำรวจอยู่ไหม”

“ไม่ครับ” คำตอบเด็ดเดี่ยวทันที “ทั้งตำรวจและทหาร ผมไม่อยากเป็นอีกแล้ว ทุกครั้งที่มีการโจมตีแปลว่ามีคนจำนวนหนึ่งต้องตายไป น้าอีวานครับ ผมไม่เคยมองว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูได้เลย นอกจากเครื่องแบบที่สีต่างกันแล้ว ผมไม่เห็นเลยว่าพวกเราต่างกันอย่างไร”

“ไม่รู้สงครามนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่…” แทบจะกลายเป็นคำติดปากของทุกคนไปแล้ว บางคนพูดอย่างมีความหวังว่าวันหนึ่งมันจะมาถึง ในขณะที่บางคนก็พูดออกไปอย่างไม่มีความหมาย เหมือนเป็นการขึ้นต้นบทสนทนาที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี “แต่ไม่ว่าจะจบลงเมื่อไร เสร็จศึกคราวนี้ น้าจะลาออกและกลับไปอยู่ที่อินเดีย”

น้าอีวานอยากถามว่า…หลานอยากไปกับน้าไหม…แต่ยั้งไว้ทัน เพราะขณะนี้วิลเลียมกำลังขยับยศขึ้นสูง การทำให้ลังเลจะนำไปสู่ความไม่สบายใจ และทำให้เขาไม่เด็ดขาดในการบังคับบัญชา

“อีกไม่นานหรอกครับ” วิลเลียมว่า “ผมจะไปกับน้าด้วย เราไปด้วยกันนะครับ”

“บางที…น้าก็คิดว่า…” น้าอีวานทอดเสียงหายไปในลำคอ แหงนมองท้องฟ้าสีหม่นเทาที่เหมือนฝุ่นดินปืนกระจายปนอยู่ทั่วไป เปลี่ยนไปคุยเรื่องใหม่กับหลานชาย “ป่านนี้ลูก ๆ ของหลานคงโตกันมากแล้วนะ”

“ผมโชคดีที่ลูก ๆ ทุกคนรักกัน ส่วนลูกสาวคนเล็กตอนนี้ก็สี่ขวบแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะถามถึงพ่อเขาบ้างไหม”

“ต้องถามถึงอยู่แล้วละ” น้าอีวานว่า “จบสงครามแล้ว หลานคงกลับบ้านที่นู่นสินะ”

“ผมก็คิดอยู่” น้ำเสียงของวิลเลียมไม่มั่นคงจนน้าอีวานจับได้

“ทำไมหลานถึงลังเลในเรื่องนี้”

“ร้ายที่สุดคือผมไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอดจากสงครามครั้งนี้ไหม หรือหากผมรอดชีวิตได้ผมจะยังเป็นคนที่ปกติหรือเปล่า เพื่อนทหารของเราถ้าไม่สูญเสียอวัยวะก็เสียสติกันไป ผมไม่อยากเอาตัวเองไปเป็นภาระของลูกเมีย”

ร้อยโทวิลเลียม บรูค ฝากฝังกับน้าชาย

“ถ้าหากผมตายไปแล้วฝังร่างผมไว้ที่ไหน ผมขอร้องน้าอีวานพาเมียและลูกมาเยี่ยมผมหน่อยนะครับ สักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวก็ยังดี” ขอบตาของร้อยโทวิลเลียมแสบร้อนขึ้นมา

“ทำไมล่ะ มันยากนักหรือ”

“ยากครับ ผมชวนเขามาที่อังกฤษหลายครั้ง เขาไม่ยอมเลย” วิลเลียมนิ่งไป “ผมจึงคิดว่า ถ้าด้วยสาเหตุนี้…ในจุดที่เราจะได้พบกันเป็นครั้งสุดท้าย เขาคงยอมมา”

น้าอีวานตบหลังมือหลานชายเบา ๆ เพื่อจะปลอบว่าบางทีสิ่งที่เราคิดว่าร้ายแรงที่สุดนั้นมันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้

เสียงยิงปืนใหญ่ดังหวือแหวกอากาศ ไม่นานตรงแนวคูดินก็ระเบิด ทหารประจำปืนครกสนามเพลาะดีดตัวลุกเข้าประจำที่ของตนเตรียมตอบโต้กลับไป

ในคราวนี้ฝ่ายเยอรมันโจมตีอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใดที่เขาเคยเผชิญมา เสียงคำรามกึกก้องของระเบิดกระสุนปืนดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ความชุลมุนวุ่นวายเกิดจากความบาดเจ็บของเพื่อนทหารด้วยกันที่ถูกลูกกระสุนจากฝ่ายตรงข้าม

ร้อยโทวิลเลียมมองฝ่าฝุ่นควันดินปืนเพื่อเล็งเป้าและสั่งยิง ในจังหวะที่ไม่ทันเห็นว่าระเบิดลูกหนึ่งกำลังพุ่งลงมา น้าอีวานก็ปราดเข้ามาผลักร่างของเขากระเด็นไปไกลพร้อมกับเสียงระเบิดดัง

ระเบิดลูกนั้นตกไม่ห่างจากจุดที่วิลเลียมอยู่ แรงระเบิดทลายแนวดินให้กระเจิงกระจายออกไปพร้อมด้วยเศษจากชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ ทหารหลายนายที่อยู่บริเวณนั้นต่างโดนลูกหลง ทว่าผู้ที่ถูกลูกหลงจากสะเก็ดระเบิดมากที่สุดคือน้าอีวาน

ระยะเวลาไม่นานเพียงเสี้ยววินาที ร่างของน้าอีวานเป็นเป้ารับเศษกระสุนจากลูกปืนใหญ่หลายเม็ด เศษชิ้นส่วนอาวุธจากเหล็กที่ถูกแรงระเบิดฉีกจนแหลมคมพุ่งเจาะร่างกายหลายแห่ง น้าอีวานกระเด็นไปกองกับพื้นกัดฟันข่มความเจ็บปวดแสนสาหัสท่ามกลางฝุ่นควันที่คลุ้งตลบอบอวล

วินาทีนั้นร้อยโทวิลเลียมลืมหน้าที่ผู้บังคับบัญชาไปเสียสนิท เขาเห็นเพียงน้าชายที่รักของเขากำลังบาดเจ็บ เขาต้องหาทางพาน้าอีวานไปส่งที่หน่วยพยาบาลให้เร็วที่สุด ร้องสั่งโอลิเวอร์ให้บัญชาการยิงแทนเขา แล้วสั่งให้ยกร่างน้าอีวานใส่เปลสนามมุ่งตรงไปที่หน่วยพยาบาล

ท่ามกลางฝุ่นควันสงครามและจิตใจที่ระส่ำระสายของทหารแนวหน้า ร่างเปื้อนเลือดและฝุ่นดินของน้าอีวานถูกนำส่งหน่วยพยาบาลด้วยความทุลักทุเล แต่พิษบาดแผลที่สาหัสทำให้ลมหายใจของน้าอีวานจากไปก่อนจะถึงมือหมอ

ร้อยโทวิลเลียมทรุดลง กอดร่างน้าชายซบหน้าลงกับอก รำพันอยู่แต่ว่า

“คนที่ต้องนอนบนเตียงนี้ควรเป็นผม น้าทำแบบนี้ทำไม”

อุปาทานคล้ายสายลมโชยบางเบา เหมือนมือนุ่มลูบเบา ๆ ที่ศีรษะ เสียงน้าชายเล่านิทานให้หลานตัวน้อยฟังในห้องใต้หลังคาของบ้านบนถนนเกย์ตัน ย่านแฮมพ์สเต็ด เมื่อสี่สิบปีก่อน แล้วจบท้ายว่า…อย่าร้องไห้เลย หลานรัก ถ้าพระเจ้ายังประทานพรให้หลานยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะในสภาพใด จงกลับไปหาครอบครัวของหลาน

ร่างของน้าอีวานถูกฝังไว้ที่สุสานทหารเบียนวิลแลร์ ห่างจากหมู่บ้านบุกวาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว ๖ ไมล์ บรรดาเพื่อนทหารในกองต่างกล่าวสดุดีวีรกรรมของเขาไว้ในหนังสือพิมพ์ไทมส์ซึ่งตีพิมพ์หลังจากนั้นสามสี่วัน

วิลเลียมสังเกตท่าทีของนายพลไรอัน บรูค ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นลุงของเขาและน้าอีวานผู้จากไป ก็พบแต่เพียงการกระทำตามแนวปฏิบัติของการฝังศพทหารเท่านั้น ความเฉยชาที่นายพลไรอันแสดงออกมานี้ วิลเลียมตีความว่าลุงของเขาเป็นคนไร้หัวใจอย่างแท้จริง

หากเขายังมีชีวิตอยู่หลังสงครามเลิก สิ่งหนึ่งที่เขาคงตัดสินใจได้แน่วแน่คือ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรกับลุงของเขาอีก

หลังจากฝังศพน้าอีวาน สงครามยังดำเนินต่อไป กองทัพเยอรมันโจมตีกองทัพเครือจักรภพอย่างหนักหน่วงด้วยความเหนือกว่าทุกด้านทั้งกำลังพลและอาวุธสงคราม จนฝ่ายเครือจักรภพต้องถอยร่นลงสู่แม่น้ำมาร์น วางแผนโต้กลับในเดือนสิงหาคม

ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายสำเร็จ ชัยชนะในสมรภูมิเป็นของฝ่ายเครือจักรภพ

เยอรมันยอมรับความพ่ายแพ้ ประกาศยุติการรบและถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๑

 

โอลิเวอร์ร้องผวาลืมตาตื่นขึ้นมา เหงื่อซึมเต็มใบหน้าทั้งที่อากาศโดยรอบหนาวจัด

ภาพความตายหลายแบบที่เขาพบในการโจมตีครั้งล่าสุดฝังตรึงอยู่ในหัวเขาไม่จางหาย แม้พยายามสลัดทิ้งเท่าไร ยามใดที่เผลอตัวมันก็หวนกลับมาปรากฏในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งมีเสียงปืนกลยิงรัวมาเป็นตับหรือเสียงระเบิดดังอยู่ใกล้ ๆ ก็ให้ผวาสติกระเจิงแทบทุกครั้ง

โรงพยาบาลทหารผ่านศึกคือห้องโล่งยาว เตียงผู้ป่วยเรียงเป็นแนวหลายแถว พยาบาลหลายวัยส่วนใหญ่เป็นหญิงทั้งที่เป็นพยาบาลอาชีพและอาสาสมัครพยาบาลในช่วงสงครามทำหน้าที่อย่างหนักในการดูแลผู้ป่วย ลำพังการดูแลร่างกายไม่เท่าไรนัก แม้จะเห็นความไม่น่ามองของบาดแผลและความพิการ หากที่ทรมานผู้ป่วยและผู้พยาบาลคืออาการทางจิต

ทหารหลายคนหวาดผวา ถ้าไม่บ้าคลั่งจนคุมสติไม่อยู่ก็ซุกหน้ากับเตียงด้วยความหวาดกลัวเมื่อมีเสียงดังเกิดขึ้น อาการเช่นนี้เรียกว่า ‘เชลล์ล็อก’ หรือโรคผวาระเบิด เป็นความทรมานทั้งกายและใจ

“เชลล์ล็อกกำเริบอีกละสิ”

ร้อยเอกวิลเลียม บรูค เอ่ยกับพยาบาลที่เข้ามาแก้ไขอาการผวาระเบิดให้โอลิเวอร์ หลังจากเยอรมันประกาศยอมรับความพ่ายแพ้และยุติสงคราม เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยเอก ในขณะที่โอลิเวอร์และอีกหลายคนมีการเชลล์ล็อก เมื่อพยาบาลวัยกลางคนแก้ไขให้โอลิเวอร์ค่อยสงบได้แล้ว เขาจึงคุยกับหล่อนต่อไป

“นอกจากเราต้องคอยปลอบโยนให้กำลังใจแล้ว ยังต้องคอยระวังไม่ให้เขาคิดสั้นอีก”

ภาพเพื่อนทหารปลิดชีพตัวเองก่อนหมอจะตัดขายังฝังแน่นอยู่ไม่รู้ลืม หลายคนทนรับสภาพของตนเองไม่ไหว เลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว ปลิดชีพตนเองให้พ้นจากบ่วงความทุกข์ที่ไม่อาจสลัดได้หากยังคงหายใจอยู่

วิลเลียมตั้งปณิธานไว้ว่าเขาจะดูแลโอลิเวอร์ให้ดีที่สุด ภาพนายทหารหนุ่มเยอรมันในสนามเพลาะยังติดตา เขาไม่อยากให้โอลิเวอร์ต้องประสบภาวะไร้อนาคตเช่นนั้น

อาการผวาของโอลิเวอร์คลายลงแล้ว ไม่นานเด็กหนุ่มก็หลับไป ร้อยเอกวิลเลียมจึงหลับตาลงบ้าง

ในความฝันเขาเห็นหนุ่มน้อยในชุดนักกีฬาคริกเก็ตวิ่งอยู่บนสนามหญ้าเขียวตัดเรียบ สีหน้าของสมาชิกบอกให้รู้ว่าทีมของเขาเป็นฝ่ายชนะ ภาพถัดมาเขาเห็นตัวเองอยู่กลางมหาสมุทร แล้วชายหนุ่มคนเดียวกันนี้เองที่รอนแรมในป่าอยู่บนหลังช้าง นางผู้หนึ่งส่งยิ้มมาให้เขา เป็นรอยยิ้มที่วิลเลียมตราตรึงใจไม่รู้ลืม

รอยยิ้มที่อ่อนหวานเหมือนยามฟ้ามุ่ยแย้มบานบนคาคบไม้

“ท่าจะฝันถึงใครสักคนแน่ ๆ ลงว่ายิ้มแบบนี้ละก็”

เสียงนั้นดังอยู่ไกล ๆ วิลเลียมไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินทางหูหรือนี่ยังอยู่ในความฝัน ครั้นตั้งใจฟังให้ถ้วนถี่ ค่อยหรี่ตามองข้างเตียง ก็พบดวงหน้าผู้หนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกนับแต่เขาทิ้งชีวิตดั่งมหาราชาที่เมืองละกอน

“คุณเลียวโนเวนส์” วิลเลียมพึมพำ หลุยส์จึงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เย้ากลับไป

“ฉันคงไม่ต้องถามแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ร้อยเอกบรูค ทหารผู้กล้าของเรา เพราะคุณยังอุตส่าห์จำเกลอเก่าได้”

“คุณยังดูแข็งแรงแจ่มใสและขี้เล่นเหมือนเดิม คุณเลียวโนเวนส์” ร้อยเอกวิลเลียมยันตัวลุกขึ้น พยาบาลช่วยประคองเอาหมอนหนุนหลังให้เขานั่งพิงเอน ๆ ได้ หลุยส์ เลียวโนเวนส์ลากเก้าอี้ที่เห็นใกล้ตามานั่งโดยไม่สนว่าเป็นของใคร “ผมบอกไม่ถูกว่าดีใจ หรือประหลาดใจ ที่ได้พบคุณที่นี่”

“จะรู้สึกอย่างไรก็ช่าง แต่ฉันมั่นใจว่าเธอจะประหลาดใจแน่ ถ้าได้พบใครคนหนึ่ง” หลุยส์เกริ่นนำถึงวัตถุประสงค์แท้จริงที่ทำให้เขาต้องค้นหารายชื่อนายทหารผ่านศึกชื่อร้อยเอกวิลเลียม บรูค จากหนังสือพิมพ์ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และขณะนี้พักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสนามแห่งใด

“ใครกันครับ?”

“ก่อนพบกับใครคนนั้น ฉันอยากถามเธอสักข้อหนึ่งก่อนว่า เธอคิดจะกลับไปที่สยามอีกหรือไม่”

วิลเลียมนิ่งไป แต่เด็กหนุ่มที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ ได้ยินบทสนทนานั้นก็พาตัวเองเข้าร่วมวงอย่างถือวิสาสะ ร้องบอกไปว่า

“แน่นอนสิครับ ใช่ไหมครับคุณบรูค คุณสัญญากับผมนี่นา ว่าถ้าคุณกลับไปที่ปางไม้นั่น คุณจะให้ผมตามไปด้วย”

“ฉันบอกว่าถ้าฉันกลับไป” น้ำเสียงเรียบกึ่งปรามทำให้แววตาของโอลิเวอร์หม่นลงด้วยความผิดหวัง         “มีอะไรในใจเธอใช่ไหม คุณบรูค” หลุยส์ถามขึ้นมา

“ตอนกลับมาที่นี่ ผมเลือกอังกฤษเป็นสถานที่พำนักหลังสงคราม” วิลเลียมบอกเหตุผล

“จริงหรือคะ” เสียงสั่นเครืออย่างผิดหวังของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น หล่อนเป็นสตรีสูงวัยผู้ที่ขอให้หลุยส์พามาพบกับร้อยเอกวิลเลียม บรูค หล่อนคอยอยู่ข้างนอกไม่ไหว จึงเดินเข้ามาทันได้ยินบทสนทนาในช่วงท้าย

หลุยส์แนะนำให้ต่างฝ่ายได้รู้จักกันอย่างรวดเร็วพร้อมสาเหตุสำคัญที่หล่อนอยากพบเขาให้ได้

“อีแวนเดอร์เสียชีวิตแล้วนะ เราทราบข่าวมาสักพักแล้วแต่ยังจัดการอะไรไม่ได้เพราะยังอยู่ระหว่างสงคราม”

ข่าวนั้นทำให้วิลเลียมอึ้งไป ร่างกายแข็งชา ไม่คิดว่าข่าวล่าสุดของมิสเตอร์อีแวนเดอร์จะเป็นเรื่องนี้ น้ำตาของเขาไหลลงมา นึกถึงน้ำใจและคำสอนต่าง ๆ ภายใต้ท่าทีระห่ำอย่างคนบ้าของผู้ที่คนงานขนานนามว่านายฝรั่งต้นคอแดง แล้วก็นึกถึงชีวิตของนางหนูผู้ภรรยาและไอเดนลูกชาย

สตรีตรงหน้าคงเป็นญาติคนหนึ่งของเขา ไม่พี่ก็น้อง

แต่หล่อนคร่ำครวญเสียใจอย่างหนักเมื่อบอกว่า

“ฉันเป็นภรรยาของเขา ฉันอยากให้คุณพาฉันไปหาเขา แม้จะไม่ได้พบเขาอีก แต่ก็ขอให้ฉันได้เห็นว่าเขาอยู่อย่างไรที่นั่น” หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าพร่ำรำพัน “แต่คงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว คุณจะไม่ไปสยามอีกแล้วใช่ไหมคะ”

วิลเลียมเศร้าใจขึ้นมาในนาทีนั้น นานหลายปีแล้วที่เขารู้จักมิสเตอร์อีแวนเดอร์ แสดงว่านานกว่านั้นที่เขาจากภรรยาและครอบครัวไปใช้ชีวิตในป่าไม้ทางภาคเหนือของสยาม

ในยามนั้นเองที่นายพลไรอันย่ำเท้าตรงเข้ามาที่เตียงของหลานชายด้วยโทสะ ขว้างกระดาษที่กำแน่นจนแทบจะป่นคามือลงบนเตียงหลานชาย…ถ้าไม่มีแขกอยู่ตรงนั้นเขาคงขว้างใส่หน้าไปแล้ว

“นี่มันอะไรกัน วิลเลียม”

วิลเลียม บรูค หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาคลี่ดูแล้ววางลงโดยไม่มีคำอธิบาย หลุยส์ถือวิสาะหยิบไปดูแล้วอุทานขึ้นมา

“นี่มันเอกสารเข้าเมืองที่ท่าเรือพลีมัธนี่ คุณบรูคเลือกสถานที่พำนักหลังสงครามเป็นอังกฤษ แล้วคุณขีดฆ่าไปเลือกช่องอื่น ๆ แถมเขียนกำกับด้วยว่า สยาม”

โอลิเวอร์และภรรยาของของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ยิ้มออกมาทันที ในขณะที่หน้าของนายพลไรอันแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ

“ถึงจะแก้ไข ก็มิได้แปลว่าแกจะต้องกลับไปสยาม” นายพลย้ำ “ที่นั่นไม่มีอะไรให้แกต้องกลับไป”

“ท่านนายพลครับ” วิลเลียมจงใจเรียกเช่นนั้นแทนที่จะเรียกเขาว่าลุงเพื่อแสดงว่าเต็มใจยอมรับความห่างเหินนี้ “ผมอยากจะถามท่านนายพลสักข้อหนึ่งว่า แม้ตอนนี้เราเป็นผู้ชนะสงคราม แต่พวกเราได้อะไร นอกจากความเกรียงไกรของจักรวรรดิแล้ว พวกเราที่นอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ต่างมีบาดแผลในจิตใจ การยกย่องให้เป็นทหารผ่านศึกให้อะไรกับพวกเรานอกจากความพิการตลอดชีวิต การอุดหนุนช่วยเหลือเพียงน้อยนิด เทียบไม่ได้เลยกับค่าอาหารมื้อหนึ่งของพวกท่านในชาโต บำเหน็จ บำนาญ สวัสดิการสังคมที่พวกท่านสัญญาอย่างมั่นเหมาะในตอนรณรงค์รักชาติ ตอนนี้อยู่ที่ไหน ท่านกวาดตาดูรอบห้องนี้สิ นึกถึงภาพในสนามเพลาะและเขตปลอดคนสิ มันคือภาพที่น่าภาคภูมิใจอย่างที่ท่านประกาศต่อใคร ๆ ว่า ‘แผ่นดินนี้ต้องเหมาะสำหรับวีรบุรุษสงคราม’ แน่หรือครับ”

นายพลไรอัน บรูค หน้าแดงก่ำ กัดฟันด้วยความโกรธแต่ไม่ระเบิดออกมา ก้มหน้าลงใกล้หูหลานชาย เอ่ยเสียงเบาหากแต่คนอยู่ใกล้ก็ยังได้ยินถนัด

“ฉันรับรองว่า ถ้าแกไม่กลับไปสยาม ฉันจะจัดที่พำนักหลังสงครามให้แกอย่างดี”

วิลเลียมหลับตาลงอย่างเศร้าใจ เขารู้ว่าสวัสดิการที่เขาจะได้รับเป็นอย่างดีจากกองทัพนั้น ท้ายที่สุดมันก็จะไหลคืนไปสู่นายพลไรอันผู้เป็นลุง ทว่ามิสซิสอีแวนเดอร์มองท่าทีของวิลเลียมว่าเขากำลังใจอ่อนกับข้อเสนอของนายพล หล่อนจึงรำพันขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอร้องเถอะค่ะ คุณบรูค ช่วยพาฉันไปที่บ้านของอีแวนเดอร์ได้ไหม”

“มิสเตอร์อีแวนเดอร์กับคุณนายไม่ได้พบกันหลายปีแล้วจนตายจากกัน การไม่ไปเห็นสภาพที่เขาอยู่น่าจะเป็นการดีกว่านะครับ” คำพูดของวิลเลียมทำให้หญิงหม้ายสิ้นหวังลงไปอีก

“เธอกลัวว่าฉันจะไปรู้ความลับที่เขาซุกซ่อนไว้ที่นั่นหรือ ไม่มีอะไรเป็นความลับหรอก ฉันรู้ว่าเขามีภรรยาชาวพื้นเมืองที่นั่น มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ฉันไม่สนหรอกเรื่องนั้น สิ่งที่ฉันสนใจก็คือ อีแวนเดอร์มิได้จดทะเบียนสมรสใหม่ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาในสยามต้องเป็นของพวกเรา ภรรยาและลูก ๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉันเตรียมหลักฐานทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับมอบให้ท่านกงสุลดู”

วิลเลียมอึ้งไป ไม่คิดว่าจะได้ยินเหตุผลนี้จากสตรีที่ดูอย่างไรก็ไร้พิษสง คงเห็นแต่หญิงหม้ายผู้สะเทือนใจที่สามีตายจากไปในดินแดนไกลโพ้น แต่แล้ววิลเลียมก็เห็นภาพของนางหนูและไอเดนซ้อนขึ้นมา ชีวิตของสองแม่ลูกที่อยู่อย่างสุขสบายจะเป็นอย่างไร หากภรรยา ‘ตามกฎหมายอังกฤษ’ ทวงทรัพย์สมบัติที่พึงเป็นของหล่อนโดยชอบธรรมคืน

วิลเลียมคิดไปไกลกว่านั้นถึงมุ่ยและลูกของเขา

ทรัพย์สินที่เขาสะสมไว้มีไม่น้อย

หากวันหนึ่งเขามีอันเป็นไปเช่นเดียวกับมิสเตอร์อีแวนเดอร์ เชื่อได้เลยว่าลุงของเขาจะบุกบั่นไปทวงสมบัติทุกอย่างจากครอบครัวที่แพร่ ด้วยเหตุผลเดียวที่ไม่อาจคัดค้านได้นั่นก็คือ มุ่ยมิได้จดทะเบียนสมรสกับเขาตามกฎหมายอังกฤษ และด้วยนิสัยของมุ่ย หล่อนก็จะยอมรับอย่างง่ายดายและเชิญให้ ‘ผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน’ เก็บเอาไปจนหมดสิ้นไม่เหลือหลอ หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมียและลูกทั้งห้าคนของเขาจะต้องลำบากหาเลี้ยงชีพสักแค่ไหน

“ผมยังรับปากตอนนี้ไม่ได้” วิลเลียมเอ่ยออกไป “ขอเวลาผมได้ไตร่ตรองอีกสักนิด พรุ่งนี้มาพบผมอีกทีได้ไหมครับ ขอเวลาให้ผมได้ตัดสินใจครั้งสุดท้าย ได้โปรดอย่ารบเร้าเอาคำตอบจากผมตอนนี้เลย”

วิลเลียมบอกแก่ทุกคน

 



Don`t copy text!