เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “ตัดหัวเสียบประจาน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “ตัดหัวเสียบประจาน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

สิ้นเสียงไก่ขันไม่นาน แสงฉานยังไม่ทอจับริ้วขอบฟ้า ทว่าขบวนเงี้ยวเริ่มเคลื่อนพลไปยังจุดหมาย เงาทะมึนที่เคลื่อนไหวเป็นแนวดูน่ากลัว แต่ละคนสักพร้อยเต็มตัวจนเขียวไปทั้งร่าง และยังใส่เสื้อเขียนยันต์ลงว่านยามหามงคล เพียงเห็นแต่ไกลก็ชวนให้ใจระย่อฝ่อลงเหลือนิดเดียว

เป้าหมายของกองกำลังเงี้ยวคือคุ้มเจ้าหลวงลำปางและจวนข้าหลวงสยาม

ฝ่ายพะกาเงี้ยวเชื่อว่าถ้าเกลี้ยกล่อมหรือบังคับเจ้าหลวงเมืองลำปางให้เข้ากับพวกตนได้เช่นเดียวกับเจ้าหลวงเมืองแพร่ กองกำลังเงี้ยวก็จะยิ่งเกรียงไกรมีอำนาจต่อกรกับสยามมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องสั่งสอนพวกข้าหลวงสยามมิให้ทำอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงเอาเปรียบชาวบ้านตามอำเภอใจ

กองทัพเงี้ยวจึงแบ่งเป็นสองสาย สายหนึ่งมุ่งบุกคุ้มเจ้าหลวง อีกสายหนึ่งบุกจวนข้าหลวงสยาม

ด่านริมแม่น้ำวังหน้าจวนข้าหลวงสยามถือเป็นด่านแรกก่อนถึงคุ้มเจ้าหลวง ตำรวจสยามประจำด่านสู้กับเงี้ยวได้พักเดียวก็ทิ้งปืน ข้าวของและอาหาร วิ่งหนีเอาตัวรอด ทิ้งด่านเอาไว้เช่นเดียวกับคราวพระมนตรียกกองกำลังไปปราบเงี้ยวที่เมืองลอง กองกำลังเงี้ยวจึงโห่ร้องลำพองใจที่ชัยชนะเป็นของฝ่ายตนอีกครา มุ่งหน้าไปสมทบกับอีกสายที่บุกไปยังคุ้มเจ้าหลวง

คนในคุ้มต่างอกสั่นขวัญหายด้วยว่าการมาอยู่รวมกันเหมือนล่อเงี้ยวให้มากำจัดทุกคนได้ในคราวเดียว เจ้านายบางองค์คุมสติไม่อยู่ลุกขึ้นด่ากราดว่าเชื่อคำของพวกวิลาศกุลาเผือกมากเกินไป ถ้าหากตอนนี้อยู่คุ้มใครคุ้มมัน พวกเงี้ยวก็ต้องแบ่งเป็นกองกำลังเล็ก ๆ กระจายตัวออกไป แต่เมื่อมารวมกันเช่นนี้ เงี้ยวที่บุกเข้ามาก็เป็นทัพใหญ่ จะเอาอะไรมาต้านทานได้

เจ้านางสูงวัยผู้หนึ่งปรารภทำนองว่า บางทีเจ้าคำหมื่นอาจคิดถูกที่ไม่ยอมสละคุ้ม

แต่เจ้านางอีกผู้หนึ่งวัยเดียวกันก็แย้งให้ไตร่ตรองว่า ที่เจ้าคำหมื่นผู้บิดาและเจ้านางนกน้อยผู้เป็นธิดาไม่ยอมสละคุ้มนั้น เพราะมีใจฝักใฝ่พวกเงี้ยว ให้ที่คุ้มกันซ่องสุมกำลัง เราเกลียดเราชังแค่ไหน อยากให้ผู้อื่นประณามเราเช่นเดียวกันหรือ

โต้แย้งไปมาไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายจึงปัดไปที่พวกกุลาเผือก อันมีมิตสะหลวยและมิตซ่าวิลเลียมเป็นตัวตั้งตัวตี และกะปิตันเจนเซ่น นายตำรวจเดนมาร์กผู้คุมกำลังตำรวจมา ออกหน้าในนามตำรวจสยาม

เจ้านางผู้หนึ่งค้อนควักไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำวัง…ทางบ้านหลุยส์และบริษัทบอร์เนียว ค่อนขอดว่า

“ตัวมาหากินเอาประโยชน์จากเขาไปเท่าไหร่ แต่ยามมีภัยก็แสดงธาตุแท้สันดานงกออกมา เฝ้าสมบัติอยู่ที่บ้านของตัว”

ทุกคนต่างรู้ทั่วว่าบ้านหลุยส์ที่ท่ามะโอยามนี้เป็นที่หลบภัยของข้าหลวงสยาม หากจะประเมินความปลอดภัยทุกแห่งในลำปาง ที่ตรงนั้นนับว่าปลอดภัยที่สุด

ในขณะจุดเสี่ยงกับอันตรายที่สุดก็คือคุ้มเจ้าหลวง ที่เชื้อเครือเจ้านายทั้งหลายมาชุมนุมกันอยู่ตอนนี้

“ดูทีรึ ด่านหน้าคุ้มให้เจ้าหลวงดูแลกับนายชุ่ม” ผู้พูดหมายถึงร้อยโทชุ่ม ตำรวจสยามผู้ติดตามมากับร้อยเอกเจนเซ่น น้ำเสียงกึ่งประชดเพราะคิดว่าคุ้มเจ้าหลวงนี้เป็นศูนย์กลางของชาวลำปางทั้งปวง แต่ไยนายหัวหน้าไม่อยู่บัญชาการด้วยตนเอง

ครั้นข่าวแว่วมาว่าด่านที่แม่น้ำวังแตกแล้ว ตำรวจสยามต้านทานไม่ไหว ยิ่งทำให้ความระส่ำระสายทวีขึ้น

ปัง! เสียงปืนนัดแรกดังก็รู้แล้วว่าการประจันหน้าของสองฝ่ายได้เริ่มขึ้นแล้ว

ร้อยโทชุ่มและเจ้าหลวงช่วยกันยิงปืนสกัดทัพเงี้ยวสุดกำลัง แม้ดูว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายถ้าประมาท ยิ่งฝ่ายเงี้ยวเพิ่งชนะและยึดอาวุธของฝ่ายสยามมาได้ จะยิ่งฮึกเหิมอีกแค่ไหน

“เห็นทีจะสกัดไม่ไหวแล้วเจ้าหลวง” ร้อยโทชุ่มบอก

เจ้าหลวงจับตามองเขม็งไปยังผู้นำฝ่ายเงี้ยว

พะกาหม่อง…ผู้นี้เองที่เก่งกล้าสามารถทั้งทางการต่อสู้และวางแผนยุทธการ อีกทั้งคงมีความสามารถทางเจรจาเกลี้ยกล่อมด้วย ทัพเงี้ยวจึงได้ขยายกำลังและเข้มแข็งขึ้นทุกที ผู้ที่อยู่ข้างคงเป็นสหายสนิท เพราะมีท่าทางเป็นผู้นำเฉกกัน

ในวินาทีนั้นเจ้าหลวงรู้ได้ทันทีว่าเงี้ยวผู้นั้นคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพะกาฮูโอ

และฝ่ายนั้นก็ดูจะสอดตาแลหาใครบางคนเป็นพิเศษ…คงแลหาวิลเลียมนั่นเอง

 

ร้อยเอกเจนเซ่นและวิลเลียมพร้อมด้วยตำรวจอีกสี่นายลัดเลาะไปตามกำแพงวัดบุญวาทย์ หาชัยภูมิที่เหมาะสมริมฝั่งแม่น้ำวังเพื่อช่วยเหลือด่านระวังคุ้ม ด่านหนึ่งแตกไปแล้ว ถ้าด่านหน้าคุ้มหลวงแตกไปอีกแห่ง เมืองลำปางก็จะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเงี้ยว

ทั้งหกคนตกลงแผนการเข้าใจตรงแล้วก็กระจายกำลังออกไปซ่อนตัวในจุดต่าง ๆ รอสัญญาณยิงช่วยเหลือจากร้อยเอกเจนเซ่น

ชั่วเสี้ยววินาทีที่พะกาหม่องและพะกาฮูโอจะทลายด่านได้นั่นเอง ห่ากระสุนก็พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ ทัพตำรวจสยามระดมยิงเข้ามา หลุยส์ก็ยิงปืนข้ามฟากมาจากฝั่งแม่น้ำวัง กลุ่มเงี้ยวตกใจไม่ทันระวังตัว เห็นหัวหน้าถูกยิงก็ยิ่งเสียขวัญทำอะไรไม่ถูก จึงแตกกระเจิงกันไปคนละทิศ

ชาวบ้านไม่รู้ซุ่มซ่อนแต่เมื่อใดกรูกันออกมาช่วยปราบเงี้ยวทั้งด้วยโมโหและต้องการค่าหัว เพราะก่อนที่ทัพเงี้ยวจะเคลื่อนพลมาถึงลำปาง เจ้าหลวงประกาศว่าจะให้รางวัล ๓๐๐ รูปี สำหรับผู้ที่ตัดหัวเงี้ยวมาให้ดูได้

ทั่วบริเวณคลุ้งไปด้วยฝุ่นและกลิ่นคาวเลือด ระยะเวลาจริงผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ แต่ในความรู้สึกของทุกผู้ราวชั่วกัปกัลป์ มันเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าจะฟาดฟันคนบนพื้นที่หมายว่าเป็นศัตรูให้ล้มตายหรือแพ้พ่ายยอมจำนน

ตลอดทั้งวันเจ้าหลวงประจำอยู่ที่คุ้ม คอยให้รางวัลแก่ผู้ที่บั่นคอเงี้ยวมาโยนกองที่ข่วง…ลานหน้าคุ้ม

เช้าวันต่อมาจึงปรากฏภาพชวนสยดสยองที่วิลเลียมไม่มีวันลืม

ศีรษะของเงี้ยว ๒๕ หัวถูกเสียบประจานอยู่หน้าคุ้ม

ชาวบ้านที่สุมอกด้วยความคั่งแค้นใจทั้งถ่มน้ำลายใส่ เอาก้อนหินขว้างปา แม้ว่าศีรษะเหล่านั้นจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้วในโลกนี้

วิลเลียมยังหายใจไม่ทั่วท้อง หัวเงี้ยวทั้ง ๒๕ ที่เสียบประจานหน้าคุ้มนั้นมีหัวของพะกาหม่องผู้นำทัพเงี้ยวบุกลำปางมาก็จริง แต่ทว่าไม่มีหัวของพะกาฮูโอ

วิลเลียมมั่นใจว่าปืนของเขาที่เล็งมายังฮูโอไม่พลาดเป้า เพียงแต่ไม่โดนจุดสำคัญ

“มันไม่จบเพียงเท่านี้หรอก พวกที่รอดไป ไม่นานคงซุ่มรวมตัวกันอีก”

ร้อยเอกเจนเซ่นเห็นด้วยกับวิลเลียม เขาพยักหน้าและประกาศเจตนารมณ์ของตนเองว่า

“ผมจะยังอยู่ที่นี่จนกว่าการปราบเงี้ยวจะเสร็จสิ้นจริง ๆ”

วิลเลียมยิ้มอย่างซาบซึ้งและขอบใจ การปราบเงี้ยวเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยกัน แต่ความแค้นส่วนตัวของเขานั้น เขาต้องชำระด้วยตัวเอง

ตราบใดไม่เห็นว่าพะกาฮูโอสิ้นชีวิต

ตราบนั้นเขามั่นใจว่า คนรอบตัวเขาจะไม่มีวันปลอดภัย

 

 

เจ้าหลวงให้ทหารล้อมคุ้มเจ้าคำหมื่นมิให้ลักลอบหลบหนีได้ โดยเฉพาะเจ้านางนกน้อยที่ขังตัวเองอยู่ในหอน้อยตลอดเวลา เจ้าหลวงให้เหตุผลว่าดีเท่าไรแล้วที่เพียงแค่กักบริเวณ มิล่ามโซ่ใส่ขื่อคาชักแถวไปประจานที่กองกาด…ถนนในตลาด ให้เป็นที่อับอายเสื่อมเกียรติยิ่งกว่านี้

วิลเลียมและร้อยเอกเจนเซ่นเห็นตรงกันว่า ชัยชนะที่ลำปางได้มาตอนนี้ยังมิใช่จุดจบ พวกเงี้ยวที่หนีรอดไปได้ต้องย้อนคืนกลับมาในวันหนึ่งเมื่อซ่องสุมกำลังได้อีกครั้ง แม้หัวของหัวหน้าใหญ่…พะกาหม่อง…จะถูกเสียบประจานไว้หน้าคุ้ม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำเงี้ยวได้

พะกาฮูโอนั่นอย่างไร

วิลเลียมรู้ว่าฝีมือฝ่ายนั้นใช่ย่อย ทั้งด้านศาสตราอาวุธและอาคม

ลำปางแทบกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนที่อพยพไปทยอยคืนกลับมา แต่ก็ยังน้อยนิด เพราะต่างยังหวาดหวั่นว่าเหตุการณ์ยังไม่สงบอย่างแท้จริง

ร้อยเอกเจนเซ่นยังกังวลใจ หากเงี้ยวที่หนีไปรวมตัวใหม่อีกครั้ง คราวนี้อาจได้เปรียบลำปางและสยาม เพราะกองกำลังเงี้ยวที่ตั้งด่านที่ท่าอิฐและพลเงี้ยวที่เฝ้าเมืองแพร่ก็มีไม่น้อย ซ้ำยังมีอาวุธที่ริบได้จากด่านของสยามอีกมากมาย ถ้าย้อนกลับมาบุกลำปางครั้งใหม่ บางทีผู้ชนะคราวอาจเป็นฝ่ายเงี้ยวก็เป็นได้

“ทั้งกองกำลังตำรวจที่มีและอาวุธที่เหลือ เห็นทีเราจะเป็นรองทัพเงี้ยว”

ร้อยเอกเจนเซ่นประเมินสถานการณ์อย่างหนักใจ เพราะตำรวจในบังคับบัญชาที่เหลืออยู่มีเพียง ๗๐ นาย นับรวมที่มาสมทบในภายหลังแล้ว ส่วนอาวุธแทบไม่เหลือโดยเฉพาะกระสุนปืน เขาจึงเสนอว่า

“ผมจะพาเจ้าหลวงไปหลบที่เชียงใหม่ก่อน แล้วขนกระสุนกลับมาที่นี่”

“ฉันไม่เห็นด้วย” หลุยส์ค้านทันที “กัปตันลองคิดดูสิว่า ชาวละกอนจะรู้สึกอย่างไรที่เพิ่งได้ชัยชนะมา เป็นโอกาสจะได้คืนเรือน แต่เจ้าหลวงกลับลี้ภัยไปอยู่เชียงใหม่ เท่ากับบอกให้รู้ว่าละกอนยังไม่ปลอดภัย”

สายตาสองคู่หันมองมาทางวิลเลียมเพื่อขอความคิดเห็นและให้เขาช่วยตัดสินใจอยู่ในที วิลเลียมเห็นว่าเหตุผลของทั้งสองฝ่ายต่างมีน้ำหนักพอกัน แต่การจะเอนไปทางใดทางหนึ่งก็จะทำให้เข้าหน้ากับอีกฝ่ายไม่ติดในอนาคต จึงเอ่ยไปว่า

“ผมเห็นด้วยกับทั้งสองทาง แต่เราอาจต้องวางแผนกันดี ๆ ว่าควรเป็นอย่างไร ตัวผมสมัครใจอยู่เฝ้าเมืองทางนี้ คอยรับมือพวกเงี้ยวหากมันย้อนมาอีก” ดวงตาและน้ำเสียงของเขาบอกความมุ่งมั่น “ผมเชื่อว่าหนนี้ พะกาฮูโอจะนำทัพมาเอง”

ถกเถียงกันอีกครู่ใหญ่ฝ่ายร้อยเอกเจนเซ่นก็กำชัยชนะ หลุยส์จึงบอกไปว่า

“ถ้าเช่นนั้น ฉันจะไปด้วย ไปคุ้มกันเจ้าหลวง”

หลุยส์ทะนงตนอยู่เสมอว่าตนเองได้เปรียบอีกฝ่ายในแง่ของความน่าเชื่อถือ เป็นที่ไว้ใจของเจ้านายทั้งฝ่ายสยามและฝ่ายหัวเมืองเหนือ เห็นได้ชัดจากสีหน้าเจ้าหลวงที่ในตอนแรกยังพิพักพิพ่วนวางอารมณ์ไม่ถูกกลับดีขึ้นเมื่อหลุยส์อาสาจะเดินทางไปด้วยเพื่ออารักขาให้เจ้าหลวงปลอดภัย ความอุ่นใจบังเกิดขึ้นทันที นอกจากนี้หลุยส์ยังรู้ภาษาพื้นเมือง และเป็นที่ยำเกรงของพวกไทใหญ่ที่ทำงานในปางไม้หลายแห่งอยู่ไม่น้อย

“ฉันไม่ยอมนะ” ชาวตะวันตกคนหนึ่งร้องขึ้นมาเมื่อรู้ว่าหลุยส์จะทิ้งลำปางเพื่ออารักขาเจ้าหลวงไปเชียงใหม่ จากนั้นเสียงผสมโรงก็แซ่ขึ้นมาในทิศทางเดียวกัน “จะทิ้งให้พวกเราเสี่ยงภัยที่นี่ได้ยังไง หลุยส์ต้องอยู่ระวังภัยให้พวกเราสิ หรือถ้าหลุยส์จะไป ก็ต้องให้พวกเราไปด้วย”

หลุยส์ยกมุมปากน้อย ๆ พร้อมส่งตาพราวไปทางร้อยเอกเจนเซ่น บอกเรียบ ๆ

“ฉันยอมทำตามแผนของกัปตันแล้ว ปัญหาที่เหลือเล็กน้อยเต็มที” หลุยส์ปรายตาไปทางกลุ่มชาวตะวันที่ไม่ยอมฟังคำอธิบายอะไรทั้งนั้น “กัปตันคงจัดการได้ไม่ยาก”

คราวนั้นเองที่ร้อยเอกเจนเซ่นได้สัมผัสด้วยตัวเองว่า ที่เล่าลือว่าหลุยส์นั้นเป็นคนหลายคม…เป็นอย่างไร

 

คณะของเจ้าหลวงลำปางมารวมตัวกันที่บ้านหลุยส์ราวกับมาชุมนุมอย่างปกติ รอเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนจึงค่อยเคลื่อนขบวนออกจากลำปางมิให้เป็นการเอิกเกริกและผิดสังเกต ในขบวนนี้มีชาวตะวันตกที่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วยอีกเพียงสองคน คือเสมียนผู้ป่วยหนักอาการร่อแร่คนหนึ่ง กับนายห้างซึ่งเป็นนายบัญชีของบริษัทหนึ่งซึ่งมีบุคลิกอ่อนแอแต่พูดมากระแวงทุกเรื่องจนน่ารำคาญยิ่งกว่าที่ว่ากลัวจนขี้ขึ้นสมอง หลุยส์เลือกให้นายห้างคนนี้ติดตามไปเชียงใหม่ เพื่อจะได้พ้นไปจากลำปางเสียที ตอนชุมนุมเพื่อนฝูงที่สโมสรหลังจากนี้จะได้สบายหูบ้าง

เดินทางมาถึงป่าห้างสัตว์…ห้างฉัตร…ก็มีคนแจ้งข่าวว่าในเมืองลำปางเกิดจลาจล ชาวบ้านระส่ำระสายหลังจากรู้ข่าวว่าเจ้าหลวงแอบลี้ภัยไปเชียงใหม่ ไม่มีใครให้เป็นศูนย์รวมจิตใจ ชาวบ้านจึงออกมาปล้นฆ่ากันเองไม่ผิดกับที่ตนก่นด่าสาปแช่งพวกเงี้ยว

เจ้าหลวงจึงตัดสินใจเลี้ยวกลับไปเฝ้าเมืองของตน

หลุยส์สนับสนุนเจ้าหลวงเต็มที่ แต่มิวายมีรอยยิ้มส่งไปให้ร้อยเอกเจนเซ่นสะกิดใจในความดื้อดึงของตน หลุยส์กลับเป็นผู้นำในครานี้

“กัปตันพาเจ้าหลวงไปที่ละกอนเถอะ ฉันจะพาที่เหลือไปส่งถึงเชียงใหม่ แล้วจะขนกระสุนปืนกลับไปฝากกัปตัน” เสียงของเขาหนักแน่นและเป็นมิตรขึ้น หลังจากระบายลมหายใจอย่างระอา “ฉันจะได้รายงานให้กงสุลเบ็คเก็ตต์รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างทางนี้ บางทีท่านกงสุลที่เคารพรักจะรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องทำงานเสียที”

น้ำเสียงในตอนท้ายห่างไกลจากความนับถือยำเกรง

เมื่อตกลงกันได้ ร้อยเอกเจนเซ่นก็พาคณะเจ้าหลวงหวนคืนสู่ลำปาง ในขณะที่หลุยส์พาอีกกลุ่มมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ แยกกันที่ป่าห้างฉัตรนั่นเอง

 

ครั้นถึงเชียงใหม่ หลุยส์ก็แทบตะลึงเมื่อเห็นว่าเชียงใหม่ก็ไม่ผิดกับเมืองร้าง แต่ผิดกับลำปางตรงที่เงี้ยวยังไม่บุกเข้ามา หากกระนั้นเชียงใหม่ก็เตรียมตั้งรับทัพเงี้ยวอย่างเต็มอัตราศึกจนเขาคิดว่าออกจะเกินสถานการณ์จริงมากไป ราวกับว่านี่คือสงครามใหญ่เพื่อการยึดครองดินแดนอย่างเต็มขั้น นับตั้งแต่ป้อมค่ายไม้สักสูงปิดขวางถนนท่าแพก่อนเข้าคลองแม่ข่า โกดังหยูกยาและอาหารถูกตั้งไว้ตามทางที่หยิบใช้ได้สะดวก กองทหารอินเดียถูกระดมมาตั้งแถวเฝ้าระวังตามถนนหนทางและวัดวาอาราม

เรต้าดีใจที่ได้พบสามี เบ็ตตี้และโทมัสปลอดภัยเช่นกัน เพราะยังไม่มีการปะทะเกิดขึ้นที่นี่

มื้อค่ำวันนั้นเหมือนการสังสรรค์มากกว่าหารือเรื่องคอขาดบาดตาย ชาวอังกฤษทั้งนั้นนั่งล้อมโต๊ะยาวในสถานกงสุลโดยมีกงสุลเบ็คเก็ตต์นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน เบ็ตตี้ช่วยเตรียมอาหารอย่างสุดฝีมือราวกับว่าโลกภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ในขอบรั้วสีขาวของสถานกงสุลนี้ คือเขตประเทศอังกฤษอย่างสมบูรณ์ เป็นอาณาเขตที่สงบสุขและอุดมไปด้วยระเบียบแบบแผนอันงดงามซึ่งมาจากพวกพ้องชาวตะวันตกที่มาจากโลกเดียวกันที่หล่อนเรียกว่า โลกแห่งความศิวิไลซ์ หรือโลกที่เจริญแล้วด้วยอารยธรรม

หากจะมีใครสักคนรำคาญใจ ไม่เคลิ้มคล้อยไปกับบรรยากาศรื่นเริงนี้ ใครคนนั้นคือ หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์

เขาโพล่งออกมาโดยไม่รอโอกาสอันเหมาะสม และไม่สนใจว่าถ้อยคำของเขาจะระคายหูหรือระคายใจของใครหรือไม่

“เชียงใหม่ออกจะแต่งป้อมรอรับทัพเงี้ยวยิ่งใหญ่เกินจริงไปหน่อย มดสักตัวก็เห็นทีจะลอดไปไม่ได้ ท่านกงสุลช่างมีความคิดลึกล้ำในการระแวดระวังภัยอย่างแข็งแรงแน่นหนา พอ ๆ กับความกลัวที่อัดแน่นอยู่ในสมองกลวง ๆ ของท่าน มิหนำซ้ำยังให้ลูกน้องเป็นคนออกหน้า วิ่งโร่ไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับพวกเงี้ยวที่เป็นคนในบังคับอังกฤษ ส่วนตัวเองก็มุดหัวอยู่แต่ใน…” หลุยส์เว้นไว้ไม่เอ่ยออกมา “เอาพวกทหารอินเดียมาอารักขาเป็นกำแพงล้อม แล้วอ้างว่าที่นี่เป็นกองบัญชาการ”

กงสุลเบ็คเก็ตต์นั่งนิ่งคอแข็ง อยากสวนกลับไปบ้าง แต่ก็รู้ว่าอิทธิพลของ ‘พ่อค้า’ รายนี้มีแค่ไหน

คนที่เดือดร้อนกระวนกระวายใจเห็นได้ชัดคือเบ็ตตี้ หล่อนรู้สึกว่าหลุยส์ออกจะเสียมารยาทอยู่มากในกรณีนี้ หากผู้พูดคือวิลเลียม หล่อนคงเข้าไปฉุดแขนลากออกไปจากห้องดินเนอร์ทันที แล้วอบรมอีกชุดหนึ่งถึงเรื่องมารยาทอันสมควรกระทำ

“ใช่ว่าฉันจะนิ่งนอนใจ”

กงสุลเบ็คเก็ตต์อธิบายเมื่อตั้งสติได้ แต่จะให้ยอมรับความผิดพลาดของตนเองหาได้ไม่ ยังคงรักษาหน้าไว้เมื่อบอกกับทุกคนในที่นั้นว่า

“ที่ฉันให้ไลล์ไปเจรจา” ชื่อที่เขาเอ่ยถึงนั้นคือรองกงสุล “ก็เพื่อจะดูฝีไม้ลายมือว่าเป็นอย่างไร ฉันไม่เห็นด้วยกับการรบทัพจับศึก เราควรเจรจากันด้วยสันติวิธีเสียก่อน แล้วตอนนี้…กัปตันเจนเซ่นก็พาลูกน้องไปปกป้องเมืองลำปางได้สำเร็จแล้วมิใช่หรือ ที่เราตั้งปราการเชียงใหม่เสียแน่นหนาก็เผื่อว่าหากด่านอื่นต้านทานไม่อยู่ ทางนี้จะได้พร้อมรับมือเป็นด่านสุดท้าย ใช่ว่าฉันตั้งป้อมค่ายเพื่อคุ้มภัยให้ตัวเองเสียเมื่อไร ฉันอยู่ทางนี้ก็มิได้นิ่งนอนใจ คอยฟังข่าวทางแพร่และลำปางอยู่ทุกเมื่อ หากสถานการณ์ทางเชียงใหม่มีอะไรที่แน่นอนกว่านี้ ฉันจะรีบไปช่วยที่ลำปางโดยไม่รั้งรอเลย”

ริมฝีปากของหลุยส์เหยียดเกือบเป็นเส้นตรง

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ควรรีบจบดินเนอร์มื้อนี้ แล้วไปลำปางด้วยกันเสียเลย”

“น่าเสียดายจริง” กงสุลเบ็คเก็ตต์ทำเสียงหนักใจและเสียดายระคนกัน “ฉันเพิ่งได้รับโทรเลข แจ้งให้ไปหารือที่บางกอกโดยด่วน”

“ผมเข้าใจ” หลุยส์ว่า

แต่กงสุลเบ็คเก็ตต์ยังติดใจในน้ำเสียงกึ่งหยามกึ่งรู้ทันนั้น ถามกลับว่าเข้าใจว่าอย่างไร คำตอบจากหลุยส์ก็ทำให้เขาชาไปทั้งร่าง

“ก็เข้าใจว่า การที่เราทะนงตนว่าเป็นผู้ดีเลิศกว่าคนชาติอื่น ต่างจากข้าหลวงสยามที่รักสบาย วัน ๆ ไม่ทำงาน เอาแต่แสวงหาทางโกยผลประโยชน์เข้าหีบตัวเอง แล้วก็ยังหาทางเติบโตในหน้าที่การงานด้วยการพูดเอาดีเข้าตัวเองอยู่เสมอน่ะ แท้ที่จริงแล้ว พวกที่มีตำแหน่งใหญ่โต มาจากอีกซีกโลกหนึ่งที่ประกาศว่ามาจากแดนที่ศิวิไลซ์ ก็มีสันดานไม่ต่างกัน”

ไม่มีใครพูดถึงว่ามื้อค่ำวันนั้นสิ้นสุดอย่างไร

ไม่มีใครในเหตุการณ์นั้นกล้าพอจะบันทึกรายละเอียดบทสนทนาที่ทั้งสองฝ่ายเชือดเฉือนกันไว้เป็นหลักฐานสืบมาให้ค้นคว้าในภายหลัง

 

 

เมื่อขบวนเจ้าหลวงกลับมาถึงลำปางก็พบว่าจวนข้าหลวงสยามที่ร้างไปชั่วเวลาหนึ่งที่ข้าหลวงหนีไปนั้น บัดนี้มีผู้มาอาศัยอยู่ชั่วคราว คนผู้นั้นคือรองกงสุลไลล์ ต่างฝ่ายต่างยินดีที่ได้พบกัน โดยเฉพาะวิลเลียม ลีรอย และเมือง ที่เห็นเจ้าหลวงกลับมาพร้อมกับร้อยเอกเจนเซ่น

การจลาจลในลำปางนั้นเกิดขึ้นจริงด้วยฝีมือชาวบ้าน เหตุการณ์มิได้ไกลเกินกว่าข่าวที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้เพราะความเสียขวัญและรู้สึกผิดหวังที่เจ้าหลวงทิ้งเมือง ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน ไม่สนใจชาวบ้านที่ยังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย

เจ้าหลวงและคณะร่วมกันปราบจลาจลจนเมืองกลับสงบได้ภายใน ๒ วัน

จากนั้นเจ้าหลวงก็สั่งให้บริวารในคุ้มรับภาระดูแลสำรับกับข้าวแก่นายห้างกุลาเผือกทั้งหลาย จวนข้าหลวงซึ่งบัดนี้รองกงสุลไลล์มาพำนักกลายเป็นที่ชุมนุมชั่วคราวเพื่อวางแผนการรับมือเงี้ยวอีกครั้งหนึ่ง

ไลล์เล่าให้ทุกคนฟังถึงสิ่งที่เขาได้ทำไปก่อนหน้านี้

“ผมประกาศให้พวกเงี้ยวสลายตัว มิเช่นนั้นจะเกิดโทษกันทั่วหน้า” เขาย้ำว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่ ๆ เพราะ “ทางบางกอกส่งทัพทหารขึ้นมาปราบเงี้ยวเมืองแพร่ถึงห้าพันคน”

“ห้าพันคน!” นายห้างจากปางไม้อุทาน

แต่ร้อยเอกเจนเซ่นไม่แปลกใจ เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว รู้อีกด้วยว่าผู้คุมกองทัพขึ้นมานี้คือพระยาสุรศักดิ์มนตรี

วิลเลียมเห็นว่าเจ้าหลวงมีท่าทีลำบากใจ คงเพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินทางไหน โอกาสที่จะเป็นไทจากสยามก็ยังมีอยู่ เรื่องนี้เขารู้จากเมืองว่า พวกหัวหน้าเงี้ยวยังเพียรส่งหนังสือมาถึงเจ้าหลวงเจ้าเมืองทางเหนือเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เข้ากับพวกตน เชื่อว่าถ้ารวมกันได้จะเป็นทัพใหญ่ไม่แพ้ทัพสยาม แต่เจ้าหลวงก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาให้เป็นที่ชัดเจน วิลเลียมจึงถามไปกลาง ๆ ว่า

“ทำไมสยามต้องส่งทหารขึ้นมามากมายขนาดนี้”

“นั่นสิ” ไลล์กระแทกเสียง บอกชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ “ผมไม่เห็นด้วยเลยกับการห้ำหั่นกันให้ตายตกลงไป กำลังและอาวุธเป็นเครื่องมือของพวกกระหายอำนาจ ทำไมเราไม่แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี”

ก่อนหน้านี้เอง รองกงสุลไลล์พยายามเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดการประนีประนอม ทั้งฝ่ายสยาม ฝ่ายเจ้าเมืองแพร่ และฝ่ายหัวหน้าเงี้ยว โดยเป็นการเกลี้ยกล่อมทีละฝ่ายให้เข้าใจถึงปัญหาและหวังว่าเมื่อทุกฝ่ายอ่อนลงแล้ว จะมีสักวันหนึ่งที่ทั้งสามฝ่ายได้มาเจรจาร่วมกัน…เขายินดีเป็นคนกลางในเจรจา

แต่เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ฝ่ายสยามถือตัวว่าเป็นผู้นำ เป็นผู้กุมอำนาจทุกอย่างในผืนแผ่นดินนี้

“อันที่จริงพวกเงี้ยวยอมเจรจานะ” รองกงสุลไลล์ว่า “เขาก็ว่าเขาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ที่นี่มาตั้งนาน สยามก็มาขับไล่ ทำให้เขากลายเป็นผู้ร้าย ตราหน้าว่าเป็นกบฏ ตอนที่พะกาเงี้ยวหลายคนยื่นข้อเสนอมา…ผมก็ว่าน่าสนใจ แต่คงทำได้ยากนัก”

“ข้อเสนออะไรครับ” วิลเลียมถามแทนทุกคนในที่นั้น

“เงี้ยวส่วนใหญ่รับจ้างอยู่ในบริษัททำไม้ของอังกฤษ เป็นคนในบังคับอังกฤษ เขาจึงอยากให้เรา…ผมหมายถึงอังกฤษ…คุ้มครองพวกเขาในฐานะคนในบังคับอังกฤษ พวกเขายินดีที่จะทำงานในเขตสัมปทานของเราไปเรื่อย ๆ”

ไลล์นิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อดูว่าผู้ฟังทั้งหลาย ‘ทัน’ ในเรื่องที่เขาเล่าหรือไม่

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ วิลเลียมจึงทำลายลงด้วยข้อสรุปของเขาที่คนอื่นก็เห็นพ้องต้องกัน

“หากทำอย่างนั้น อังกฤษก็ต้องยึดครองพื้นที่นั้นเสียก่อน”

“ใช่!” ไลล์ตอบหนักแน่น “สยามคงไม่ชอบใจเช่นกัน และจะยิ่งปักใจเชื่อว่า การที่เงี้ยวลุกฮือขึ้นมาแข็งข้อนี้มีอังกฤษให้ท้าย คอยสนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้อังกฤษสามารถหาเรื่องอ้างยึดพื้นที่ตรงนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ”

“พื้นที่ตรงนั้นถูกกันไว้ให้เป็น Buffer Zone…พื้นที่กันชนระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส” วิลเลียมสรุปอีกครั้ง

ไลล์พยักหน้ารับและชื่นชมสติปัญญาของนายห้างหนุ่ม

“ผมเกือบเจรจาสำเร็จแล้ว เพราะพวกเงี้ยวก็เข้าใจดี แต่แล้วกลับถูกกระตุ้นให้ต้องสู้ขึ้นมาใหม่ เพราะ…”

“ทัพสยาม…”

“ใช่! สยามมุ่งฟาดฟันให้ย่อยยับอย่างเดียว แทนที่จะเจรจาได้กลับต้องปะทะกันให้เสียเลือดเนื้อ”

“แล้วครั้งล่าสุดนี้ ผลการเจรจาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ร้อยเอกเจนเซ่นถาม

รองกงสุลไลล์ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับคนสิ้นหวังเมื่อสิ่งที่ตนเพียรพยายามสุดความสามารถได้ผลสำเร็จเพียงน้อยนิด

“ที่ยอมจำนนเข้ามามอบอาวุธ มีเพียงสองคนเท่านั้น ที่เหลือก็คงหลบไปซ่องสุมกันใหม่”

เวลาในตอนนี้แทบไม่มีความหมายว่าเป็นกี่โมงยาม เพราะต้องคอยระวังตนเองให้ประสาทตื่นอยู่ตลอดเวลา วิลเลียมรู้ว่าความสงบที่เป็นอยู่มิใช่การสิ้นสุดของเรื่องนี้ หากเป็นเพียงการหยุดชั่วคราวเพื่อจะปะทะอีกครั้งที่อาจรุนแรงหนักหน่วงกว่าเดิม

ลมเย็นริมฝั่งแม่น้ำวังพอจะทำให้หายใจปลอดโปร่งขึ้น เมืองสืบเท้าเข้ามาเงียบ ๆ บอกเรื่องสำคัญแก่วิลเลียม

“หมอสจ๊วตยังไม่ตาย”

ข่าวนั้นทำให้วิลเลียมหันมามองดวงหน้าของเมืองราวจะค้นหาว่าน้ำหนักความจริงของเรื่องนี้มีอยู่แค่ไหน การที่หมอสจ๊วตยังไม่ตายหมายความว่า ‘ทั้งหมด’ ที่ลงเรือลำนั้นยังมีชีวิตรอด…รวมถึงมุ่ย

“ทุกคนปลอดภัย ถึงเมืองระแหงอย่างปลอดภัย ทั้งคนและสมบัติที่เราแอบขนไป”

“แล้วข่าวเงี้ยวปล้นเรือ…”

“ข่าวนั้นก็จริง เพียงแต่เรือที่ล่มไม่ใช่ลำที่พ่อคุ้มกันไป” เมืองแถลงไขให้กระจ่าง

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่วิลเลียมหลับตาแล้วรู้สึกว่าได้พักผ่อนอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ แค่รู้ว่าทุกคนปลอดภัย โดยเฉพาะ ‘มุ่ย’ ก้อนหินหนัก ๆ ที่ทับถมไว้ก็คล้ายหลุดพ้นไปจากอก ไม่มีข่าวใดน่ายินดีเท่านี้อีกแล้ว

วิลเลียมหลับตาพักผ่อนอย่างมีความหวัง

หวังว่าเราจะได้พบกันในอีกไม่ช้านี้

 

จวนเวลาทัพสยามเคลื่อนมาใกล้เพราะผ่านบ้านบ่อแก้วแล้ว รองกงสุลไลล์จึงรีบไปดักรอทัพสยามที่เมืองแพร่เพื่อพบกับพระยาสุรศักดิ์มนตรีและพระพิชัยชุมพล ผู้คุมกองทหารห้าพันนายขึ้นมาปราบเงี้ยวเมืองแพร่ หวังเกลี้ยกล่อมให้เจรจาสงบศึกด้วยสันติวิธีก่อน เล่าถึงสิ่งที่เขาได้ทำไปให้ทราบเช่นเดียวกับที่เล่าให้เจ้าหลวงลำปางและนายห้างปางไม้ชาวอังกฤษฟัง

ผลลัพธ์เป็นไปดังคาด

ฝ่ายสยามไม่เชื่อถือ ปักใจว่าที่ไลล์ทำเช่นนี้เพื่อจะหาทางยึดเอาดินแดนตรงนี้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ เช่นเมืองอื่น ๆ ที่ตกอยู่ใต้บังคับอังกฤษแล้วอย่างพม่าและปีนัง

เมื่อฝ่ายสยามยืนยันจะปราบเงี้ยวด้วยกองทัพก็เดินหน้าเต็มอัตรา ในเวลาต่อมาก็เป็นฝ่ายมีชัย

หัวหน้าเงี้ยว ๘ คนถูกจับมารับโทษประหารชีวิตที่ลานหน้าคุ้มด้วยการยิงเป้า เล่ากันว่าเป็นการประหารชีวิตอย่างให้เกียรติไม่น้อย เพราะการยิงเป้านี้นับว่าเป็นการประหารอย่างศิวิไลซ์กว่าการตัดหัวเสียบประจาน

ผู้นำเงี้ยวชั้นรองลงมาอีก ๑๖ คนไม่ต้องโทษประหาร แต่ถูกล่ามโซ่คอ แขน ขา ส่งไปจำคุกที่บางกอกตลอดชีวิตไม่ให้เห็นเดือนดาวแลตะวัน ส่วนคนที่เหลือซึ่งไม่ผิดอะไรกับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เข้าพวกเพราะถูกขืนใจไม่มีทางเลือก ก็ปล่อยให้ใช้ชีวิตต่อไปภายใต้กฎระเบียบใหม่ที่ควบคุมอย่างเข้มงวดอันกำหนดมาจากสยาม ขนานนามกันว่า ‘เทศาภิบาล’ เป็นการปกครองแบบใหม่ที่ศูนย์กลางการตัดสินใจอยู่ที่รัฐบาลสยาม…ที่บางกอก

การชำระสะสางเรื่องเงี้ยวที่ฝ่ายสยามมองว่าเป็น ‘กบฏ’ นี้ จุดสำคัญคือเชื้อเครือเจ้าหลวงเจ้านายฝ่ายเหนือที่ให้การสนับสนุนกองกำลังเงี้ยวทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ

เจ้านายเมืองแพร่ทั้งหนุ่มสาวและเฒ่าแก่ที่รู้แน่ว่าไม่พ้น เก็บข้าวของใส่ย่ามใส่ห่อดั้นด้นหลบไป ลัดเลาะแนวไม้ลำธาร อาศัยเส้นทางธรรมชาติหนีไปที่เมืองพม่า ที่รีรอชักช้าถูกตามจับได้ก็ถูกนำไปพิพากษา ถอดยศถอดศักดิ์ ริบทรัพย์เข้าเป็นของหลวง

เจ้าหลวงเมืองแพร่กระวนกระวายหนักกลัวอาญาแผ่นดิน ก่อนถึงวันไต่สวนคดีจึงรีบหลบหนีไปพึ่งบารมีเจ้าเมืองหลวงพระบางซึ่งตอนนั้นอยู่ในบังคับของฝรั่งเศส พระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงใช้อำนาจถอดยศและออกคำสั่งจับตาย ตั้งค่าหัวไว้ถึง ๒๔ ชั่ง ส่วนเจ้าราชวงศ์องค์อื่นก็ล้วนจบชีวิตไม่ผิดกัน บางองค์ถูกไต่สวนจนจนมุม คว้าดาบปาดคอ คว้าหินทุบกะโหลกตัวเอง บางองค์ขวัญกระเจิงไปตั้งแต่ถูกจับ เป็นบ้าพูดจาไม่รู้เรื่อง บางองค์ทนอับอายไม่ไหว ชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายก่อนถูกนำตัวไปพิจารณาคดี

เสร็จสิ้นจากเมืองแพร่ พระยาสุรศักดิ์มนตรีก็เคลื่อนทัพมาชำระสะสางคดีลักษณะเดียวกันนี้ที่เมืองลำปาง

เช้าวันไต่สวนคดี ลานหญ้าหน้าคุ้มเจ้าคำหมื่นก็ดาษดื่นไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าดูการตัดสินโทษ

 

 

เสียงกรีดร้องของคนหนีตายดังอยู่ข้างนอกผสานกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญขอให้ละเว้นโทษประหาร ทว่าร่างบางที่นั่งนิ่งในหอน้อยไม่สนใจ ดวงตาเรียวงามจับจ้องไปที่หิ้งพระหิ้งผี เห็นทีจะหนีไม่พ้น

อีกเสียงหนึ่งในใจแย้งขึ้นด้วยมานะ…จะหนีไปทำไม

นั่นแล้วเจ้านางนกน้อยจึงนั่งนิ่ง มิได้ภาวนา เพียงแค่รอคน รอเวลา

การปราบเงี้ยวที่ก่อจลาจลปล้นฆ่าจบแล้วก็จริง แต่การทิ้งเหง้าเค้าตระกูลให้ยังอยู่ก็เหมือนฟันหญ้าที่งอกเหนือดิน…ใช่ว่าจะตายสิ้นหมดไป เพียงได้ฝนใหม่ก็ระบัดใบจากหน่อเหง้าที่ถูกกลบไว้ใต้ดิน จำต้องปราบให้สิ้นอย่างขุดรากถอนโคน จึงจะคลายกังวลและโล่งใจ…ฝ่ายสยามคงคิดเช่นนี้ จึงไม่รีรอที่จะเร่งรุดมา ‘ขุดรากถอนโคน’

เสียงย่ำเท้าตึงตังดังคุกคาม นาทีต่อมาประตูหอน้อยก็ถูกกระชากให้เปิดอ้า สตรีร่างบางผู้เดียวที่นั่งในนั้นค่อย ๆ เบือนหน้ามา น้ำเสียงเยือกเย็นถามว่า

“ถึงตากูแล้วกา”

นายหัวหน้าผู้ถือดาบยังประหม่าเมื่อเชิญไปที่ข่วงหน้าคุ้มซึ่งพระยาสุรศักดิ์มนตรีคอยอยู่

เจ้านางนกน้อยรู้แล้วว่าตนจะถูกพิพากษาอย่างไร โทษฐานที่ให้ความช่วยเหลือกองกำลังเงี้ยว ด้วยใจเด็ดเดี่ยวจึงคว้ามีดที่วางในขันแดงชี้แช่งด่า

“กูบ่เคยกึ๊ดว่ากูผิด บ้านนี้เมืองนี้เป็นของกู ของโคตรกู หมู่มึงมาแต่ไหน ฝักไฝ่กุลาเผือก พากันมาสูบเลือดสูบเนื้อคุกคามบ้านกู ครั้นหมู่กูลุกขึ้นสู้ ปกป้องบ้านกู ก็ถูกใส่โทษ…กล่าวหา…ว่าเป็นกบฏ”

นางหนูวิ่งขึ้นมาบนหอน้อย หมายจะเกลี้ยกล่อมเจ้านางให้สยบยอม โทษถึงตายน่าจะผ่อนได้เพราะนางหนูวิงวอนอ้อนขอกับเจ้าหลวง อ้างว่าที่เจ้านายเป็นบ้าเป็นว้อเพราะคาถาอาคมมันเข้าตัว ความชั่วมันบังตา เจ้าหลวงก็ลั่นวาจาจะช่วยเหลือหากเจ้านางรับฟัง

นางหนูจึงฟั่ง…รีบมา ทว่าไม่ทันการณ์

เจ้านางนกน้อยกำมีดมั่นวางขวาง ลากยาวจากซ้ายไปขวา เลือดไหลออกคอเป็นสายธารา ตาขุ่นตาขวางวางอาฆาตไปจนถึงโลกหน้า นางหนูเข่าอ่อนทรงตัวอยู่ไม่ได้ คลานเข้าไปกราบเท้าขอขมา น้ำตาร่วงสู่ตีนเจ้านางผู้เติบโตมาด้วยกัน

หอน้อยถูกรื้อโดยพลัน ไม่เก็บไว้เป็นเสนียดจัญไร แผ่นไม้เสาไม้อันเป็นไม้สักเนื้อดีถวายให้วัด

ข้าวของในขันในหิ้งที่เจ้านางนกน้อยบูชากราบไหว้ ล้วนให้แต่ความรู้สึกเป็นอัปมงคล เจ้าหลวงสั่งให้เผาทำลายหมดสิ้น ประกาศให้ได้ยินทั่วกันว่า ต่อไปภายหน้าถ้าจดจารเรื่องใดในเมืองละกอนนี้ อย่าได้มีเรื่องราวของเจ้านางนกน้อยบันทึกไว้ร่วมกัน

“กูถือว่ามันบ่ข้องเกี่ยวกับโคตรกู”

 

 

วิลเลียมเห็นมุ่ยแล้วตั้งแต่ตอนที่นางหนูวิ่งปราดเข้ามาขอร้องพระยาสุรศักดิ์มนตรีให้ลดหย่อนโทษแก่เจ้านางนกน้อย หากเขามิอาจลุกไปหามุ่ยได้ตอนนั้น จนกระทั่งจบเรื่องที่คุ้มเจ้าคำหมื่น เขาก็รีบแล่นไปที่บ้านหมอสจ๊วตเพราะรู้ว่าจะพบมุ่ยได้ที่นั่น ครั้นถึงที่หมายก็พบว่ามุ่ยอยู่ที่นั่นจริง ๆ

นายห้างหนุ่มรวบเอื้องป่าแบบบางไว้แนบอกเพื่อพิสูจน์ว่าร่างนี้มีเลือดเนื้อจริง ๆ มิใช่ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาหลอกให้ตัวเองสบายใจ มุ่ยขัดขืนอยู่บ้างแต่มิอาจต้านแรงรัดจากอ้อมแขนเขาได้

“มุ่ยรู้ไหมตอนที่ฉันได้ข่าวว่าเรือถูกปล้น ฉันอยากจะไปหามุ่ยเดี๋ยวนั้น ฉันจะไม่ยอมเชื่อเลยว่ามุ่ยตายจากฉันไปแล้ว ถ้าไม่ได้เห็นกับตา”

“เฮายังอยู่ดี ยังบ่ตายเป็นผีเฝ้าป่าเฝ้าห้วย”

“แน่ใจรึ” วิลเลียมจ้องเขม็ง

“แต๊ก่ะ…แน่นอนสิ” มุ่ยเชิดหน้าขึ้นมองอย่างท้าทายในทีแรก แต่แล้วประกายในตาก็อ่อนแสงลงเมื่อวิลเลียมจ้องไม่ลดละจนมุ่ยอยากจะหลบสายตา แต่ก็ยังไม่อยากเสียท่าเสียหน้าคนเก่งในยามนี้

“คนต่างกับผีที่แววตา ตาผีไม่มีแวว แต่ตาคนมีแวว”

วิลเลียมจ้องดวงตางามที่นอกจากจะมีแววแล้ว ยังระยิบวิบวาวดุจกอบเอาดาวบนฟ้ามารวมอยู่ตรงนั้น โดยพลันที่ความคิดถึงพุ่งไปถึงขีดสุด วิลเลียมก็ประทับริมฝีปากของเขากับปางบางราวใบไม้อ่อนของมุ่ย งึมงำคำพูดโดยไม่ยอมถอนปากออกมา

“ฉันจุมพิตเพื่อพิสูจน์ว่าร่างนี้มีวิญญาณอยู่จริง ไม่ใช่ผีสางนางพรายจำแลงร่างมาหลอกตาฉัน”

มุ่ยร้อนผ่าวไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่มีอำนาจเกินกว่าที่สาวน้อยจะผลักร่างเขาออกไป

เวลาผ่านไปเท่าใดไม่รู้กว่าวิลเลียมจะผ่อนแรงกดจากริมฝีปากเขา หากก็ยังเคลียคลออ้อยอิ่งอยู่ไม่รู้แล้ว จนกระทั่งเสียงหวานใสแต่ไม่เสนาะหูดังขึ้นมา

“เวลคัมโฮม…ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ ทุก ๆ คน”

น้ำเสียงของเบ็ตตี้เกือบเป็นกระแทกกระทั้น เช่นเดียวกับตาเรียวงามของหล่อนที่บัดนี้คล้ายมีแสงสีเขียวเรืองออกมา

“เธอจะไม่จุมพิตต้อนรับการกลับมาของฉันหรือจ๊ะ วิลเลียม”

ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปจับไหล่กลมมนทั้งสองข้างของเบ็ตตี้ โน้มแก้มแตะแก้มแม้ว่าเบ็ตตี้จะพยายามเอียงหน้ารับริมฝีปากของเขา ครั้นเขาไม่สนองอย่างที่หล่อนคิด หญิงสาวก็สะบัดค้อนเข้าบ้านหมอสจ๊วตไปอย่างขัดใจ

วิลเลียมหันไปทางเดิมที่เขาอยู่กับมุ่ยเมื่อครู่ แต่มุ่ยไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

 



Don`t copy text!