เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ลูกชายคนโต”

เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ลูกชายคนโต”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

เวลาที่สถานีป่าไม้แพร่ผ่านไปราวมีปีกบินนับตั้งแต่วิลเลียมย้ายมาเป็นผู้จัดการ ผู้ติดตามมาด้วยมีเพียงคนเดียวคือปะเล ที่บัดนี้วิลเลียมเชื่อถือสนิทใจแล้วว่าไม่ใช่สายของพวกเงี้ยว และการที่ปะเลติดตามมาที่แพร่ไม่ใช่เพราะจะหาโอกาสติดต่อกับพวกพ้องได้สะดวกขึ้น แต่มาเพื่อคอยรับใช้เขาจริง ๆ

ทั้งเพราะเป็นสถานที่ทำงานใหม่ พื้นที่ป่าแห่งใหม่ และระเบียบการให้สัมปทานป่าไม้ที่สยามเปลี่ยนทุกปี ทำให้วิลเลียมไม่มีเวลาว่าง หากไม่เข้าป่าทำนีปปิ้ง ก็ติดตามการล่องแพซุงไปที่ปากน้ำโพ นาน ๆ ทีจึงจะไปสมาคมกับเพื่อนฝูงชาวอังกฤษที่ละกอนสปอร์ตคลับที่ลำปางหรือสโมสรยิมคานาที่เชียงใหม่

กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารและงานที่กองท่วมโต๊ะ วิลเลียมก็พบว่าเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำเชี่ยว พัดพาเอาเรื่องที่คิดไม่ตกหาทางออกไม่ได้ หรือแม้แต่หาเหตุผลไม่พบพ้นจากความใส่ใจของเขาไปชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งการล่องแพซุงในปีนี้สิ้นสุดลง เขาจึงมีเวลาได้นั่งทบทวนถึงคืนวันก่อนเก่าและคนที่ยังอยู่ในห้วงคะนึงหา

วันที่เขากลับไปที่สถานีป่าไม้ที่เวียงละกอน สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากเบ็ตตี้ก็คือ หล่อนขอกลับไปอังกฤษชั่วคราวเพื่อบอกกล่าวแก่ครอบครัว แล้วจึงจะกลับมาแต่งงานกับเขา วิลเลียมประหลาดใจกับความคิดนั้น แต่เขาก็ไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนที่จู่ ๆ เบ็ตตี้จะไม่เร่งรัดการแต่งงาน แถมยังเหมือนจะทอดเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง

ลีรอยเพื่อนรักก็เป็นอีกคนที่สร้างความประหลาดใจแก่เขา

แรกทีเดียวลีรอยจะลาพักผ่อนอย่างที่นายห้างส่วนใหญ่ทำกันเมื่อทำงานผ่านมาแล้วสามปี มีสิทธิ์ลากลับบ้าน แต่เอกสารที่ลีรอยยื่นต่อมิสเตอร์โรเจอร์นั้นเป็นจดหมายลาออก เขาตอบไม่เต็มเสียงนักว่าชีวิตที่ปางไม้ไม่เหมาะกับเขา

แม้แต่ตอนที่เขาพูดพลางหัวเราะขณะเก็บสมุดวาดเขียนลงกระเป๋าเดินทางว่า

“ที่นี่ไม่เหลือดอกไม้อะไรให้ฉันวาดเล่นอีกแล้ว”

วิลเลียมยังรู้สึกว่าเหตุผลนั้นช่างฝืดสิ้นดี

ก่อนวันเดินทาง วิลเลียมและลีรอยไปที่ระแหงอีกครั้ง หมายใจว่าจะได้พบกับหนานทิพย์เพื่อพูดจาทำความเข้าใจ และหากโชคดีคงมีโอกาสได้พบทั้งมุ่ยและเมือง แต่นายห้างหนุ่มทั้งคู่ไม่พบใครนอกจากนางเที่ยงมารดาของมุ่ยอยู่ที่บ้าน นางบอกแต่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นจนวิลเลียมและลีรอยท้อใจ มุ่งหน้าไปที่วัดเผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้างก็คว้าน้ำเหลว หลวงพ่อหรือที่ใคร ๆ เรียกว่าตุ๊ลุงบอกแต่ว่า

“อยู่กับปัจจุบัน เดินไปข้างหน้าเถิด อย่าอาลัยกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วเลย”

เมื่อกลับมาถึงเวียงละกอน วิลเลียมจึงยอมรับกับลีรอยว่า

“พวกเขาคงอยากตัดขาดจากพวกเราแล้วจริง ๆ นายรู้สึกเหมือนฉันไหมว่า ตอนที่เราไปที่บ้านและวัด ฉันรู้สึกว่าเขาอยู่ที่นั่นกันทั้งคู่ มุ่ยอยู่บ้าน เมืองอยู่ที่วัด แต่เขาไม่ยอมออกมาพบเรา”

ลีรอยคิดแบบเดียวกันและมั่นใจว่าไม่ผิดแน่ แต่ก็ถามกลับไป

“ทำไมนายถึงคิดเช่นนั้น”

“การอยู่ในป่านาน ๆ คงทำให้ประสาทรับกลิ่นของเราดีขึ้นกระมัง และกลิ่นของคนที่เรารัก ต่อให้บางเบาแค่ไหน แค่มีเพียงละอองไอผสานอยู่ในอากาศ เราก็จำได้”

ลีรอยยิ้มจาง ๆ ท่าทางของเขาเหงาซึม ผิดกับคนที่ยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลว่าเบื่อสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ อยากออกไปดูโลกใบใหม่เต็มที

มิสเตอร์อีแวนเดอร์มาส่งคณะเดินทางที่สถานีป่าไม้ ร่ำลาทุกคนอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพแล้วมาหยุดต่อหน้าลีรอย นายห้างต้นคอแดงเท้าเปลือยเปล่าสวมกอดนายห้างหนุ่มอย่างลึกล้ำ อย่างคนที่เข้าใจความรู้สึกทั้งมวลของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา วิลเลียมรู้อยู่เสมอว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์เอ็นดูเขาและเพื่อนแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์จะแสดงความอาลัยกับใครเท่าครั้งนี้

“หากมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง จงกลับมา” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ว่า “ถ้าฉันพบเขา…ลูกชายของฉัน ฉันจะบอกเขาว่านอกจากฉันแล้ว ยังมีใครอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมิได้เป็นอย่างที่ใคร ๆ รับรู้”

น้ำตาของลีรอยร่วงลงมา ถ้อยวาจานั้นได้ยินกันเพียงเฉพาะสองคน ผู้อยู่ห่างไกลออกมาจึงคิดว่าลีรอยเองก็สุดอาลัยที่ต้องจากไปครั้งนี้ เขาคงใจหายไม่น้อย

ลีรอยเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบสมุดวาดเขียนทั้งหมดส่งให้มิสเตอร์อีแวนเดอร์

“ผมขอฝากไว้ หากผมไม่ได้กลับมารับคืน ก็ฝากเป็นธุระส่งให้ ‘เขา’ ด้วย”

“ฉันรับปากเธอแค่ครึ่งเดียว” มิสเตอร์อีแวนเดอร์บอก “เพราะฉันหวังว่าจะเห็นเธอกลับมา ถึงตอนนั้น เธอควรนำไปมอบให้ลูกชายฉันด้วยตัวเอง”

วิลเลียมเข้ามาได้ยินตอนช่วงท้าย เวลานั้นเขาไม่ทันได้คิดอะไรลึกซึ้ง คงเห็นเป็นเพียงการร่ำลากันทั่วไป และมิสเตอร์โรเจอร์ก็เรียกคณะให้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ

ส่วนมุ่ยนั้น เขารู้สึกว่าของรักได้หลุดลอยไป

ตอนที่เบ็ตตี้บอกว่าจะกลับไปอังกฤษนั้น วิลเลียมยังไม่อาลัยเท่ากับตอนที่รู้ว่าหนานทิพย์พาลูกชายลูกสาวจากเมืองละกอนไปแล้ว การเห็นเจ้าหล่อนเพียงวอบแวบที่บ้านหมอสจ๊วตในวันที่เขาเร่งออกมาจากป่าเพื่อพบมิสเตอร์โรเจอร์ตามนัดหมาย คือช่วงเวลาสุดท้ายที่ได้พบ ไม่มีเวลาสนทนากันเป็นส่วนตัวด้วยซ้ำ

ความรู้สึกว่ามิได้ร่ำลาอย่างเป็นทางการ และความรู้สึกไม่ทันตั้งตัวว่าจะไม่ได้พบกันอีก เป็นเหมือนตะกอนนอนก้นในจิตใจ เมื่อใดที่เขานึกถึงมุ่ยขึ้นมา ตะกอนแห่งความค้างคาใจก็ถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาก่อความขุ่นมัวในอารมณ์

วิลเลียมเอนกายบนม้านั่งมองแสงตะวันค่อยลับราไป หลับตาลงช้า ๆ เพื่อพักผ่อนทั้งร่างกายและอารมณ์ มีเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบาอยู่ใกล้ ๆ วิลเลียมก็ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นปะเล ฝ่ายนั้นขึ้นมาเตรียมอาหารและน้ำร้อนให้นายห้าง โดยพยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด

หากแล้วปะเลก็ร้องออกมาอย่างระงับไม่อยู่เมื่อเงาหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้

“นายห้าง! นายห้างมา”

วิลเลียมสะดุ้งกับเสียงของปะเล เพ่งมองไปทางเงาตะคุ่มภายใต้แสงโพล้เพล้เพื่อดูว่าเป็นใคร จนใบหน้านั้นกระทบแสงไฟจากตะเกียงดวงน้อย วิลเลียมก็ร้องออกไปอย่างยินดี

“ลีรอย! นายจริง ๆ ด้วย”

ผ่านไปหนึ่งปี ดูลีรอยจะแก่ไปกว่าความจริงอีกสามปี อาจะเป็นเพราะหนวดเคราดำที่ลีรอยไม่เคยไว้มาก่อนก็เป็นได้ ที่ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

“แล้วนี่…เด็กที่ไหน” วิลเลียมสะดุดตากับทารกในห่อผ้าที่ลีรอยอุ้มมาด้วย เขารีบสั่งการให้ปะเลช่วยเหลือลีรอยราวต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญ ปะเลปูฟูกผืนเล็กบนพื้นเพื่อให้วางทารกน้อยที่ยังหลับสนิท วิลเลียมพินิจดวงหน้าเท่ากำปั้นเพื่อจะหาคำตอบด้วยตัวเองว่าเด็กคนนี้มีที่มาอย่างไร เพราะลีรอยยังไม่เอ่ยอะไรออกมาจนแล้วจนรอด อดไม่ไหวถึงถาม

“เด็กคนนี้ เป็นลูกของนายเหรอ”

“นายคิดว่ายังไงล่ะ” น้ำเสียงของลีรอยราบเรียบหากแฝงนัยบางประการ

“จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร ผมดำอย่างนี้ก็ต้องเป็นลูกนายแน่ ๆ ว่าแต่แม่ของเจ้าหนูอยู่ไหนล่ะ พาขึ้นมาบนนี้สิ” วิลเลียมถามพลางชะเง้อคอมองหา คิดว่าลีรอยคงนึกสนุกอยากซ่อนตัวเจ้าหล่อนไว้ก่อน

อันที่จริงผมละเอียดของทารกน้อยมิได้เป็นสีดำสนิท มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่ด้วยแสงสลัวจากดวงไฟเล็ก ๆ ในตะเกียง ผมนั้นจึงดูสีเข้มกว่าความเป็นจริง

“ถ้าเป็นผู้หญิง ฉันคงคิดว่าเป็นลูกของเบ็ตตี้แน่ ๆ” วิลเลียมพูดไปเรื่อย ๆ แท้ ๆ แต่กลับสะดุดเมื่อคำนั้นหลุดปากออกมา ครานี้เขาจึงพิจารณาดวงหน้าในห่อผ้านั้นขึ้นลงอย่างเพ่งพิศสลับกับหน้าของลีรอย

“ลูกของเบ็ตตี้…” เสียงเขาครางเบาอยู่ในลำคอตัวเย็นวาบ

ลีรอยพยักหน้าน้อย ๆ แทบไม่สังเกตเห็น วิลเลียมอึ้งไปเขาจึงบอกง่าย ๆ อย่างรวบรัดว่า

“ระหว่างเดินทาง ฉันกับเบ็ตตี้มีอะไรกัน แล้วหล่อนก็ท้อง หลังเจ้าหนูคลอด เบ็ตตี้พักฟื้นจนแข็งแรงดีแล้ว…หล่อนก็ไป”

“ไปไหน ทำไมนายไม่พาเบ็ตตี้กลับมาด้วยกัน นายก็รู้ว่าฉันจะไม่มีวันโกรธนายและเบ็ตตี้เลยในเรื่องนี้”

“หล่อนคงทนรับสภาพนี้ไม่ไหว หากจะต้องกลับมาพบนาย โดยที่ฉันกับลูกเหมือนเป็นหอกข้างแคร่ของหล่อน”

ทารกน้อยตื่นแล้วแต่ไม่ร้องไห้จ้า ลีรอยอุ้มขึ้นมาแนบอกโยกโยนเบา ๆ มิให้เจ้าหนูแผดเสียง

“ที่นี่มีใครให้นมเด็กได้บ้าง” ลีรอยถามเสียงนิ่ง

ปะเลตอบสนองทันควัน บอกว่ามีเมียคนงานคนหนึ่งเพิ่งคลอดได้ไม่นาน ถ้านายห้างไม่รังเกียจเขาจะรีบไปพาตัวนางมา ลีรอยพยักหน้ารับข้อเสนอด้วยความยินดีไม่มีเกี่ยงงอน

วิลเลียมนั่งนิ่งจนกระทั่งปะเลวิ่งลับหายไป จึงเอ่ยขึ้นมา

“นายรู้ไหม ลีรอย ว่าฉันโกรธนายที่สุดตอนไหน”

“ไม่รู้สิ ตอนที่ฉันป่วยแล้วนายต้องเข้าไปคุมงานปางไม้คนเดียวละมัง”

“เปล่าเลย…ฉันโกรธนายที่สุดตอนนี้ โกรธนายแล้วพาลโกรธตัวเองที่ตลอดเวลาที่เราเป็นเพื่อนกันมา เราไม่เคยมีความลับต่อกัน นายคงเห็นฉันเป็นไอ้งั่ง ตามใครไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่องลวงทั้งหลาย เจ้าหนูนี้ถึงเพิ่งคลอดมาได้ไม่กี่เดือน แต่ก็เห็นชัดว่าหน้าตาเป็นส่วนผสมของใคร” วิลเลียมจ้องหน้าลีรอยนิ่งด้วยแววตาผิดหวังเจ็บร้าวก่อนบอกสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ผิดแน่ “เด็กคนนี้คือลูกของเมืองกับเบ็ตตี้”

ลีรอยไม่โต้แย้ง เขาเพียงแต่เม้มปากนิ่งมองพื้นกระดาน

“นายได้พบมุ่ยอีกหรือเปล่า” ลีรอยถามไปอีกเรื่อง

“ไม่พบ” วิลเลียมย้อนบ้าง “แล้วนายคิดจะไปพบเมืองอีกไหม”

“ฉันอยากพบเมืองตลอดเวลา ถ้าจะมีโอกาสแค่หนึ่งครั้ง ฉันก็จะขอแค่ครั้งเดียวได้พบเขา แล้วบอกเมืองว่าใครจะว่าอย่างไร ฉันไม่เคยเชื่อเลย ความจริงที่ฉันจะเชื่อ คือสิ่งที่เมืองสารภาพออกมาเท่านั้น”

ปะเลกลับมาถึงเรือนพอดี ฉุดแขนหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาด้วยอย่างรำคาญที่นางชักช้าไม่ทันใจ หากใครไม่รู้ต้นสายปลายเหตุคงคิดว่าปะเลฉุดเมียคนงานในแคมป์มาบำเรอนายห้างให้สำราญยามค่ำคืน นางผู้นั้นชะโงกหน้ามองทารกน้อย แม้ในแสงสลัวก็เห็นว่าผิวเนียนละเอียดดูมีราศีกว่าลูกของนาง จนกลายเป็นความขลาดกลัวที่จะให้นมแก่เจ้าหนู

วิลเลียมเห็นท่าทางลังเลของนางผู้นั้นแล้วจึงหันไปทางเพื่อนสนิท ลีรอยก็สำทับเป็นการอนุญาตให้สบายใจ

“เมตตาเด็กมันด้วยเถอะ ฉันไม่รังเกียจรังงอนอะไรหรอก”

นั่นแล้วหล่อนจึงกระถดตัวเข้ามาอุ้มทารกน้อย หันหลังเข้าฝา เปิดหน้าอกเพื่อให้นม หากปะเลรีบยั้งไว้ก่อน ส่งผ้าชุบน้ำยื่นให้เจ้ากี้เจ้าการยิ่งกว่าใครทั้งหมด

“เช็ดเต้ามึงก่อน เดี๋ยวคุณหนูท้องเสีย”

วิลเลียมและลีรอยหันมามองหน้ากัน เห็นทีว่าเจ้าหนูจะมีพี่เลี้ยงเสียแล้ว

“นายจะกลับมาทำงานที่ปางไม้ไหม”

“ไม่หรอก ฉันลาออกแล้วก็คือลาจริง ๆ แต่ก็คงจะขออาศัยรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแคมป์นี้ไปก่อน” ลีรอยว่า

“ฉันไม่ขัดข้องหรอกเรื่องนั้น แต่เจ้าหนูนี่สิ นายจะเลี้ยงเองรึ”

ลีรอยส่ายหน้าช้า ๆ บอกแผนการที่เขาคิดมาแล้วอย่างดี

“ฉันจะยกเจ้าหนูให้เป็นลูกของนาย” ลีรอยไม่สนใจแววตาพิศวงของเพื่อน ยังคงเล่าต่อไป “นายก็รู้ดีพอ ๆ กับฉันว่าเด็กกำพร้าเป็นอย่างไร ฉันอยากให้เจ้าหนูมีพ่อแม่อย่างที่ครอบครัวไหน ๆ เป็น ฟังนะวิลเลียม พรุ่งนี้เราจะไปที่ระแหงกัน พาเจ้าหนูไปด้วย”

“ทำไมล่ะ” วิลเลียมยังตามแผนการของลีรอยไม่ทัน

“เจ้าหนูนี่แหละจะทำให้นายกับมุ่ยได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นนายกับมุ่ยจะมีลูกอีกกี่คนก็ตามแต่ แต่นายจะมีลูกชายคนโตคือเจ้าหนูนี่”

“บ้าไปแล้ว” วิลเลียมร้องออกไปราวจะเตือนสติเพื่อนว่าอย่าคิดเพ้อเจ้อ

“ไม่บ้าหรอก หากนี่แหละคือทางเดียวที่จะทำให้นายได้สมหวังกับมุ่ย” ลีรอยชี้แจงความคิดของเขา “มุ่ยรักเมืองมาก มีหรือที่จะไม่รักลูกของเมือง หลานแท้ ๆ ของตัวเอง หรือว่า…ตอนนี้นายไม่อยากแต่งงานกับมุ่ยแล้ว”

“อยากสิ ฉันยังอยากแต่งงานสร้างครอบครัวกับมุ่ย แต่ฉันไม่คิดว่าหนานทิพย์จะยอมง่าย ๆ”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน” ลีรอยบอกมั่นใจ “ฉันขอเพียงอย่างเดียวว่า เมื่อนายกับมุ่ยแต่งงานกันแล้ว จงเลี้ยงเจ้าหนูเหมือนลูกชายคนโต และอย่าให้เขารู้ที่มาอันน่าอัปยศนี้ ขอให้เจ้าหนูเติบโตไปด้วยความเข้าใจว่าเป็นลูกของนายกับมุ่ย”

“เท่านี้นะหรือ”

“มีอีกอย่าง” ลีรอยว่า “ฉันขอให้นายคงชื่อเจ้าหนูที่ฉันตั้ง…จะได้ไหม” คำสุดท้ายคล้ายขอร้องมากกว่ายื่นข้อบังคับ

“นายตั้งชื่อเจ้าหนูว่าอะไรล่ะ” วิลเลียมถาม ปรับน้ำเสียงให้สนุกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ “ถ้าไม่ไพเราะเสนาะหูฉันก็ขอพิจารณาก่อน ลูกชายของวิลเลียม บรูค ต้องมีชื่อที่ดี มีความหมาย”

“รอยเมือง”

ลีรอยตอบสั้น ๆ วิลเลียมหยุดประโยคกลั้วหัวเราะในทันที ด้วยชื่อนั้นแสดงถึงความผูกพันของสองคนที่รักกันอย่างลึกล้ำจนเขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก

 

ช่วงแรกที่มาถึงระแหง หนานทิพย์กำชับลูกทั้งสองให้ถอยห่างจากพวกนายห้างปางไม้ด้วยการสรุปง่าย ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องพบกันอีก หากกระนั้นหนานทิพย์ก็รู้แน่ว่านายห้างคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นทั้งคู่จะต้องมาตามหาที่เมืองระแหง หนานทิพย์จึงให้คอยระวังระไว เมื่อพรานป่าส่งข่าวว่ามีพวกกุลาเผือกกำลังใกล้เข้ามา หนานทิพย์ก็ให้ลูกทั้งสองหลบหน้า มุ่ยเก็บตัวอยู่ในเรือนแอบฟังมารดาปฏิเสธทุกคำถาม ลอบมองผ่านรอยสานของฝาไม้ไผ่ ส่วนเมืองเร้นกายหลบอยู่ในกุฏิหลวงลุงที่วัด

นายห้างทั้งสองมาตามตัวจริงดังคาด แต่เมื่อผิดหวังกลับไป ก็ไม่มีเงาของนายห้างปางไม้กุลาเผือกมาเยือนอีก มุ่ยเหงาหงอยเซื่องซึมไปบ้างในช่วงแรก หากแล้วก็กลับใช้ชีวิตตามปกติ…ที่แสนน่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นการกรอฝ้ายใส่กระสวย ทอผ้า หรือเย็บสาลี…ฟูกที่นอน วันที่พอจะสนุกสนานบ้างก็คือวันที่บิดายอมให้ตามไปเดินป่า และวันที่ได้นั่งต้มเหล้า

มุ่ยกำลังซุนฟืนเพื่อให้ไฟแรงขึ้น พลันก็ได้ยินเสียงอู๊ดอี๊ดร้องดังขึ้นมาน่าหนวกหู พร้อมกับชวนให้อยากรู้ว่าทำไมจู่ ๆ ก็มีเสียงหมูร้องดังขึ้นมาได้ หันไปทางต้นเสียงก็พบหมูสองตัวที่จำได้ทันที

“ไอ้เลี่ยม นังเบ็ด”

แล้วร่างของนายหนุ่มก็ก้าวออกมาสมทบเป็นร่างที่สาม เขาร้องดักคอก่อนที่มุ่ยจะคิดว่าควรวิ่งหนีหรือทำอย่างไรดี

“อย่าหนีไปไหนนะ ถ้าเธอวิ่งหนีไป ฉันจะเชือดไอ้สองตัวเดี๋ยวนี้เลย” ว่าพลางวิลเลียมก็แกล้งดึงมีดออกมาพาดคอเจ้าหมูดำ พยายามกลั้นยิ้มที่เห็นมุ่ยเต้นโหยงร้องโวยกลับมา นับว่าแผนการนี้สำเร็จ เขาคิดอยู่นานว่าจะล่อมุ่ยออกมาด้วยวิธีไหนดี พลันก็นึกถึงเจ้าหมูตัวใหญ่ที่มุ่ยเลี้ยงไว้ที่ละกอนเหมือนเพื่อนเล่น เขาจึงเดินทางไปที่ละกอนก่อนมาที่ระแหงนี้

“กล้าดียังไงทำแบบนั้น ลองดูสิ ถ้านายห้างฆ่ามันตาย ชาตินี้ก็ไม่ต้องพบเจอกันอีก”

“ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ถ้าเราจะคุยกันดี ๆ ได้” วิลเลียมแสร้งทำขึงขัง “ไปคุยกันที่บ้านดีกว่าไหม”

เย็นวันนั้นทุกคนก็นั่งล้อมวงปรึกษาหารือโดยมีทารกน้อยในห่อผ้าเป็นศูนย์กลางความสนใจ จะขาดไปก็แค่เมืองที่ยังไม่มีใครเปิดปากว่าเขาอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร

วิลเลียมเล่าถึงทารกน้อยอย่างย่นย่อทว่าครบถ้วน ระวังมิให้มีถ้อยคำกล่าวหาว่าเป็นความผิดของใคร แปลกใจอยู่นิดเดียวตรงที่บิดาของเมืองรับฟังเรื่องนี้อย่างสงบ ท่าทางนิ่งขึงติดจะปั้นปึ่งในตอนแรกที่พบนายห้างหนุ่มทั้งคู่ค่อยอ่อนลงเมื่อทารกน้อยร้องอ้อแอ้ดิ้นอยู่ในห่อผ้า บางคราคล้ายจะส่งยิ้มมาให้ปู่

นางเที่ยงผู้เป็นย่าหลงรักตั้งแต่แรกเห็น ออกปากว่าหน้าตาเจ้าหนูคือเมืองตอนเด็กไม่ผิดเพี้ยน

เป็นอันว่าไม่มีใครคลางแคลงสงสัยว่านี่คือลูกของเมืองจริงหรือใหม่ ปัญหาจึงย้ายไปที่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร วิลเลียมและลีรอยยังไม่แย้มแผนการที่คิดไว้ คอยดูท่าทีของหนานทิพย์ก่อน

“เมืองยังบ่พร้อมจะเลี้ยงดูเจ้าหนูตอนนี้ เอาเป็นว่าเฮาจะเลี้ยงเองก็แล้วกัน”

“ตอนนี้น่ะเลี้ยงได้ แต่ถ้าเจ้าหนูรู้ความ ถามถึงพ่อแม่ขึ้นมาเมื่อไหร่ จะบอกว่ายังไงครับ”

เจอไม้นี้เข้าไปหนานทิพย์ก็อึ้ง นั่นสิ…ขนาดแบเบาะตัวแค่นี้ยังเห็นว่าเป็นลูกผสม ถ้าโตไปเห็นชัดขึ้นคงไม่วายถูกล้อเลียนเป็นแน่ ปีหนึ่ง ๆ มีเด็กลูกครึ่งที่เกิดจากนายห้างรักสนุกกับหญิงพื้นเมืองไม่น้อย เด็กพวกนี้กลายเป็น ‘ลูกช้าง’ ที่เรียกกันด้วยนัยยะล้อเลียนกึ่งดูแคลน

หนานทิพย์ไม่ยอมให้หลานต้องโตมาเผชิญคำครหาอย่างนั้นแน่ สายตาที่แลสบไปยังนายห้างหนุ่มเป็นคำถามว่า…แล้วนายห้างจะทำอย่างไร

วิลเลียมยิ้มมุมปากหากในใจโลดเต้นด้วยว่าฝ่ายนั้นหลุดเข้ามาตามแผนการที่วางไว้

“ผมจะขอมุ่ยแต่งงาน แล้วเลี้ยงเจ้าหนูเป็นลูกชายคนโต”

แม้จะเห็นว่าทุกคนต่างอึ้ง แลสบกันไปมาเพื่อหาคำค้านแต่ก็ยังไม่พบวิธีอื่นใด หลายปีที่อยู่ในปางไม้ คุ้นเคยกับชาวบ้านคนพื้นเมือง วิลเลียมสังเกตรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า บิดามารดาที่รักลูกนั้น ยังเทียบไม่ได้กับปู่ย่าตายายที่รักหลานจนบางครั้งถึงขั้นหลง

การเจรจาครั้งนี้เขาจึงมุ่งเป้าไปที่หนานทิพย์มากกว่าหว่านล้อมทางมุ่ย

และแผนการนี้ก็สำเร็จสมดังใจหมายเมื่อหนานทิพย์ให้คำตอบ หลังจากขอเวลาตรึกตรองให้ถ้วนถี่หนึ่งคืน

“คงบ่มีทางใดดีไปกว่านี้ มื้อจั๋นวันดี…ฤกษ์งามยามเหมาะ…ก็แหมเจ็ดวันข้างหน้า มีเวลาพอจะเตรียมครัวแต่งดาสำหรับงานแต่ง”

วิลเลียมหันไปส่งยิ้มให้สาวน้อยที่บัดนี้ทำหน้ามุ่ยสมชื่อ เขาอยากบอกหล่อนว่าในที่สุดความรักของเราทั้งคู่ก็สมดังใจ แต่ตอนที่ได้คุยกันเป็นส่วนตัว มุ่ยกลับบอกว่า

“เฮาออกเฮือนกับนายห้างเพราะอยากช่วยหลานเฮา บ่ใช่เพราะฮักไผ นายห้างเข้าใจให้ถูกต้องตวย”

วิลเลียมหน้าหุบลงทันที จ้องไปในหน่วยตาเรียวงามของมุ่ยแล้วเกิดแคลงใจ

มุ่ยพูดออกไปด้วยอารมณ์หรือด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของนาง

 

งานแต่งงานของวิลเลียมและมุ่ยจัดที่บ้านที่ระแหง การเตรียมงานอย่างท้องถิ่นไม่ถือเป็นการฉุกละหุก สิ่งที่เร่งร้อนที่สุดสำหรับวิลเลียมคือการไปที่ละกอน บอกข่าวดีและฉุดทั้งหมอสจ๊วตและมิสเตอร์อีแวนเดอร์มาร่วมงาน มุ่ยดีใจที่ได้พบทั้งนางหนูผู้รักกันดุจพี่สาวและมิสซิสสจ๊วตผู้เคารพดุจมารดาอีกคน ทั้งสองถือโอกาสจัดแจงให้เอื้องป่าดอกงามทรงโฉมอย่างเต็มที่ในวันสำคัญ

ตอนเข้าพิธีผูกข้อมืออย่างทางเหนือ วิลเลียมแทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าวันนี้มุ่ยสวยสำอางยิ่งกว่าครั้งใดที่ได้พบ ทั้งที่นางก็นุ่งเสื้อนุ่งซิ่นอย่างทุกวัน จะเป็นเพราะซิ่นไหมผืนงามประดับตีนจกทอลายงดงาม หรือเพราะฟ้ามุ่ยสีม่วงจางแกมครามอ่อนที่เสียบประดับมวยผมดำเป็นเงาก็ตามที วิลเลียมรู้แต่วันนี้เป็นวันที่มุ่ยงามที่สุดตั้งแต่เขาเคยพบมา

ตลอดพิธีมุ่ยนั่งนิ่งดูผิดไปจากความซุกซนที่เคยวิ่งเล่นไปมาในป่าเหมือนลิงลม ผู้ใหญ่คนสนิทไม่กี่คนเวียนเข้ามาผูกสายสิญจน์และอวยพรไม่นานก็แล้วเสร็จ หากกระนั้นมุ่ยก็เพลียจนกินอะไรไม่ลงแต่หนูและมิสซิสสจ๊วตก็คะยั้นคะยอให้กินบ้าง เพราะยังเหลือพิธีแต่งงานแบบตะวันตกในโบสถ์

“รองท้องเสียหน่อยเถอะจ้ะ บลูแวนด้าน้อยของฉัน พิธีทางฝั่งเราไม่นานก็จริง แต่เธอต้องยืนตลอดเวลา ไม่มีอะไรอยู่ในท้องอย่างนี้ ดีไม่ดีจะเป็นลมเอาได้”

เรื่องการเข้าโบสถ์แต่งงานนี้เป็นความคิดของมิสซิสสจ๊วตนับตั้งแต่ทราบข่าวจากวิลเลียม หล่อนก็ปรารภขึ้นมาว่าควรจัดงานแบบตะวันตกด้วย จากนั้นก็ผละไปค้นเสื้อผ้าข้าวของวุ่นวายภายในเวลาอันน้อยนิดเพื่อให้มุ่ยใส่ มิสซิสสจ๊วตไม่ฟังคำทัดทานของใคร หล่อนถือว่าข้อเสนอของหล่อนเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเห็นด้วยและต้องตอบสนอง

จนเมื่อพบหน้ากันที่ระแหงก่อนวันวิวาห์ มิสซิสสจ๊วตก็เกลี้ยกล่อมทุกคนจนสำเร็จ

โบสถ์ที่เมืองระแหงเป็นโบสถ์เล็ก ๆ แต่ก็ถือว่าใช้ได้…ในความคิดของมิสซิสสจ๊วต มุ่ยดูเงาของตัวเองในกระจกอย่างสับสนงงงวยว่าควรจะทึ่งหรือขำสาวน้อยผู้สะท้อนเงาออกมานั้น หน้าตาเจ้าหล่อนก็หน้าของมุ่ยเองที่เห็นมาตลอดชีวิต แต่ชุดสีขาวประดับลูกไม้ปิดมิดชิดทั้งคอ แขน และกระโปรงยาวถึงข้อเท้าให้ความรู้สึกแปลก ๆ ดีอยู่หน่อยที่มีริบบิ้นสีฟ้าอ่อนผูกไขว้และทำเป็นโบเล็ก ๆ ประดับ ช่วยให้ร่างนั้นไม่ดูขาวโพลนเป็นแม่ชี ยังจะเส้นผมที่มิสซิสสจ๊วตแกะมวยสยายออกมาแล้วเกล้าใหม่ตรึงไว้ด้วยเข็มฝอย ดูแล้วเหมือนลูกฟักทองจนมุ่ยไม่ค่อยมั่นใจ

แต่สิ่งที่ดับความประหม่าเขินอายในการแต่งกายอย่างแหม่มนี้คือสายตาตะลึงของวิลเลียมและหนุ่มชาวตะวันตกทุกคนในที่นั้น ความคิดหลายคนตรงกันโดยมิได้นัดหมายหากไม่ยอมให้หลุดปากออกมาว่า

สวยตรึงตรายิ่งกว่าเบ็ตตี้เสียอีก

งานพิธีในโบสถ์ผ่านไปโดยที่มุ่ยแทบจำอะไรไม่ได้ยิ่งกว่าตอนเช้า รู้ตัวอีกทีก็เมื่อวิลเลียมสวมแหวนให้ แล้วบาทหลวงผู้ทำพิธีก็บอกให้มุ่ยทำแบบเดียวกันกับเจ้าบ่าว

ตลอดสามวันที่แขกจากเมืองละกอนมาร่วมงานมงคลที่ระแหง ไม่มีใครถามถึงเมืองด้วยมารยาทและเรื่องก็ผ่านมาร่วมปี ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นก็จากไปกันหมดแล้ว

ไม่มีใครพบลีรอยและทารกน้อย คนที่ระแหงจงใจปิดเงียบเพื่อให้เข้าใจว่าลีรอยยังอยู่อังกฤษ ฝากเขาไว้กับหลวงลุงให้พำนักอยู่ที่วัดจนกว่างานวิวาห์จะเสร็จสิ้น

วิลเลียมอยู่ที่ระแหงอีกหนึ่งวันเพื่อให้มุ่ยเก็บของลงหีบ หนานทิพย์ไปส่งลูกสาวที่เมืองแพร่ พูดจาฝากฝังแกมขู่ลูกเขยหนุ่มเป็นระยะ และอ้อยอิ่งอยู่กับหลานตัวน้อยที่ดึงเอาความรักของปู่เข้าไปครอบครอง กว่าจะกลับได้ก็แทบว่าต้องตัดใจลากลับ

มุ่ยเลี้ยงรอยเมืองอย่างลูกแท้ ๆ มีแค่อย่างเดียวที่ยังต้องพึ่งพาเมียคนงานแม่ลูกอ่อนคือการให้นม เมื่อรอยเมืองโตขึ้นอีกนิดพอจะเคี้ยวอาหารอ่อนได้ มุ่ยก็บดกล้วยน้ำว้าสุกป้อนลูก บางครั้งก็ผสมฟักทอง ประคบประหงมเอาใจ ยามเล่นก็ชี้ชวนดูเจ้าหมูอ้วนตัวใหญ่ สอนให้เรียกว่าไอ้เลี่ยมกับนังเบ็ดแม้เจ้าหนูจะตอบกลับได้เพียงเสียงอ้อแอ้และท่าทางหัวเราะชอบใจ

ความผูกพันฉันแม่ลูกของมุ่ยและรอยเมืองทำให้วิลเลียมตัดพ้ออย่างน้อยใจว่ามุ่ยไม่ใส่ใจเขา มุ่ยก็สะบัดค้อนให้อย่างไม่แยแส ทว่าไม่นานมุ่ยก็ตั้งครรภ์ ลูกคนแรกเป็นชาย มุ่ยก็มีภาระเพิ่มในการดูแลลูก วิลเลียมก็บ่นยิ่งกว่าเก่า น้อยอกน้อยใจว่างานในปางไม้แสนเหนื่อยหนัก ปีหนึ่งจะได้อยู่บ้านเห็นหน้าลูกเมียไม่กี่เดือนเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่บ่นอย่างนี้ พอรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองแก่ขึ้น ลูกชายทั้งสี่รวมรอยเมืองก็วิ่งเล่นวนอยู่รอบตัว วิลเลียมรู้สึกว่าชีวิตเขาต่อไปจากนี้คงไม่มีอะไรเป็นเป้าหมายนอกจากการปูทางให้ลูกชายทั้งสี่เดินไปสู่อนาคตที่ดี

ไม่มีใครพานพบแต่ความสุขในชีวิตโดยปราศจากทุกข์

วิลเลียมก็เช่นกัน เพียงแต่ความทุกข์นั้นมันค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาช้า ๆ อย่างน้ำซึมบ่อทราย ไม่โผงผางกระโตกกระตาก เขาได้รับข่าวดีจากมุ่ยในวันหนึ่งว่าหล่อนตั้งท้องลูกอีกคน มุ่ยดูอิดโรยเมื่อตั้งท้องลูกคนนี้ บอกกับสามีว่าขอพอแค่ท้องนี้ มีลูกชายมาสี่คนแล้วขอให้ลูกคนนี้เป็นหญิง

มุ่ยได้ลูกสาวสมใจ วิลเลียมบอกว่าตามธรรมเนียมอังกฤษมักตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อย่าหรือยาย แม่ของเขาชื่อแมรี มุ่ยไม่ค้านและบอกว่าหากจะออกเสียงอย่างภาษาที่นี่ก็จะเป็นมาลี วิลเลียมก็เห็นดีด้วย

ไม่รู้ว่าเป็นตามธรรมชาติที่ลูกสาวมักจะติดพ่อ หรือเฉพาะกรณีของมาลีเท่านั้นที่ติดพ่อแจ

งานในปางไม้ลดลงเพราะต้นสักใหญ่ ๆ ถูกโค่นลงไปมากแล้ว วิลเลียมจึงมีเวลาอยู่บ้านเล่นกับลูก ๆ มากขึ้นโดยเฉพาะลูกสาวคนเล็ก

ครานั้นเองความทุกข์ที่คืบเงาของมันคลานเข้ามาก็ปรากฏตัวขึ้นในครอบครัวของวิลเลียมในชื่อว่า ความพลัดพรา

 



Don`t copy text!