เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ว่าที่เจ้าสาว”

เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ว่าที่เจ้าสาว”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

มื้อค่ำและความหิวไม่อยู่ในความสนใจของใครทั้งสิ้นเมื่อสิ่งที่ต้องทำที่สุดคือการปลอบขวัญเบ็ตตี้ สตรีสาวสวยกลับถึงสถานีป่าไม้ในสภาพเสื้อฉีกขาด มิสเตอร์โรเจอร์ผู้กำลังเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยในสมุดเล่มเล็กที่พกติดตัวเสมอรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่ เขาจึงช่วยจัดเก้าอี้ให้หล่อนนั่งอย่างสบายเพื่อให้ผ่อนคลายยามถ่ายทอดเรื่องราวที่เพิ่งประสบมา

ใบหน้าเรียวผ่องชวนมองบัดนี้เลอะไปด้วยคราบน้ำตา ถ้อยคำที่ออกจากปากของเบ็ตตี้กระท่อนกระท่อนกระแท่น บางช่วงที่ยากจะเอ่ยออกมา หล่อนก็ยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นฮัก ราวกับว่าเป็นความอัปยศอย่างร้ายกาจที่หล่อนจะต้องเล่า ‘เรื่องอย่างนั้น’ ให้บุรุษทั้งหลายที่แวดล้อมตัวหล่อนฟัง

หากกระนั้น เมื่อตะวันคล้อยต่ำจนม่านราตรีคลี่คลุม นายห้างหนุ่มทั้งสอง…วิลเลียมและลีรอย และนายห้างสูงวัย…มิสเตอร์โรเจอรและมิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็ปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ความว่า

ช่วงที่เมืองพักฟื้นอาการบาดเจ็บอยู่ที่สถานีป่าไม้ เบ็ตตี้คอยดูแลเขาเพื่อลบคำครหาหรือความคิดของใครต่อใครที่คิดว่าหล่อนรังเกียจคนพื้นเมืองอย่างเมือง แต่หล่อนไม่คิดว่าความเอื้อเฟื้อที่มีให้แก่เมืองนี้จะกลับคืนมาทำร้ายตัวเอง หล่อนเห็นภาพวาดดอกไม้ในสมุดวาดเขียนของลีรอย เมืองเห็นว่าหล่อนสนใจ เขาจึงใช้อุบายลวงว่าดอกไม้ชนิดนั้นอยู่ในป่าน้ำตกไม่ไกลจากสถานีป่าไม้ หล่อนขอให้เขาเก็บมาให้ แต่เมืองคะยั้นคะยอให้ไปดูเองให้เห็นกับตา เพราะกล้วยไม้ป่าขึ้นเป็นกอเป็นดงสวยงามกว่าเด็ดมาชมเป็นช่อ หล่อนไม่ได้คิดระแวงอะไร ตามไปด้วยใจซื่อ จนกระทั่งถึงบริเวณน้ำตกก็พบว่าไม่มีดอกไม้บานเลย วินาทีนั้นเองจึงรู้ตัวว่าถูกหลอก ยังไม่ทันที่หล่อนจะหมุนตัวกลับออกจากป่า เมืองก็จู่เข้ามารวบตัวหล่อนไว้แล้วขืนใจย่ำยีหล่อน ดังสภาพยามนี้ที่ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์

“ถ้าวิลเลียมมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ดิฉันก็คง…” เบ็ตตี้น้ำตาร่วงยกมือขึ้นปิดหน้าอีกครั้ง

มิสเตอร์โรเจอร์เป็นผู้แก้ไขสถานการณ์นั้นด้วยการบอกให้หล่อนพักผ่อนและอย่าให้ใครรบกวนอีก วันนี้เบ็ตตี้เสียขวัญมากพอแล้ว จนกระทั่งเหลือแต่กลุ่มผู้ชาย เขาจึงเอ่ยขึ้นมา

“การมาอย่างกะทันหันของฉันนี่นับเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่”

ไม่มีใครตอบคำถามนอกจากนั่งนิ่งภายใต้แสงตะเกียง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตน

ไม่กี่วันมานี้เองที่ปางไม้สาขาต่าง ๆ ได้รับจดหมายแจ้งข่าวด่วนจากมิสเตอร์โรเจอร์ว่าเขาจะเดินทางจากพม่ามาที่เมืองละกอน กำหนดวันมาถึงค่อนข้างแน่นอน และการมาเยือนครานี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา เพราะมิสเตอร์โรเจอร์ตัดสินใจวางมือจากงานป่าไม้ เขาจะเกษียณตัวเองจากงานในป่าแล้วกลับไปใช้ชีวิตบทใหม่ในอังกฤษ…มาตุภูมิที่เขาจากมาหลายปี

นายห้างหลายคนที่ได้รับแจ้งข่าวนี้ก็รีบมาพบกับเขา ถือเป็นโอกาสกล่าวคำอำลาเสียคราวเดียวกัน ในบรรดานายห้างเหล่านี้มีวิลเลียมและลีรอยรวมอยู่ด้วย ทั้งสองมาถึงบ้านหมอสจ๊วตในเวลาไล่เลี่ยกัน และต่างประหลาดใจที่เห็นว่านอกจากหมอสจ๊วตกับมิสเตอร์โรเจอร์จะคุยกันอย่างเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว ในวงสนทนานั้นยังมีหนานทิพย์พ่อของเมืองและมุ่ยรวมอยู่ด้วย

ทันทีที่เห็นหน้าวิลเลียมโผล่เข้ามา มิสเตอร์โรเจอร์ก็ทักกึ่งล้อ

“มาแล้ว วีรบุรุษของเรา คุณบรูซ ฉันได้ยินเรื่องที่คุณไปจัดการกับพวกเงี้ยวที่เมืองแพร่แล้วออกจะทึ่ง” เขาไม่สนใจสีหน้าถ่อมตัวของวิลเลียม เข้าสู่เป้าหมายทันที “ฉันคิดว่าถ้าเธอไปดูแลออฟฟิศที่แพร่น่าจะดีกว่า ทางเมืองละกอนนี้ค่อนข้างลงตัวแล้ว โทมัสเองก็เจนจัดป่าแถบนี้เป็นอย่างดี”

เรื่องการย้ายไปประจำที่สถานีอื่นไม่เคยอยู่ในความคิดของวิลเลียม แต่โดยทั่วไปก็เข้าใจกันว่าเป็นความก้าวหน้าในอาชีพ ใครปฏิเสธก็บ้าเต็มที

“แต่ที่แพร่ยังมี…”

เขาพูดยังไม่ทันจบว่าผู้จัดการปางไม้ที่แพร่ก็ยังทำงานได้ดี มิสเตอร์โรเจอร์ก็ชิงเอ่ยเสียก่อนโดยไม่รอช้า

“ตำแหน่งนั้นกำลังจะว่างลงเร็ว ๆ นี้ สัปดาห์หน้าเธอไปแพร่กับฉัน จะได้รับมอบงานต่อจากคนเก่าเลย” เขาหมายถึงผู้จัดการคนเก่า “เขาจะกลับอังกฤษไปพร้อมกับฉัน และไม่กลับมาที่นี่อีก”

วิลเลียมบอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไร ดีใจที่จะได้ก้าวหน้าในอาชีพนั้นก็มีละ แต่มันยังมีบางเรื่องที่คาใจ เป็นความพะวักพะวนที่เหนี่ยวรั้งให้เขาตอบรับตำแหน่งใหม่ไม่เต็มปาก

ใบหน้าเรียบเฉยของหนานทิพย์ทำให้เขารู้ในทันที

ถ้าเขาไปทำงานที่แพร่ เขาก็จะไม่ได้พบมุ่ยอีก รอยยิ้มน้อย ๆ แทบมองไม่เห็นบนหน้าของหนานทิพย์ทำให้วิลเลียมคิดว่า หนานทิพย์คงสมใจที่เวลาที่เขาและมุ่ยจะแยกจากกันมาถึงเสียที

แต่กลับผิดคาด เมื่อหมอสจ๊วตเป็นฝ่ายปรารภขึ้นมาว่า

“ฉันถือวิสาสะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ของเธอ คุยกับหนานทิพย์ว่าเธอและมุ่ยคบหากันไปได้ดี ฉันรับรองด้วยตัวฉันเอง หนานทิพย์ก็เหมือนจะไม่ปฏิเสธ ใช่ไหม”

หมอสจ๊วตแลไปยังหนานทิพย์ วิธีการพูดเรื่อย ๆ นั้นฟังสบาย ทว่าถ้อยคำทั้งหมดนั้นปิดประตูของหนานทิพย์ในการคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง

“ถ้ามุ่ยมันรักจะอยู่ที่แพร่มากกว่าระแหงหรือละกอน เฮาจะไปขัดใจลูกได้อย่างไร” หนานทิพย์หันมายังว่าที่ลูกเขยชาวอังกฤษ “ติดอยู่นิดเดียวตรงที่ นายห้างเองก็มีเงาตามตัวอยู่ไม่ห่าง เฮามีลูกสาวคนเดียว ฮักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ถ้าจะออกเฮือน…แต่งงาน ไปกับไผสักคน เฮาก็อยากได้ลูกเขยที่ฮักจริง เด็ดขาด ไอ้คนประเภทฮักพี่เสียดายน้องจนบ่ยอมปล่อยมือใดมือหนึ่งน่ะ เฮาบ่นิยม”

“ผมกับเบ็ตตี้เป็นเพื่อนกันเท่านั้น ผิดกับมุ่ยที่ผมรู้สึก…”

หนานทิพย์โบกมือไปมา

“จะอู้จาสาบานอะหยัง เฮาบ่เชื่อหรอก ถ้านายห้างจริงใจกับมุ่ย เฮาขออย่างเดียวเท่าอั้น”

วิลเลียมแทบจะกลั้นหายใจรอฟังว่าหนานทิพย์จะยื่นข้อเสนออะไร

“เฮาขอให้นายห้างบอกแหม่มว่าไม่ได้คิดอย่างชู้สาว บ่คิดจะแต่งงานตวย คนที่นายห้างอยากออกเฮือนด้วยคือลูกสาวเฮาคนเดียวเท่าอั้น มุ่ยคนเดียวที่จะเป็นเมียของนายห้าง”

ทุกคนที่ฟังอยู่คิดว่าไม่กระไรนักจนกระทั่งหนานทิพย์เอ่ยประโยคสุดท้าย

“นายห้างต้องบอกกับแหม่ม…ต่อหน้าเฮา”

คราวนี้ทั้งห้องเงียบงันชนิดที่ว่าแม้เสียงลมหายใจแผ่วเบาเข้าออกก็ยังดังราวพายุถล่ม ความนิ่งตึงครอบคลุมอยู่ครู่หนึ่ง มิสเตอร์โรเจอร์ก็ทำลายความสงบ เบนสู่เรื่องใหม่

“อีกเรื่องนะ ฉันคิดว่าจะให้เมืองไปประจำออฟฟิศที่พม่า จะย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ก็ได้ ฉันให้เลือกได้ตามความพอใจ”

หนนี้ผู้ที่อึ้งไปคือลีรอย เขาเผลอถามออกไป

“ทำไมต้องเป็นเมืองด้วยครับ”

“เมืองพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ทำงานกับพวกเราได้ดี และเมืองเองก็จะเข้ากันได้ดีกับคนงานที่นั่น คนท้องถิ่นก็ย่อมจะไว้เนื้อเชื่อใจคนถิ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันไม่ใช่หรือ” แล้วมิสเตอร์โรเจอร์ก็หันไปเย้ากับหนานทิพย์ว่า “มีว่าที่เขยอังกฤษคนหนึ่งแล้ว ถ้าจะมีสะใภ้เป็นสาวพม่านัยน์ตาคม หนานทิพย์คงไม่รังเกียจกระมัง”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ประสานกันขึ้นมาเพื่อเลี่ยงการไม่ตอบคำถามและปล่อยให้คาดเดาความรู้สึกกันเอาเอง

ครั้นแล้วคนทั้งหมดก็ใจร้อนขึ้นมาพร้อมกัน จึงชักชวนกันว่า

“ทั้งเมืองทั้งเบ็ตตี้เวลานี้ก็อยู่ที่ออฟฟิศมิใช่หรือ เราไปหาคำตอบกันเสียวันนี้เลยเป็นไร”

ผู้ที่ต้องการคำตอบจึงย้ายตัวเองจากบ้านหมอสจ๊วตไปที่ออฟฟิศป่าไม้ แต่ไม่พบชายหนุ่มหญิงสาวคนสำคัญ กุลีบอกว่าเห็นพากันเดินไปทางป่าน้ำตกตั้งแต่บ่าย ถ้าไปทางนั้นคงพบแน่

มิสเตอร์โรเจอร์เป็นผู้จัดแจงอีกเช่นเคย บอกความคิดว่า

“พวกเธอตามไปที่น้ำตกสิ สองคนนั้นคงประหลาดใจ ไม่คิดว่าพวกเราจะมาที่นี่ตอนนี้” เขากันตัวเองออกจากการเดินทาง “ส่วนฉันขอคอยฟังข่าวดีอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

ครั้นแล้ววิลเลียม ลีรอย และหนานทิพย์ ก็พากันไปยังป่าน้ำตก และต่างฝ่ายต่างได้พบ ‘ความประหลาดใจ’ ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้พบ

 

พระจันทร์คืนนี้หม่นมัวไร้ราศีด้วยกลุ่มเมฆใหญ่มาบดบังเหมือนดังความรู้สึกหม่นมองในจิตใจของทุกคนในปางไม้ ไม่มีเสียงแมลงไพร ทำให้บรรยากาศสงัดยิ่งวังเวง วิลเลียมนอนไม่หลับคิดถึง ‘ข้อตกลง’ ระหว่างเขากับหนานทิพย์ แน่ละ เหตุการณ์ระหว่างเมืองกับเบ็ตตี้คงทำให้เรื่องของเขาและมุ่ยยากขึ้น แต่บางทีอาจจะกลายเป็นง่ายก็ได้ ถ้าหากเมืองต้องรับผิดชอบเบ็ตตี้ ก็ถือว่าเบ็ตตี้กับเขาตัดขาดกันไปอย่างที่หนานทิพย์ต้องการ

เขาต้องรีบเจรจากับบิดาของมุ่ย แต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

ออกมาจากห้องก็พบว่าที่ระเบียงมีคนสองคนนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงที่หรี่ลงพอให้มองเห็นแก้วเหล้าและซิการ์บนโต๊ะเท่านั้น

“คิดอยู่แล้วว่านายคงนอนไม่หลับเหมือนกัน” ลีรอยว่า “ฉันก็เพิ่งออกมานั่งกับมิสเตอร์อีแวนเดอร์”

วิลเลียมนั่งลง มองหน้ามิสเตอร์อีแวนเดอร์ที่ขณะนี้มิใช่เป็นเพียง ‘นายฝรั่งต้นคอแดง’ อย่างที่คนงานขนานนาม แต่ใบหน้ายังแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้าที่คงดื่มไปหลายแก้ว ดวงตาฉ่ำปรือคล้ายจะมองลึกลงไปถึงจุดที่ลึกที่สุดให้ได้ นั่นคือจิตใจของคน

“ไม่ใช่มิสเตอร์โรเจอร์คนเดียวหรอกนะ ที่อยากจะเกษียณตัวเองจากงานป่าไม้ ฉันเองก็คิดเรื่องนี้อยู่ทุกวัน ฉันอยากพาหนูกับไอเดนไปอยู่ที่อังกฤษ แต่หนูไม่ยอม หล่อนกลัวที่จะต้องไปเผชิญชีวิตในดินแดนที่ไม่รู้จักและไม่รู้จะเอาตัวรอดได้ยังไง”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์หันไปหาวิลเลียมเพื่อเอ่ยเป็นการเฉพาะกับนายห้างหนุ่ม

“หญิงชาวบ้านที่นี่เขาอาจจะรักเราอย่างถวายหัวเมื่ออยู่ที่นี่ แต่เขาไม่มีทางติดตามเรากลับไปอยู่ที่อังกฤษแน่ ๆ สิ่งเธอต้องรู้ก่อนจะตกลงปลงใจกับมุ่ยก็คือ มุ่ยจะไม่มีวันตามเธอไปอังกฤษ และเมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะบังคับให้หล่อนต้องเลือก โดยเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้ามุ่ยรักเธอมากพอ มุ่ยต้องยอมละทิ้งชีวิตที่นี่เพื่อติดตามไปอยู่กับเธอ”

วิลเลียมพอรู้อยู่บ้างว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์กับนางหนูเริ่มมีปากเสียงกันบ้างด้วยเรื่องนี้ เพียงแต่มันยังไม่ถึงจุดที่ต้องการคำตอบสุดท้าย เป็นเพียงการหยั่งเชิงดูท่าทีของอีกฝ่ายเท่านั้น หากกระนั้นมันก็เป็นตัวอย่างว่า ถ้าเขากับมุ่ยจะร่วมหอลงโรงกัน เส้นทางข้างหน้าก็คงไม่ต่างไปจากนี้เท่าไรนัก

“พรุ่งนี้…ผมจะไปหาหนานทิพย์แต่เช้า” วิลเลียมรำพึงออกมา

“ผมก็จะไปหาเหมือนกัน” ลีรอยเอ่ยขึ้นบ้าง

มิสเตอร์อีแวนเดอร์ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ยกเหล้าที่เหลือก้นแก้วดื่มจนหมด ปล่อยให้เปลวร้อนล่วงผ่านลำคอลงไปแล้วจึงเล่าเรื่องแต่หนหลังให้ฟัง

“ตอนฉันมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ฉันพบเด็กน้อยสองคนวิ่งเล่นที่บ้านหมอสจ๊วต ฉันถูกชะตากับเด็กชายคนพี่มากกว่าเด็กสาวคนน้อง ครั้นรู้ว่าพ่อของเด็กไม่ได้รังเกียจชิงชังพวกต่างชาติอย่างเรานัก ฉันจึงขออาสาดูแลเมืองเสมือนลูก สอนภาษาอังกฤษให้เขา และให้เขามาทำงานอยู่ปางไม้นี่ แม้วันนี้ฉันจะมีไอเดนเป็นลูกแท้ ๆ แต่ฉันก็ยังนับเมืองเป็นลูกคนแรกของฉันเสมอ”

“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้…” ลีรอยเสียงแผ่วเมื่อเอ่ยออกมา เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ที่พูดถึงเมืองทอดอาลัยลึกล้ำ

“ฉันรู้จักลูกชายฉันดี” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ตอบเท่านี้

“คุณจะบอกว่า คุณไม่เชื่อว่าเมืองจะทำเรื่องเลวทรามอย่างนั้นใช่ไหมครับ” ลีรอยเร้า เขาเหมือนเห็นแสงเล็ก ๆ แห่งความเชื่อมั่นในตัวเมืองอยู่ในนั้น หากมิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็บอกย้ำแต่เพียง

“ฉันรู้จักลูกชายฉันดี”

แล้วเขาก็ตัดบทว่าจะเข้านอนเสียทีเพราะน้ำค้างเริ่มลงหนักขึ้น ฝากข้อคิดแก่นายห้างหนุ่มทั้งสอง

“ในชีวิตที่ฉันได้ผ่านมา ฉันพบความจริงข้อหนึ่งว่า ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของผู้ชายเรามันมีจุดอ่อนเช่นกัน นั่นก็คือน้ำตาของผู้หญิง หยดน้ำใสจากเรียวตางามมีอานุภาพร้ายแรงนัก เพราะมันทำให้ใจที่แข็งกร้าวอ่อนยวบลง แปรเป็นความเห็นใจ เวทนาและสงสาร ถึงเวลานั้น ไม่ว่าหล่อนจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เธอก็จะเชื่อสนิทใจว่า ทั้งหมดที่หล่อนพูดมานั้นเป็นความจริง”

 

วิลเลียมและลีรอยตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่เรื่อแสงอรุโณทัย การใช้ชีวิตที่นี่ทำให้พวกเขารู้ว่าคนพื้นเมืองจะตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารแต่เช้าเพื่อใส่บาตร ฉะนั้นเมื่อเสียงไก่ขันดังรับประสานกัน ทั้งคู่ก็ไม่รอช้าควบม้าไปยังวัดที่หนานทิพย์คุมงานบูรณะอยู่

“ไปแล้ว”

“บ่อยู่แล้ว”

คนงานที่ก่อฟืนติดไฟต้มน้ำตอบคำถามนายห้างหนุ่มได้เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะถามย้ำอย่างไรก็ได้คำตอบแต่ว่าหนานทิพย์ไม่อยู่ที่วัดแล้ว จนใจจะอธิบายให้รู้เรื่องกว่านี้ จึงตามสล่า…นายช่างที่คุมงานรองจากหนานทิพย์มาบอกกล่าว ก็ได้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า หนานทิพย์กลับมาที่วัดเมื่อเย็นวาน สั่งการรวดเร็วให้เขาดูแลเก็บงานส่วนที่เหลือ ส่วนตัวหนานทิพย์นั้นก็เก็บข้าวของออกเดินทางไปพร้อมกับลูกทั้งสองคน

วิลเลียมคิดว่าหนานทิพย์คงพาเมืองและมุ่ยกลับบ้านที่เมืองระแหง

ลีรอยคิดตรงกัน

รัศมีสีทองของแสงตะวันแรขอบฟ้า แม้ว่าจะยังไม่สว่างแจ้ง แต่วิลเลียมก็เห็นว่าวิหารไม้สักหลังที่หนานทิพย์มาบูรณะนั้นงดงามสมบูรณ์ ดูผาดเผินไม่รู้เลยว่าการซ่อมแซมยังไม่เรียบร้อยตรงไหน เพราะเหตุนี้ด้วยกระมัง จึงทำให้หนานทิพย์วางใจให้ช่างที่เป็นรองจากเขารับผิดชอบต่อจนแล้วเสร็จ

เมื่อกลับถึงสถานีป่าไม้ด้วยความผิดหวัง มิสเตอร์อีแวนเดอร์คอยอยู่ตรงนั้นอย่างไม่แปลกใจนักที่สองหนุ่มจะกลับมาด้วยท่าทางหงอยเหงา

“คุณรู้ตั้งแต่แรกใช่ไหม ว่าถึงยังไงเราก็จะไม่พบพวกเขา” วิลเลียมถาม

“ผมจะไปที่ระแหง” ลีรอยบอกออกมา

มิสเตอร์อีแวนเดอร์ส่ายหน้าพลางปลอบโยน

“หนุ่มน้อย…อีกสิ่งหนึ่งที่เธอควรรู้ไว้ คนที่ตั้งใจหนีไปไม่ให้เราพบหน้า แปลว่าเขาไม่ต้องการเจอเราอีก สิ่งที่เธอควรทำมากที่สุดตอนนี้ คือสางปมปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้าเธอเสียก่อน”

เบ็ตตี้ออกมาจากห้องของหล่อนด้วยท่าทางซึมเซา มิสเตอร์อีแวนเดอร์บอกกับนายห้างหนุ่มทั้งสองก่อนลา

“ฉันขอตัวไม่ร่วมโต๊ะด้วยเช้านี้ บางที พวกเธออาจอยากต้องการความเป็นส่วนตัว”

แล้วเขาก็ลงจากเรือนย่ำเท้าเปล่าไปขึ้นม้าควบกลับบ้าน

 

หนึ่งสัปดาห์หลังเหตุการณ์เลวร้ายที่นับเป็นการหยามเกียรติสุภาพสตรีชาวอังกฤษอย่างยิ่ง เบ็ตตี้ก็พร่ำอยู่แต่ว่าเรื่องนี้กลายเป็นมลทินของชีวิต แม้ว่าฝ่ายนั้นจะล่วงล้ำจนสำเร็จความใคร่ แต่ก็ทำให้หล่อนมัวหมอง เปรียบดั่งดอกไม้ที่ถูกเด็ดจากต้น แม้ยกขึ้นดมหรือปักไว้ในแจกันแก้ว ความสดชื่นสดใสแห่งชีวิตก็ค่อย ๆ อับเฉาลงไปตามเวลาที่ผันผ่าน ในถ้อยคำรำพันของเบ็ตตี้ปรากฏชัดแจ้งว่ามีสิ่งหนึ่งที่สามารถลบล้างตราบาปในชีวิตนี้ไปได้

“ถ้าฉันแต่งงานมีครอบครัวเสียที”

ลีรอยนิ่งฟังไม่เอ่ยคำใดออกมา ส่วนวิลเลียมมียิ้มในหน้าส่งให้หล่อนเป็นการปลอบใจและรับรู้อยู่ในทีว่าหล่อนหมายถึงตัวเขา

“ผู้หญิงที่มีสามีคอยปกป้องคุ้มครอง ย่อมอยู่รอดปลอดภัยกว่าผู้หญิงตัวคนเดียว ยิ่งอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้แล้ว…”

บ่อยครั้งที่เบ็ตตี้จะละคำพูดไปดื้อ ๆ แล้วทำเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้ ราวกับว่าทุกข์ทรมานนักหนากับสภาพที่เป็นอยู่

“ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันเสียที” วิลเลียมเอ่ยขึ้นมาขณะที่ยังคนซุปในถ้วย

ทั้งเบ็ตตี้และลีรอยชะงักค้างราวกับได้ยินผิดไป

การคร่ำครวญและใช้ชีวิตอย่างทอดอาลัยไปวัน ๆ ของเบ็ตตี้ทำให้วิลเลียมคิดว่าเขาควรรับผิดชอบชีวิตหล่อนอย่างจริงจังเสียที เพียงแต่จู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร ไม่มีการอารัมภบทถึงเรื่องนี้ ดังว่าเขาไตร่ตรองมาดีแล้ว เมื่อคิดจะบอก ก็เอ่ยออกไปตรง ๆ

เบ็ตตี้และลีรอยอิ่มจากอาหารโดยมิได้นัดหมายด้วยความรู้สึกต่างกัน เบ็ตตี้นั้นตื้นตันใจจนกินอะไรไม่ลงอีก ความสุขไหลรินจนรู้สึกอิ่มไปทั้งตัว น้ำตาปริ่มจวนจะหยด มือเรียวกดหน้าอกไว้มิให้ระเบิดด้วยความปราโมทย์ ในขณะที่ลีรอยกลืนไม่ลงด้วยฝืดคอ

“สัปดาห์หน้าฉันต้องไปสำนักงานที่แพร่กับมิสเตอร์โรเจอร์ แล้วจะเลยไปจุดแยกไม้ที่ปากน้ำโพ”

เพราะช่วงเวลานั้นซุงของปางไม้ต่าง ๆ ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำให้ไหลล่องไป เจ้าหน้าที่ของปางไม้ต่าง ๆ จะไปที่ปากน้ำโพ นครสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมแม่น้ำหลายสายก่อนไหลรวมเป็นแม่น้ำสายใหญ่ชื่อ เจ้าพระยา ที่จุดนี้จะมีไม้มารวมกันมาก เจ้าหน้าที่ของแต่ละปางจะมาคัดแยกไม้ของตนและกันมิให้ปางไม้อื่นแอบขโมยไม้ของตนไป

“เสร็จจากแยกไม้ที่ปากน้ำโพ ฉันจะกลับมาจัดการเรื่องของเราให้เรียบร้อย” วิลเลียมส่งสายตาไปทางเบ็ตตี้ที่พยายามข่มความปีติไว้อย่างสุดความสามารถ มิให้เกินงามจากกรอบของสุภาพสตรีชาวอังกฤษ “หวังว่าเธอคงไม่ขัดข้อง”

หยดน้ำใสร่วงจากหน่วยตางามราวเกล็ดเพชรต้องแสงเทียน หญิงสาวหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบไป

“ฉันไม่มีอะไรขัดข้อง ขอให้เธอเดินทางโดยสวัสดิภาพ” หล่อนก้มหน้าซ่อนรอยเขินอายเมื่อเอ่ยต่อไปเสียงงึมงำอยู่แค่คอ “ระหว่างนี้ ฉันจะเตรียมตัวให้พร้อม ข้าวของจำเป็นสำหรับเจ้าสาวอาจหาได้ไม่ครบถ้วนในบ้านเมืองอย่างนี้ หวังว่าเธอจะไม่ถือสา”

เบ็ตตี้ออกตัวไว้ก่อน เพราะการเป็นเจ้าสาวที่สมบูรณ์พร้อมตามแบบฉบับวิกตอเรียนนั้น ในวันวิวาห์จะต้องประกอบด้วยของหลายสิ่ง คือของใหม่ ของเก่า ของขอยืม และของสีฟ้า หล่อนจะพยายามหามาให้ครบถ้วน

วิลเลียมยิ้มแทนคำตอบ อันแปลว่าเขาไม่ได้ใส่ใจว่าหล่อนจะแต่งองค์ทรงเครื่องครบครันตามอย่างเจ้าสาววิกตอเรียนหรือไม่ หากหันไปฝากฝังไว้กับเพื่อนสนิท

“ลีรอย รบกวนนายติดต่อท่านกงสุลให้ด้วย” เพราะการแต่งงานของคนอังกฤษอย่างถูกต้องตามกฎหมายต้องได้รับอนุญาตจากกงสุล โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในถิ่นที่มิได้เป็นบ้านเกิด

ชายหนุ่มผู้ถูกร้องขอมิได้แสดงท่าทีใดออกมา หากถามด้วยน้ำเสียงเนิบเนือยเฉื่อยชา

“นายจะให้ติดต่อกงสุลไหนล่ะ ที่เมืองละกอนนี่ หรือที่เชียงใหม่”

วิลเลียมลูบคางพลางคิด

“ถ้าได้ที่เชียงใหม่ก็ดี แต่ที่ละกอนนี่ก็ไม่แย่หรอก” เขาหันไปถามความเห็นว่าที่เจ้าสาวเพื่อให้หล่อนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ “หรือเธอคิดว่าที่ไหนดี?”

“ที่เชียงใหม่ก็ดี”

เบ็ตตี้บอกเสียงอ่อน ไม่ชัดเจนจนกลายเป็นฟันธงระบุแน่ชัด…แต่งที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น หากลึกลงไปในใจหล่อน เบ็ตตี้ปรารถนาให้งานนี้เกิดขึ้นที่กงสุลอังกฤษที่เชียงใหม่ ในความคิดของหล่อน…ที่นั่นใหญ่โตโอ่อ่าและมีบารมีมากกว่าที่นี่ ในรอบรั้วเขตแดนสถานกงสุลเปรียบเสมือนดินแดนประเทศอังกฤษ มิใช่เมืองสยาม

ถ้าได้แต่งงานที่นั่น มันคงทำให้หล่อนรู้สึกว่าได้อยู่ในสังคมของคนอังกฤษที่ไม่มีคนเชื้อชาติอื่นแปมปนจนหล่อนต้องรำคาญใจในสารพัดเรื่องที่เกิดจากคนอื่นผู้ด้อยกว่าคนอังกฤษอย่างหล่อน



Don`t copy text!