จิตร ญี่ปุ่น ประกิต อเมริกา

จิตร ญี่ปุ่น ประกิต อเมริกา

โดย : ตัวแน่น

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘หลงเลนส์’ บทความแสดงมุมมองผ่านภาพถ่ายที่ได้รับการบันทึกเรื่องราวของงานศิลปะทั้งไทยและเทศ โดย ตัวแน่น อีกหนึ่งคอลัมน์ที่ อ่านเอา อยากแนะนำให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………….

ในเมืองไทย ถ้าว่ากันถึงผลงานจิตรกรรมสไตล์อิมเพรสชันนิสม์ที่มีคุณสมบัติครบครันใกล้เคียง คล็อด โมเนต์ ศิลปินชาวฝรั่งเศสต้นตำรับของลัทธินี้มากที่สุด เราว่าก็น่าจะเป็นผลงานของ จิตร บัวบุศย์ นี่แหละ ที่กล้าอารัมภบทมาซะยิ่งใหญ่เวอร์วังระดับเวิลด์คลาสซะขนาดนี้ เพราะเรามีเหตุผล

คงเป็นไปได้ยากหากจะฟันธงว่าใครเป็นศิลปินไทยคนแรกวาดภาพแบบอิมเพรสชันนิสม์ เพราะไม่มีบันทึกไว้จนถูกลืมเลือนไปกับกาลเวลา แต่ถ้าจะว่ากันถึงศิลปินไทยกลุ่มแรกๆ ที่ริเริ่มวาดภาพในสไตล์นี้จนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ก็เห็นจะมี จิตร บัวบุศย์ กับ เฟื้อ หริพิทักษ์ คู่หูคู่ซี้สมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นนักเรียนเพาะช่างนี่แหละ ที่อินกับอิมเพรสชันนิสม์มาก่อนใคร เพราะตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2470 สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งจิตรทั้งเฟื้อ หลังเลิกเรียนก็จะพากันไปฝึกวาดรูปในสไตล์นี้ด้วยตนเอง ตระเวนหาวิวมุมสวยๆ ของแม่น้ำลำคลอง วัดวาอาราม และสถานที่สำคัญทั่วกรุงเทพฯ มาเป็นแบบ น่าเสียดายที่ผลงานในยุคนี้ของศิลปินทั้งคู่ถูกระเบิดเสียหายกลายเป็นผุยผงเกือบทั้งหมด เหลือหลักฐานเพียงน้อยนิดพอจะแง้มๆ ให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการของผลงานอิมเพรสชันนิสม์สมัยตั้งไข่ในประเทศไทย

เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนเพาะช่าง จิตรเข้ารับราชการเป็นครูสอนศิลปะอยู่ 10 ปี จนในปลายปี พ.ศ. 2484 ท่านได้รับทุนการศึกษาจากกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ให้เดินทางไปเรียนต่อที่สถาบันวิจิตรศิลป์ กรุงโตเกียว ( Tokyo Academy of Fine Arts) ประเทศญี่ปุ่น ที่นั่นจิตรได้เรียนรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติหลายแขนงชนิดสากกะเบือยันเรือรบ พาให้แตกฉานทั้งเทคนิคทางศิลปะที่ชาวญี่ปุ่นเขาสืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่โบราณ เช่น การแกะสลักไม้ ลงรัก ย้อมสีผ้า สร้างเครื่องไม้ไผ่ และเครื่องปั้นดินเผา รวมถึงเทคนิคการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม และประติมากรรมแบบตะวันตกที่ญี่ปุ่นได้รับการวางรากฐานโดยศิลปินชาวยุโรปที่เดินทางมารับใช้ราชสำนักคล้ายๆ กับสตอรีของ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ในบ้านเรา

“Blooming Sakura in Ueno Park” พ.ศ.2488 เทคนิคสีน้ำมันบนกระดานไม้ ขนาด 40×32 เซนติเมตร ศิลปิน จิตร บัวบุศย์

วิชาที่จิตรเห็นจะอินจัดเป็นพิเศษเพราะชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วคือการวาดภาพแนวอิมเพรสชันนิสม์ ณ สถาบันวิจิตรศิลป์ จิตรเรียนกับครูชาวอาทิตย์อุทัยที่เป็นลูกศิษย์ของ คล็อด โมเนต์ ส่งผลให้จิตรศิษย์สายตรงของศาสดาแห่งอิมเพรสชันนิสม์ได้ซึมซับเคล็ดลับและจิตวิญญาณในการวาดภาพสไตล์นี้แบบถึงแก่น จนสามารถยกระดับฝีมือไปสู่จุดพีกโดยตลอดเกือบ 6 ปีที่จิตรเรียนศิลปะ รวมกับเวลาที่ติดแหง็กอยู่ญี่ปุ่นกลับประเทศไทยไม่ได้เพราะสงครามโลก จิตรตระเวนวาดภาพวิวทิวทัศน์ของสถานที่ต่างๆ ถ่ายทอดอารมณ์ประทับใจในบรรยากาศแปลกใหม่ของต่างแดนออกมาด้วยฝีเกรียงที่ปาดป้ายอย่างฉับพลันชำนาญ ซ้อนทับฉวัดเฉวียนด้วยรายละเอียดยุบยิบในโทนสีที่กลมกล่อมลงตัว เกิดเป็นผลงานภาพวาดชุดญี่ปุ่นในตำนานอันเป็นที่ร่ำลือ และก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผลงานมากมายในชุดนี้มีชะตากรรมคล้ายๆกับผลงานที่จิตรสรรค์สร้างขึ้นมาก่อนหน้า คือพังเสียหายมลายไปกับระเบิด และบางส่วนยังถูกเลาะทำลายด้วยความจำเป็นโดยจิตรเอง เพื่อเอาไม้เฟรม และกระดานไปทำฟืนหุงหาอาหารเลี้ยงปากท้องขณะพำนักในญี่ปุ่นท่ามกลางภาวะสงครามที่ข้าวยากหมากแพง

“จิตร บัวบุศย์” (ซ้ายสุด) เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 13.5×8.5 เซนติเมตร

ภาพวาดชุดญี่ปุ่นที่เหลือมายันปัจจุบันจำนวนไม่มากจึงเห็นร่องรอยของความอัตคัดขัดสนได้อย่างชัดเจน เช่น ไม้กระดานที่เอามาวาดหรือมาทำเฟรมจึงมักเป็นไม้ที่เหลือใช้ หรือรีไซเคิลมาจากของอย่างอื่น แถมหลายภาพถึงขนาดต้องวาดทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อประหยัดวัสดุ

จิตรสำเร็จการศึกษาได้ประกาศนียบัตรทั้งด้านจิตรกรรมและประติมากรรม และกลับสู่บ้านเกิดเมื่อสงครามสงบ ครั้นถึงประเทศไทย จิตรเข้ารับราชการต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง เป็นทั้งครูผู้สอน และบริหารโรงเรียนในฐานะอาจารย์ใหญ่ รวมทั้งรับผิดชอบโครงการสำคัญต่างๆ มากมาย เช่น ออกแบบก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเพาะช่างที่ถูกระเบิดเสียหายจนไม่เหลือซากขึ้นมาใหม่, ตระเวนสำรวจและอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ, วางหลักสูตรการเรียนการสอนและเขียนตำรับตำราโดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมในดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วยภารกิจร้อยแปดที่รัดตัวจึงทำให้จิตรจำต้องว่างเว้นจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะแนวอิมเพรสชันนิสม์ที่ตนเองชื่นชอบ ภาพวาดที่หอบกลับมาจากญี่ปุ่นก็เลยถูกเก็บลืมไว้ใต้บันได รักใครชอบใครก็แจกให้ จิตรไม่ได้คิดค้าขายให้ร่ำรวยอะไรจากผลงานเหล่านี้ สมัยก่อนใครได้ไปฟรีๆ ต้องเก็บให้ดีๆ เพราะวันนี้ไปๆ มาๆ ภาพวาดยุคญี่ปุ่นกลับกลายเป็นของมีค่า ล่าสุดเพิ่งจะเห็นเปลี่ยนมือกันในราคาพอๆ กับรถญี่ปุ่นรุ่นหรูๆ ระดับเล็กซัส

“จิตร บัวบุศย์” (ขวาสุด) เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 13.5×8.5 เซนติเมตร

หลังจากจิตรห่างหายจากการสร้างสรรค์ผลงานแนวอิมเพรสชันนิสม์ไปกว่าค่อนชีวิต ด้วยเหตุผลที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า

“ศิลปะนั้นมิได้สร้างขึ้นได้ง่ายๆ ก่อนศิลปินจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาแต่ละชิ้นจะต้องรู้สึกกับสิ่งนั้นเสียก่อน มิเช่นนั้นคุณค่าในผลงานชิ้นนั้นๆ จะด้อยลง งานศิลปะของผมแต่ละชิ้นจึงเปรียบเสมือนจิตวิญญาณที่เป็นตัวแทนของผม ผมต้องรู้สึกกับมันเสียก่อนถึงจะสร้างขึ้นมา”

แต่เมื่อจิตร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ประกิต’ ได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศแปลกใหม่น่าหลงใหลในประเทศสหรัฐอเมริกา ผนวกกับแรงยุจากลูกศิษย์สุดเลิฟที่พาทัศนาจรอย่าง กมล ทัศนาญชลี ประกิตจึงกลับมาฮึดกระหน่ำวาดภาพในรูปแบบที่ตนเองผูกพันอีกครั้งในวัยเลย 80 ถึงสังขารจะเสื่อมถอยแต่ฝีมือก็ไม่ด้อยลงตามวัย ดูได้จากผลงานยุคอเมริกาของประกิตที่ยังคงความเข้มข้นลงตัว พาผู้ชมให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับวิวทิวทัศน์สีสันจัดจ้านเกินจินตนาการที่ถูกบรรจงบันทึกไว้ด้วยความรู้สึกประทับใจและด้วยความชำนาญ ถึงแม้วันไหนประกิตจะลืมพกพู่กันและเกรียง ท่านก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบได้ด้วยนิ้วมือ หรือของบ้านๆ ที่หาได้ทั่วไปอย่างแผ่นพลาสติก

“จิตร บัวบุศย์” เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 14×9 เซนติเมตร

ไม่นานหลังจากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง จิตร หรือ ประกิต บัวบุศย์ ยังได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งในขณะนั้นท่านอายุทะลุ 90 เข้าไปแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงดี มีแรงสร้างสรรค์ผลงานออกมาสู่สายตาลูกศิษย์ลูกหาและแฟนคลับอยู่อย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ประกิตก็ถึงแก่กรรม ขาดไปเพียง 4 เดือนท่านก็จะมีอายุครบ 100 ปีบริบูรณ์ นับได้ว่าเป็นศิลปินที่สร้างคุณูปการแก่วงการศิลปะไทยมาเป็นเวลายาวนานมากที่สุดท่านหนึ่งเลยทีเดียว

ผลงานของ จิตร ยุคญี่ปุ่น สมัยสงครามโลก มาพร้อมความสด และพลังอันพลุ่งพล่านของศิลปินหนุ่ม ในขณะที่ ประกิต ยุคอเมริกา สมัยหลังเกษียณ มากับความเก๋า เทคนิคแพรวพราว และความคิดคำนึงที่ตกผลึกลึกล้ำ ไม่ว่าจะจิตร หรือประกิต หลานศิษย์ของโมเนต์ท่านนี้ ก็ได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า สำหรับศิลปินขนานแท้ สังขารไม่ใช่ปัญหา หากไฟในจิตใจยังลุกโชนอยู่อย่างโชติช่วง ก็จะสามารถถ่ายทอดออกมาให้เป็นผลงานอันทรงคุณค่าได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

Don`t copy text!